กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 455

สรุปบท บทที่ 455.2 ดวงจันทร์กลางนภา: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 455.2 ดวงจันทร์กลางนภา – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 455.2 ดวงจันทร์กลางนภา ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้นิ้ววาดวงกลมลงบนผิวโต๊ะ “มีประโยคสุภาษิตของบ้านเกิดอยู่ประโยคหนึ่ง ใช้ไหกระเบื้องตักน้ำจากบ่อแตกง่าย แม่ทัพลงสนามรบบ่อยย่อมเลี่ยงเจอเรื่องไม่คาดคิดไม่ได้ ไปสมัครร่วมกองทัพ ลงสมรภูมิเข่นฆ่า ก็เท่ากับว่าเอาหัวไปผูกไว้บนสายรัดกางเกงแล้ว ก็เหมือนวัตถุหยินแม่ทัพในอารามหลิงกวานตนนั้น เจ้าคิดว่าหลังจากเขาตายไปแล้ว เขาจะเสียใจที่ต้องสละชีพเพื่อบ้านเมืองไหม? และยังมีพวกทหารแตกทัพของแคว้นสือหาวที่แย่งชิงอาหารกับชาวบ้านในอำเภอกลุ่มนั้น ทหารหนุ่มคนนั้น ต่อให้มีสหายร่วมรบตายไปตั้งมากมาย แต่เขาหรือจะเต็มใจหันคมดาบเข้าห้ำหั่นชาวบ้านจริงๆ”

เฉินผิงอันวาดวงกลมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีกวงหนึ่ง “พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนอยู่แคว้นสือหาว ข้าได้ขัดขวางเด็กหนุ่มที่เป็นภูตในภูเขาคนหนึ่งที่คิดจะฆ่าคนในร้านขายเนื้อหมา และยังมอบเงิน…เทพเซียนให้เขาหนึ่งเหรียญ ทว่าหากมีวันที่เผ่าพันธ์ปีศาจบุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาลจริงๆ ต่อให้ข้าจะรู้ว่าในกลุ่มของเผ่าปีศาจมีภูตจิ้งจอกที่เคยพบเจอกันในวัดร้าง มีภูตเด็กหนุ่มที่สุดท้ายล้มเลิกความคิดจะฆ่าคนผู้นี้อยู่ด้วย แต่เมื่อข้าเผชิญหน้ากับกองทัพที่ยิ่งใหญ่ และมีเพียงข้าคนเดียวที่ขัดขวางอยู่เบื้องหน้าพวกมัน ด้านหลังข้าก็คือเมืองและชาวบ้าน เจ้าว่าข้าจะทำอย่างไร? เข้าไปในขบวนรบแล้วไล่สอบถามเผ่าปีศาจทีละคนว่าเหตุใดต้องฆ่าคน คิดจะล้มเลิกการฆ่าคนหรือไม่อย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “ในเมื่อข้าเลือกจะยืนขวางทางอยู่ตรงนั้นก็หมายความว่าข้าตัดสินใจมาดีแล้วว่าหากต้องตายก็คือต้องตาย ในเมื่ออีกฝ่ายบุกเข่นฆ่ามาถึงตรงนั้น ก็จะต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน อริยะสำนักการทหารเฝ้าบัญชาการณ์ซากปรักหักพังของสนามรบก็คือการพิทักษ์ปกป้องฟ้าดิน ก็เหมือนที่อริยะลัทธิขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา เจินจวินลัทธิเต๋าเฝ้าพิทักษ์อารามเต๋า เหตุใดถึงต้องมีฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีเช่นนี้? คิดว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ยามที่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ คนนอกที่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”

เฉินผิงอันถาม “ข้าอธิบายอย่างนี้ พอจะเข้าใจได้ไหม?”

