เฉินผิงอันเก็บภาพตัวอักษรทุกแผ่นมาแล้วออกจากที่ว่าการ
คนทั้งสามจูงม้าจากมา หม่าตู่อี๋อดไม่ไหวถามขึ้นว่า “ตัวอักษรดี ข้ามองออก แต่มันดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ? เหล้าหมักเซียนพวกนี้มีค่าหลายเงินเกล็ดหิมะ หากนำมาคำนวณเป็นเงินก้อนแล้ว ภาพตัวอักษรฉ่าวซูภาพหนึ่งจะมีค่าหลายพันหรือถึงหมื่นตำลึงเงินจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันได้อักษรภาพมาแล้วก็อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าเป็นตัวเขาเองที่ดื่มเหล้าเข้าไปเยอะอย่างไรอย่างนั้น เขากล่าวอย่างน่าเชื่อถือว่า “พวกเจ้าไม่เชื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูเถอะ ในอนาคตวันใดที่พวกเจ้ามาเยือนที่นี่อีกครั้ง ถนนเส้นนี้ต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทิศ ร้อยปีพันปีให้หลัง ต่อให้บัณฑิตคนนั้นจะตายไปแล้ว แต่ตลอดทั้งอำเภอจะต้องได้รับบุญบารมีจากเขา ถูกคนรุ่นหลังจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ”
ม้าทั้งสามตัวออกไปจากอำเภอเล็กแห่งนี้ช้าๆ ในเวลานี้พวกชาวบ้านในอำเภอยังแค่มองเสี้ยนเว่ยบัณฑิตสติฟั่นเฟือนผู้นั้นเป็นตัวตลก แต่กลับไม่รู้เลยว่ายอดฝีมือด้านการเขียนพู่กัน นักประพันธ์จำนวนนับไม่ถ้วนในรุ่นหลังจะอิจฉาแค่ไหนที่พวกเขาโชคดีเคยได้เห็นความสง่างามของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง
เทศกาลจงชิวของปีนี้ ครอบครัวที่ถือว่าพอมีพอกินในแคว้นเหมยโย่ว คนในครอบครัวได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของแคว้นสือหาวกลับบอกได้ยากแล้ว
เทศกาลจงชิวของปีหน้า ไม่แน่ว่าแคว้นเหมยโย่วอาจมีสภาพอันน่าสังเวชเฉกเช่นแคว้นสือหาวในทุกวันนี้
ในป่าเขามีภูตประหลาดอยู่มากมาย
ฤดูใบไม้ร่วงของปีผ่านไป ฤดูหนาวก็มาเยือนอีกครั้ง
ในขณะที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวแคว้นเหมยโย่วจนเกือบครบทุกสถานที่และเตรียมจะต้องกลับทะเลสาบซูเจี่ยน มีวันหนึ่งในป่าลึกที่รกร้างไร้ผู้คน เฉินผิงอันอาศัยสายตาที่ดีกว่าคนทั่วไปมองไปบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ได้เห็นวานรเฒ่าเสื้อผ้าขาดวิ่นตนหนึ่งห้อยหัวอยู่บนนั้น ทั่วร่างของมันถูกรัดพันด้วยโซ่เหล็ก น่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน วานรเฒ่าจึงแสยะยิ้มให้เห็นเขี้ยว แม้ว่าจะไม่ได้แผดเสียงคำราม ทว่าปราณดุร้ายของมันก็น่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง
บริเวณใกล้เคียงกับวานรเฒ่ามีช่องโพรงหินที่ถูกขุดเจาะด้วยฝีมือคนอยู่แห่งหนึ่ง ตอนที่เฉินผิงอันมองไป ตรงนั้นมีคนลุกขึ้นยืน มองประสานสายตากับเฉินผิงอัน คือภิกษุหนุ่มที่ใบหน้าแห้งตอบคนหนึ่ง ภิกษุพนมมือทั้งสิบนิ้วขึ้นคารวะเฉินผิงอันเงียบๆ
เฉินผิงอันเองก็พนมมือก้มหน้าคารวะกลับคืนไปเบาๆ เลียนแบบภิกษุ
หม่าตู่อี๋ถามอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่งเดินออกมาจากเทือกเขาแถบนั้น เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “มีภิกษุชั้นสูงคนหนึ่งใช้ความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของตนกำราบวานรพยศที่จำแลงออกมาจากมารในใจตัวเองได้”
หม่าตู่อี๋จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ถึงขั้นจำแลงจิตมารออกมาได้ ภิกษุท่านนี้จะไม่ใช่เซียนดินเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง”
ทางฝั่งของช่องโพรงหิน ภิกษุหนุ่มนั่งกลับลงไปบนเบาะนั่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก้าวหนึ่งก้าวออกมาจากช่องโพรงหิน ทะยานลมเหยียบลงบนความว่างเปล่า สบตากับวานรเฒ่าที่เริ่มสงบอารมณ์ลงได้เรื่อยๆ ในสายตาของฝ่ายหลังมีทั้งความซับซ้อน กลัดกลุ้ม โกรธแค้น วิงวอน เวทนา เย้ยหยัน มากมายหลากหลายอารมณ์
ภิกษุหันหน้าไปมองคล้ายจะรู้สึกกังขาไม่เข้าใจ
ว่าเหตุใดวานรในใจของตนถึงได้ผิดปกติไปเช่นนี้?
