สายน้ำนอกหน้าต่างไหลรินมาเนิ่นนานนับพันปี เฉินผิงอันที่ฟุบตัวคว่ำอยู่บนขอบหน้าต่างแค่งีบหลับไปชั่วขณะ จิตใจก็ผ่อนคลายได้หลายส่วน นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยาก เฉินผิงอันไม่ได้นอนหลับฝันหวานเช่นนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว
เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ยังไม่กลับมา เฉินผิงอันก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ เมื่อได้พบกับจางเย่ที่นำข่าวมาบอก กลับไปทะเลสาบซูเจี่ยนและออกจากเกาะชิงเสียมาอีกครั้ง เนื่องจากครั้งนี้เข้าแคว้นเหมยโย่วผ่านทางด่านหลิวเซี่ย ตลอดทางก็ได้เห็นว่ามีเงาร่างของบางคนติดตามเขามาห่างๆ จริงๆ ขอบเขตสูงมาก อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันยังได้แค่สัมผัสถึงเป็นบางครั้งเท่านั้น เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ก็ยิ่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไรเลย เฉินผิงอันไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวน ง่ายที่จะเผยพิรุธแล้วจะนำมาซึ่งปัญหาวุ่นวายโดยที่ไม่จำเป็น
ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความเป็นมิตรหรือความเป็นศัตรูออกมาแม้แต่น้อย แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังอดรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่ได้
ผู้ฝึกตนในทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้านี้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ หลิวเหล่าเฉิงขอบเขตหยกดิบดูแคลนที่จะทำเช่นนี้ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าอย่างหลิวจื้อเม่าก็ยิ่งไม่มีทางทำ
ส่วนสุกลซ่งต้าหลีนั้นไม่ยินดีจะให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน นอกจากนี้เฉินผิงอันเองก็เป็นคนของต้าหลี พวกหลูป๋ายเซี่ยงก็ได้เข้าสำมะโนครัวของต้าหลีไปแล้ว ต่อให้เป็นบุคคลระดับขั้นสูงๆ ของต้าหลีที่ไม่นับรวมชุยฉาน ยกตัวอย่างเช่นสายลับคนสนิทของเหนียงเนียงในวังผู้นั้นที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือกับเขาเต็มที ก็ไม่มีทางกล้าลงมือบนสถานการณ์หมากกระดานของทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ เพราะนี่อยู่ใต้เปลือกตาของชุยฉาน และชุยฉานก็เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างถึงที่สุด แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ของต้าหลีนับจากราชสำนักไปจนถึงกองทัพ และไปจนถึงบนภูเขา ก็ล้วนเป็นชุยฉานที่เป็นผู้กำหนดแทบทั้งหมด
เฉินผิงอันแทบจะแน่ใจได้เลยว่า คนผู้นั้นก็คือหนึ่งในผู้ฝึกตนต่างถิ่นบนเกาะกงหลิ่ว ไม่น่าจะเป็นคนที่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่ง เพราะเหตุการณ์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนค่อนข้างจะสำคัญ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางลงมือกำราบหลิวจื้อเม่า
นี่จึงจำเป็นต้องให้เขาเฝ้าบัญชาการณ์เกาะกงหลิ่วด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงน่าจะเป็นพวกมือวางอันดับสองหรือสามในกลุ่มของมังกรข้ามแม่น้ำกลุ่มนั้นที่มาคอยจับตามองตน แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ในการลงมือ ความโชคดีในความโชคร้ายก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้ยืนกรานว่าจะต้องฆ่าคนให้ได้ ดูท่าน่าจะเป็นเพราะยังคิดหาวิธีการที่ครอบคลุมซึ่งไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังไม่ได้ เพราะหากลงมือขึ้นมาก็จะต้องหนักหน่วงรุนแรงดุจสายฟ้าหมื่นชั่งแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ส่วนลึกในใจเฉินผิงอันยังคงรู้สึกขอบคุณหลิวเหล่าเฉิง หลิวเหล่าเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยวางแผนให้อีกฝ่าย