เจิงเย่ส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา

หม่าตู่อี๋เอ่ยถาม “หลักการเหตุผลคร่าวๆ ข้าพอจะเข้าใจ แต่ก็ยังมีคำถามอีก ถ้าหากคนนอกสามารถบุกฝ่าเข้าไปในฟ้าดินของอริยะล่ะ? นี่ไม่ได้หมายความว่าหลักการเหตุผลเดิมทีที่มีอยู่ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “นี่หมายความว่าเจ้ายังคิดได้ไม่กระจ่าง เหตุใดอริยะถึงสามารถเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดิน นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริง นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นสาย จุดเริ่มต้นของลำดับขั้นตอน หลังจากนั้นก็ค่อยมาสงสัยว่าเหตุใดถึงยังถูกกำลังภายนอกทำลาย ถูกคนนอกที่มองดูเหมือนไร้เหตุผลใช้หมัดต่อยเอาชนะไปได้ ส่วนเหตุใดข้าถึงต้องพูดว่า ‘ดูเหมือน’ นี่ก็ยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก วันหน้ามีโอกาสได้พบเจอเรื่องที่ตรงตามคำกล่าวนี้ ข้าค่อยอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที ไม่อย่างนั้นพวกเจ้ามีแต่จะยิ่งสับสนมึนงง มองดูเหมือนว่าทุกจุดล้วนมีเหตุผล แต่ผลกลับกลายเป็นว่าไม่มีใครใช้เหตุผลสักคน”

หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับ “ตกลง ข้าจะคอยดู”

เฉินผิงอันกลับยิ้มกล่าวว่า “แต่ข้าหวังว่าจะไม่มีโอกาสนั้น”

หม่าตู่อี๋ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “พวกเราเคยได้เห็นความโชคร้ายของแคว้นสือหาวมากับตาตัวเอง มีเพียงนักประพันธ์และวีรบุรุษเท่านั้นที่โชคดี เสียงของแคว้นที่ล่มสลาย ถ้อยคำของความเจ็บแค้นเศร้าโศก กับขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่ยอมพลีชีพเพื่อชาติซึ่งง่ายที่จะถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์มากที่สุด และพวกเราก็ได้เดินทางผ่านแคว้นเหมยโย่ว ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านที่ขยันขันแข็ง นักประพันธ์นักกวีผู้ชอบพร่ำบ่นที่มีชีวิตซึ่งนับว่าสงบสุข เจ้าว่าแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่ว ใครโชคดีกว่ากัน?”

คำตอบเห็นได้ชัดอยู่แล้ว

กระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นการกระทำที่ไม่มีทางเลือก ไม่เสียใจภายหลัง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสียดายเลย ส่วนการที่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้ไม่ได้สุขสบายมากนัก แต่ถึงกระนั้นก็เป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายที่สุดของคนบนโลก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายที่พวกเราไม่รู้อยู่อีกมาก พวกเรายากจะรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่วมไปกับคนอื่นได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความโชคดีของพวกเราหรอกหรือ?”

ต่อให้จะเป็นคนดีที่ดีมากแค่ไหนก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทรมานราวกับหัวใจถูกคว้านของคนอื่นได้อย่างแท้จริง

ปีนั้นที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี จ้าวซู่เซี่ยเด็กหนุ่มที่ในมือถือมีดผ่าฝืนคอยปกป้องเด็กหญิงคนนั้นอย่างสุดชีวิต แต่เหตุใดเขาถึงยินยอมเชื่อใจเฉินผิงเพียงคนเดียว เพราะว่าเด็กมักจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์มากกว่า มีสัมผัสที่เฉียบไวต่อความยากลำบากและต้านทานมันได้ยากมากกว่า เด็กหญิงที่มีชื่อเล่นว่าหลวนหลวนคนนั้น นางสัมผัสได้ถึงความสุขความทุกข์และการพบพรากจากลาจากบนตัวของเฉินผิงอันที่เคยผ่านสภาพการณ์ใกล้เคียงกับนางมาก่อนมากกว่า ไม่ใช่เพราะว่าในสายตาของเด็กหญิง เฉินผิงอันจะต้องดีกว่าเด็กสาวข้างกายของเขาที่เป็นคนดีเหมือนกัน

เวลานี้หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่หันมามองหน้ากันเอง

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทว่าความโชคดีที่อยู่รายล้อมรอบกายโดยที่ตัวเราไม่รับรู้นี้ มันมาจากที่ใดกันแน่ แล้วเราไม่ควรจะรับรู้และทะนุถนอมเห็นค่าหรอกหรือ? ในช่วงเวลาที่ทุกคนไม่ยินดีสืบสาวเรื่องนี้ให้ลึกลงไป ยามที่หายนะใหญ่มาเยือนก็ไม่ต้องร่ำร้องขอความเป็นธรรมแล้ว เพราะสวรรค์คงไม่มีทางได้ยินกระมัง? ดังนั้นถึงได้มีพระโพธิสัตว์ที่นั่งอยู่บนแท่นบูชาตำหนักหลังใช่ไหม? (หมายถึงรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่ไม่ได้อยู่ในใจกลางตำหนักหลัก แต่ไปอยู่ด้านหลังของตำหนัก เปรียบเปรยว่าเจ้าแม่กวนอิมผ่านความทุกข์ความสุขอย่างใหญ่หลวงของสรรพชีวิตมาหมดแล้ว และจะไม่ยอมหันหลังกลับไปอีก) แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า ในช่วงเวลาเช่นนี้บัณฑิตควรจะแสดงความรับผิดชอบบางอย่าง อ่านตำรามามากกว่าชาวบ้าน มีคุณงามความชอบติดตัว มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ได้เสวยสุขมากกว่าชาวบ้านทั่วไป ก็ควรจะแบกภาระหน้าที่ที่มากกว่า”

เฉินผิงอันวางสองมือลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ

เวลาที่ทุกคนนั่งตัวไม่ตรง คิดจะนั่งอย่างไรก็ได้ให้สบายตัวเอง ร่องและเดือยบนเก้าอี้ย่อมคลายตัวออก เก้าอี้ก็โยกคลอน วิถีทางโลกก็จะไม่ค่อยสงบสุข ดังนั้นลัทธิขงจื๊อถึงได้เน้นย้ำในเรื่องการอบรมปลูกฝังตัวเอง จะต้องนั่งตัวตรงอย่างสำรวม วิญญูชนต้องระมัดระวังตนแม้ยามอยู่เพียงลำพัง

เห็นทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อนแล้ว และก็ผิดหวังถึงเพียงนั้น

แต่เมื่อเฉินผิงอันออกจากทะเลสาบซูเจี่ยน เดินทางมาไกลมากขึ้น คิดเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น เขากลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังขนาดนั้นอีกแล้ว

หลังจากผ่านการพักผ่อนเป็นเวลาสั้นๆ สองวัน พวกเขาก็ออกจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตทางทิศใต้สุดของแคว้นเหมยโย่ว

ระหว่างทางที่มุ่งหน้าลงใต้ เฉินผิงอันพบกับบัณฑิตตกอับคนหนึ่ง ไม่ว่าจะคำพูดคำจาหรืออาภรณ์ที่สวมใส่ก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานต้นตระกูลที่ไม่ธรรมดา

ตอนนั้นบัณฑิตแคว้นเหมยโย่วรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตในวันข้างหน้า อีกทั้งยังไม่ขาดแคลนเงินทอง จึงจ้างรถม้าเดินทางพร้อมกับสารถีข้ารับใช้ ร่วมผจญภัยอันตรายท่ามกลางแม่น้ำและภูเขาไปด้วยกัน ผลกลับกลายเป็นว่ามีคนหนึ่งในขบวนเกิดใจละโมบในทรัพย์สิน จึงสมคบคิดกับคนอีกสองคนหวังฆ่าคนชิงทรัพย์ พวกเขาเกือบจะผลักบัณฑิตที่ชอบท่องบทกวีพูดจ้อไม่หยุดผู้นี้ตกไปจากสะพานไม้เลียบหน้าผาได้สำเร็จ หากไม่เป็นเพราะคนยกของที่มีจิตใจดีงามพยายามขัดขวางไว้อย่างสุดชีวิต คาดว่าคงไม่ทันรอให้เฉินผิงอันได้ลงมือ บัณฑิตก็คงตายไปแล้ว และหลังจากจบเรื่องครอบครัวเขาก็คงหาไม่พบแม้แต่ซากกระดูก