ถึงขั้นไม่ยอมเป็นคนที่นั่งดูไฟชายฝั่ง กลับกันยังแอบเตือนตนอย่างลับๆ โดยการเปิดเผยความลับสวรรค์ครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าในเรื่องครั้งนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือหลิวเหล่าเฉิงได้บอกให้อีกฝ่ายรู้ถึงเรื่องของป้ายอริยะที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ผู้ฝึกตนต่างถิ่นจึงกังวลว่าหากจะต้องพินาศวอดวายไปพร้อมกับเขาก็อาจจะทำลายแผนการใหญ่ที่พวกเขาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยน
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่า หลิวเหล่าเฉิงคือคนที่…มหัศจรรย์คนหนึ่ง ความเป็นไปได้อย่างแรกจึงค่อนข้างจะมากกว่า
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลิวเหล่าเฉิงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจตัดสินทิศทางการดำเนินไปของทะเลสาบซูเจี่ยนในท้ายที่สุด เป็นเหตุให้กระดานหมากที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก สถานการณ์หมากสองด้านที่มีต่อหลิวจื้อเม่า ถานหยวนอี้และหลิวเหล่าเฉิงต่างก็พังครืนลงในค่ำคืนเดียว เฉินผิงอันจำต้องยอมรับว่ากระดานหมากกระดานนี้ ขาดก็แค่ยังไม่ถูกคนพลิกคว่ำเท่านั้น ตอนนี้เป็นตาของซูเกาซานแม่ทัพหลักต้าหลีกับผู้ฝึกตนต่างถิ่นกลุ่มนั้นที่วางหมากบนทะเลสาบซูเจี่ยน พวกคนอื่นๆ ซึ่งรวมถึงตัวเฉินผิงอันเองด้วยนั้นต่างก็ต้องมายืนรอกันอยู่ด้านข้าง
แต่หากจะบอกว่าความตั้งใจ ความมุมานะพยายามที่ต้องเปลืองทั้งแรงกายแรงใจ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นว่าเหนื่อยเปล่า เฉินผิงอันกลับไม่คิดเช่นนั้น
จะต้องยอมรับชะตากรรมหรือไม่ ก็จำเป็นต้องรู้ชะตากรรมเสียก่อนจึงจะยอมรับได้ ก็เหมือนที่เฉินผิงอันอยากพบซูเกาซาน แต่กลับได้รับคำตอบมาเป็นสามคำที่ค่อนข้างจะหยิ่งผยองว่า ‘ไสหัวไป’ เฉินผิงอันสามารถยอมรับมันได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะการเดินทางไปเยือนแคว้นสือหาว ซึ่งจากสิ่งที่ได้เห็นกับตาและได้ยินมากับหูของตัวเอง บวกกับสรุปรายงานของเกาะปุยหลิวก่อนหน้านี้ สำหรับซูเกาซาน เฉินผิงอันกล้าพูดเลยว่าตนค่อนข้างจะเข้าใจนิสัยของคนผู้นี้ มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจน เผชิญกับความลำบากยากเข็ญ ใช้คุณความชอบทางการสู้รบที่โดดเด่นมาเป็นต้นทุนในการหยัดยืน คนประเภทนี้เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว จิตใจของพวกเขาจะแข็งปานหิน แข็งแกร่งและทรหดอย่างถึงที่สุด สภาพจิตใจคล้ายคลึงกับจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนใหญ่มานานแล้ว ไม่แน่ว่าต่อให้ชุยฉาน ซ่งจ่างจิ้งจะเป็นผู้ออกคำสั่งแก่คนผู้นี้ อีกทั้งคงเลี่ยงการกล่าวโทษเอาผิดกับเขาไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจก็น่าจะรู้สึกเคารพเลื่อมใสซูเกาซานอยู่หลายส่วน
ทว่าถึงอย่างไรการยอมรับชะตากรรมก็เหมือนการที่ลงแรงเพาะปลูกอย่างเหนื่อยยาก แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมา แน่นอนว่าทำให้คนอดผิดหวังไม่ได้
สำหรับข้อนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากจางเย่ที่ปรากฏตัวที่ภูเขาหูลั่ว
เฉินผิงอันคิดจะคลำไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า ก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าหม่าตู่อี๋เอาไปห้อยเอวตัวเองแล้ว เขาจึงนั่งลงข้างโต๊ะ ครุ่นคิดแล้วก็หยิบเอาผลงานชั้นเยี่ยมของเสี้ยนเว่ยที่เป็นบัณฑิตสติวิปลาสผู้นั้นออกมากางดูทีละแผ่น ทอดสายตาชื่นชมมัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชื่นชอบไปหมด
เขียนเสร็จรวดเดียว เขียนอย่างเต็มอารมณ์สาแก่ใจ ไร้ข้อผูกมัดไร้พันธนาการ
นี่แตกต่างจากการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธตรงไหน?
มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ หมุนตวัดรุกถอย ไม่มีส่วนใดไม่สอดผสาน
แล้วนี่แตกต่างจากการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ตรงใด?
หลักการบนโลกมักจะมีส่วนที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่เสมอ
ตัวอักษรบนกระดาษล้วนประทับตราส่วนตัวที่ไม่เหมือนกันของเสี้ยนเว่ยหนุ่มผู้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนึ่งภาพหนึ่งตรา น้อยมากที่จะเป็นหนึ่งภาพสองตรา
เนื้อหาของอักษรภาพหนึ่งในนั้นมีน้ำเสียงที่วางโตอย่างยิ่ง ‘หากข้าถือภาพส่องผืนน้ำ กลัวก็แต่ว่าแต่ละตัวอักษรจะกลายเป็นเจียวลงน้ำ หากข้าถือภาพท่องไปยามราตรี ก็จะสั่งสอนให้ภูตผีและองค์เทพรบเร้นหนีหาย’
ด้านข้างประทับตราสองตราที่เป็นอักษรคำว่า ‘เจียววัยเยาว์พลังเปี่ยมล้น’ และ ‘มังกรผอมแห้งจิตวิญญาณเอิบอิ่ม’
แล้วก็มีอีกภาพหนึ่งที่ตบตราประทับลงบนภาพตัวอักษรติดๆ กันถึงสามตรา ตอนนั้นการกระทำนี้ของเสี้ยนเว่ยหนุ่มทำให้เฉินผิงอันประทับใจอย่างลึกล้ำ พลังแห่งชีวิตชีวาบนใบหน้าของเขาประดุจเจ๋อเซียนนักประพันธ์ที่หัวเราะร่าดูแคลนอ๋องและโหว ‘เจอกับคนโง่ที่ใช้เหล้าหมักตระกูลเซียนมาขอตัวอักษรเซียนของข้า ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!’ ตราประทับที่เขาประทับไว้แบ่งออกเป็น ‘เปิดศักราช’ ‘ฉางสู’ และ ‘เซียนบ่อน้ำหมึก’
เฉินผิงอันเก็บอักษรภาพแต่และแผ่นลงไป
หลังจากนี้จะต้องนำไปเก็บรักษาไว้บนภูเขาลั่วพั่ว ในอนาคตไม่ว่าใครที่เปิดปาก ให้ราคาสูงเท่าไหร่ก็จะไม่ขาย จะต้องเก็บไว้เป็นทรัพย์สมบัติตกทอดของตระกูล!
พอคิดถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็อดคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าไม่ได้
เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เขาหันหน้าไปมองน้ำในแม่น้ำอยู่ตลอดเวลา
เคยมีบทกวีไพเราะประโยคหนึ่งที่คัดลอกจากตำรามาสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ แผ่นไม้ไผ่เล็กๆ แผ่นหนึ่งกลับสามารถบรรจุความหมายที่ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนั้น
‘ทอดสายตามองไป ยามต้นเหมันต์ หมื่นพืชพรรณแห้งเหี่ยวโรยรา ขับให้ฟ้าดินยิ่งไพศาล กระแสธารใต้จันทราใสกระจ่างดุจแพรต่วนขาวที่ไหลรินห่างไปไกล’
ทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ของมหานทีนอกหน้าต่างทำให้จิตใจเปิดโล่งปลอดโปร่งตามไปโดยไม่รู้ตัว
อาจารย์ฉี เรื่องบางอย่างที่ข้ายังคงทำไม่ได้ตอนอยู่ภูเขาห้อยหัว ประโยคหนึ่งที่หลังจากมานะพยายามแล้ว ตอนนี้ข้าอาจจะทำได้แล้ว
หลังจากเจิงเย่และหม่าตู่อี๋กลับมา เจิงเย่เล่าให้ฟังด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมว่าได้พบท่านผู้เฒ่าเทพวารีของแม่น้ำชุนฮวาจริงๆ เขาสวมชุดผ้าแพรปักลาย ปักปิ่นดอกไม้ มีไมตรีจิตมากเป็นพิเศษ พอเห็นพวกเขายังตั้งใจปรากฎตัวพาพวกเขาไปเดินเที่ยวทั่วศาลเทพวารีโดยเฉพาะ
แต่หม่าตู่อี๋กลับเหลือกตามองบน บอกว่าสายตาของตาเฒ่านั่นทำให้คนไม่สบายตัว ท่าทางหื่นกาม ตอนที่มองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวนางก็คอยเหลือบมองเอวนางอยู่หลายรอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!