หลังจากเฉินผิงอันขัดขวางไว้แล้วก็ถามบัณฑิตว่าจะจัดการกับข้ารับใช้ที่จ้างมาพร้อมกับรถม้าอย่างไร บัณฑิตก็เป็นคนประหลาด ไม่เพียงแต่มอบเงินเดือนที่พวกเขาสมควรได้รับ ยังให้พวกเขาเอาเงินจากไป บอกว่าจดจำสำมะโนครัวของพวกเขาเอาไว้แล้ว ขอแค่วันหน้ากล้าทำเรื่องชั่วร้ายอีก และหากเขารู้เรื่องก็จะคิดบัญชีเก่าใหม่รวมกัน ลงโทษประหารตัดหัว จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่รั้งตัวคนยกของผู้นั้นเอาไว้

แล้วเขาก็ยืนกรานจะเดินทางร่วมกับเฉินผิงอัน เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าลงใต้ไปพร้อมกัน

บัณฑิตตกหลุมรักหม่าตู่อี๋ตั้งแต่แรกเห็น

เฉินผิงอันไม่ได้ตาบอด ขนาดเจิงเย่ก็ยังมองออก

อีกทั้งการแสดงความรู้สึกของบัณฑิตยังค่อนข้างจะเปิ่นเชยไปสักหน่อย เขาจะคอยหาเรื่องมาชวนคุย จงใจทำเป็นว่าพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างถูกคอ หากไม่พูดถึงปัญหาบ้านเมืองปัจจุบันและพยายามหาทางแก้ไข ก็จะแต่งกลอนให้กับภูเขาสายน้ำแสดงพรสวรรค์ของตัวเองออกมา

หม่าตู่อี๋รำคาญใจยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่นางบอกให้เฉินผิงอันเก็บยันต์กระดาษหนังจิ้งจอกของตนใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตาไม่เห็นก็จะได้สงบสุข หูไม่ได้ยินก็จะได้ไม่หงุดหงิด

หากไม่เป็นเพราะบัณฑิตคนนั้นยังไม่ได้ทิ้งมารยาทของคนเรียนหนังสือไปเสียหมด ไม่กล้าป่าวประกาศชื่อแซ่ของตัวเอง และไม่ได้จงใจโอ้อวดภูมิหลังของตระกูลตัวเองแก่พวกเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋ก็คงเปิดปากด่าคน บอกให้บัณฑิตรีบเก็บน้ำหมึกที่อัดแน่นไว้เต็มท้องของเขาไปนานแล้ว

เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตคือลูกหลานของชนชั้นสูงในแคว้นเหมยโย่ว ไม่อย่างนั้นความภาคภูมิใจที่เผยออกมาในคำพูดก็คงไม่ใช่การที่ตัวเองสอบติดจ้วงหยวนด้วยอายุเพียงแค่ยี่สิบปี แต่เป็นประสบการณ์สามปีที่ได้อยู่ในสำนักฮั่นหลินของเมืองหลวงและที่ว่าการกรมการคลัง จากนั้นก็ออกมาเป็นขุนนางท้องถิ่นนอกเมืองหลวง ซึ่งเขาได้กำหนดมาตรการแก้ไขกลโกงรูปแบบต่างๆ ในวงการขุนนางอำเภอแห่งหนึ่ง

เขาอยากเป็นขุนนางที่ดีที่ได้รับชื่อเสียงว่าเป็นนายท่านชิงเทียนจริงๆ (ชิงเทียนหรือเปาชิงเทียน เปาบุ้นจิ้น เป็นตัวแทนของขุนนางผู้เที่ยงธรรม)

น่าเสียดายก็แต่หลังออกจากตำแหน่ง อย่าว่าแต่ร่มหมื่นประชาคันหนึ่งเลย (คือร่มที่คนในสมัยก่อนมอบให้เพื่อเชิดชูคุณธรรมของข้าราชการท้องถิ่น) นี่ยังมีแต่คำด่าหาว่าเขาเป็นพวกขนไก่เต็มพื้น (เปรียบเปรยถึงความเละเทะ ไม่เป็นระเบียบ) ลูกน้องใต้บังคับบัญชาในที่ว่าการอำเภอต่างก็ด่าเขาลับหลังว่าคร่ำครึเกินไป ไม่รู้จักช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ที่ว่าการอำเภอ เอาแต่หาเรื่องหาราวมาให้พวกเขา เหล่าชนชั้นสูงในพื้นที่ก็ด่าว่าเขาทำงานไม่เป็น ชาวบ้านก็ด่า ด่าว่าเขาแสวงหาลาภยศและคำสรรเสริญเยินยอ ทำให้ชาวบ้านต้องสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน

วันใดพูดถึงเรื่องที่เสียใจก็จะดื่มเหล้ามากหน่อย บัณฑิตถึงกับน้ำตาคลอ ไม่สนใจจะแสร้งวางท่าเป็นปัญญาชนผู้ภาคภูมิต่อหน้าหม่าตู่อี๋อีกแล้ว

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

แค่พูดถึงความคิดที่ตนมีต่อขุนนางน้ำดีและขุนนางตงฉินคร่าวๆ นั่นคือพูดถึงความดีของฝ่ายแรก และพูดถึงความลำบากใจของฝ่ายหลัง

แล้วเฉินผิงอันจะตัดใจเอ่ยประโยคที่เกินความจำเป็นด้วยการบอกบัณฑิตว่า เจ้าผิดแล้ว เจ้าควรจะต้องทำเพื่อความผาสุกของปวงประชาในหนึ่งพื้นที่และในหนึ่งช่วงเวลา ต้องเป็นบัณฑิตที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ในราชสำนักมีขุนนางที่ดีมาเพิ่มหนึ่งคน แต่บ้านเมืองกลับขาดอาจารย์ที่แท้จริงไปคนหนึ่งน่ะหรือ? การเลือกและการสละ ผลได้และผลเสียของเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่กล้าตัดสินใจเอง

ความคิดที่วกไปวนมา อ้อมค้อมเวียนวนเหล่านี้ เฉินผิงอันล้วนอ่านมาจากตำรา เห็นมาจากนอกตำราและนำมาขบคิดใคร่ครวญ

ถ้อยคำมากมายหลายอย่างที่แค่เคยรู้ว่าเป็นหลักการเหตุผลที่ดี แต่กลับไม่เคยรู้ว่าดีตรงไหน อาจารย์ฉี อาเหลียง ผู้เฒ่าเหยา บนแผ่นไม้ไผ่แต่ละแผ่น คนหลากหลายรูปแบบ หลักการเหตุผลที่พวกเขาทิ้งไว้บนโลกใบนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งชัดเจน ราวกับว่าเมื่อถูกคนรุ่นหลังจับต้นสายปลายเหตุได้แล้ว ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งแจ่มชัด

มีพบก็ต้องมีจาก

ต่อให้บัณฑิตจะชอบหม่าตู่อี๋มากแค่ไหน ต่อให้เขาจะไม่ถือสาความห่างเหินเย็นชาที่หม่าตู่อี๋มีให้ แต่ก็ยังต้องกลับไปยังเมืองหลวง ถึงอย่างไรการท่องเที่ยวอยู่ตามแม่น้ำภูเขาก็ไม่ใช่หน้าที่ที่แท้จริงของคนเป็นบัณฑิต

ตอนที่จากลากันเขาถึงเพิ่งจะบอกให้รู้ถึงตระกูลของตัวเอง เพราะวันหน้าหากท่านเฉินต้องการมาหาเขาเพื่อร่ำสุราด้วยกัน เวลาถามทางก็ควรต้องรู้จุดหมายปลายทางไม่ใช่หรือ

ที่แท้บัณฑิตก็คือหลานชายของเจ้ากรมโยธาธิการแคว้นเหมยโย่ว

พบเจอแล้วถูกชะตากันจึงดื่มเหล้าอย่างสำราญ ยามจากลาก็ค่อยนัดร่ำสุรากันใหม่ นี่ก็คงจะเป็นยุทธภพที่ดีกระมัง

อันที่จริงเจิงเย่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเหตุใดท่านเฉินถึงยินดีเสียเวลาอยู่กับบัณฑิตตกอับคนหนึ่ง ยอมเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นชมภูเขาแม่น้ำไกลถึงร้อยกว่าลี้อย่างเปล่าประโยชน์

ต่อให้บัณฑิตจะเป็นหลานชายของท่านเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่ง แล้วอย่างไร? เจิงเย่ไม่รู้สึกว่าท่านเฉินจำเป็นต้องจงใจผูกสัมพันธ์กับบุคคลเช่นนี้ในโลกมนุษย์

เพราะไม่คุ้มค่า

อย่าว่าแต่ท่านเฉินเลย ต่อให้เป็นเขาเจิงเย่ ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ยังไม่เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลาง นี่ไม่เกี่ยวกับความหยิ่งทระนงโอหังของผู้ฝึกตนบนภูเขา แต่เป็นเพราะต่อให้เจิงเย่เจอกับคนแบบเดียวกันและสถานการณ์เดียวกันนี้ อย่างมากสุดก็แค่ช่วยคนดื่มเหล้าแล้วก็แยกย้ายกันไปเท่านั้น

แต่พอคิดว่าในเมื่อนี่คือท่านเฉิน เจิงเย่ก็พลันเข้าใจ หม่าตู่อี๋ก็เคยพูดต่อหน้าท่านเฉินไม่ใช่หรือว่า เขาทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไว อันที่จริงเจิงเย่ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีความต่างจากหม่าตู่อี๋อยู่บ้าง เจิงเย่รู้สึกว่าท่านเฉินที่เป็นแบบนี้ ดีมากๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตรอให้ตนมีตบะและสภาพจิตใจเฉกเช่นท่านเฉินในทุกวันนี้ แล้วได้พบเจอกับบัณฑิตผู้นั้นอีกครั้ง ก็อาจจะพูดคุยกับเขามากหน่อยกระมัง?

โดยไม่ทันรู้ตัวจิตแห่งการฝึกตนของเจิงเย่ก็ได้เปลี่ยนจากช่วงแรกเริ่มสุดที่ต้องคว้าชายแขนเสื้อของท่านเฉินไว้ให้แน่นแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป กลายมาเป็นต่อให้วันหน้าต้องไปจากท่านเฉิน ก็ต้องมีชีวิตที่มีรสชาติขึ้นมาหน่อย มีชีวิตที่ไม่เหมือนกับเหล่าผู้ฝึกตนอิสระอาวุโสทุกคนบนเกาะเหมาเยว่ หรือแม้แต่กระทั่งคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน

ยกตัวอย่างเช่นมีความอดทนต่อคนธรรมดาล่างภูเขาให้มากหน่อย?

ตอนนี้เจิงเย่ย่อมคิดได้ไม่กระจ่างนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เริ่มคิดบ้างแล้ว

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คงไม่รู้เลยว่า ปีนั้นเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็ก้าวเดินมาแบบเดียวกันนี้ ถึงได้มีนักบัญชีอย่างในทุกวันนี้

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!