ก่อนหน้านี้เวลามันพบเจอผู้ฝึกตนเซียนดินที่ขี่กระบี่หรือไม่ก็ทะยานลมผ่านทางมาก็ล้วนไม่เคยคิดจะชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว
ภิกษุหนุ่มเริ่มกระจ่างแจ้งจึงเผยรอยยิ้มบางๆ ก้มหน้าลงประนมสิบนิ้วท่องภาษาธรรมอีกคำ จากนั้นก็ย้อนกลับเข้าไปในช่องโพรงหิน นั่งทำสมาธิของตัวเองต่ออีกครั้ง
ผู้ฝึกตนอายุมากที่สีหน้าเฉยชา สายตามืดดำคนหนึ่งมาปรากฏตัวในสุสานร้างที่มีกระบี่โบราณปักตรึงป้ายศิลา ใต้ดินของที่แห่งนี้มีปราณหยินพลุ่งพล่านท่วมท้น ต่อให้จะสัมผัสได้ว่าเขาน่าจะเป็นเซียนดินในโลกคนเป็น ทว่าพวกผีร้ายที่หลบซ่อนอยู่ตามรากภูเขาก็ยังยากจะเปลี่ยนสันดาน พวกมันรวบรวมปราณดุร้ายพยายามจะพุ่งออกมาจากพื้นดิน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผีร้ายลอยตัวขึ้นมาก็จะต้องมีปราณกระบี่ดุจสายฝนตกลงไปสู่ใต้ดิน เสียงร้องโหยหวนจึงดังเป็นระลอก
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนเฒ่าไม่กลัววัตถุหยินเหล่านี้ เขาเพียงแค่ขมวดคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “น่าแปลกนัก ไม่กลัวปราณโอสถทองที่ข้าจงใจปล่อยออกไปจากร่าง แต่กลับกลัวคนหนุ่มที่ดูไม่สมประกอบคนหนึ่งน่ะหรือ?”
วันนี้ได้พักแรมในโรงเตี๊ยมของตระกูลเซียนตรงตีนเขาอย่างที่หาได้ยาก
หม่าตู่อี๋ทิ้งตัวนอนลงบนผ้าห่มที่อ่อนนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม ในเมื่อทนกับความยากลำบากมาแล้วก็ขอเสวยสุขบ้างเถิด
เจิงเย่กลับไม่ได้รู้สึกอะไร เขาเพียงฝึกตนอยู่เพียงลำพังในห้อง
เฉินผิงอันขอรายงานตระกูลเซียนฉบับหนึ่งมาจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ในราชสำนักของแคว้นเหมยโย่วก็เริ่มมีการถกเถียงกันแล้ว เพียงแต่ว่าสิ่งที่เถียงกันไม่ใช่ว่าควรจะขัดขวางคนเถื่อนต้าหลีหรือไม่ แต่ควรจะปกป้องพิทักษ์ดินแดนอย่างไร
ต้องรู้ว่านี่ยังเป็นการตัดสินใจระหว่างกษัตริย์และขุนนางของแคว้นเหมยโย่วโดยอยู่ภายใต้สถานการณ์อันตรายที่เมืองหลวงแคว้นสือหาวถูกตีแตกมานานแล้วด้วย
ส่วนราชสำนักแคว้นสือหาวที่เวลานี้วุ่นวายไร้ระเบียบ ในที่สุดก็ได้มีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขาก็คือหันจิ้งหลิงอ๋องเจ้าเมืองผู้ได้รับชื่อเสียงดีงามว่า ‘เสียนอ๋อง’ (อ๋องผู้ทรงคุณธรรม) บิดาของหวงเฮ้อ แม่ทัพใหญ่ชายแดนที่ไม่สูญเสียทหารบนสมรภูมิรบไปเลยแม้แต่คนเดียวก็กลายมาเป็นผู้นำแห่งแม่ทัพบู๊ของแคว้นสือหาวในคราวเดียว ในฐานะสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมยากมากับหันจิ้งหลิงฮ่องเต้องค์ใหม่ หวงเฮ้อเองก็ได้รับการแต่งตั้ง กระโดดกลายไปเป็นรองเจ้ากรมพิธีการในก้าวเดียว บิดาและบุตรชายอยู่ในราชสำนักเดียวกัน อีกทั้งยังมีลูกหลานสกุลหวงอีกกลุ่มใหญ่ ไก่และหมาจึงพลอยได้ขึ้นสวรรค์ พวกเขาร่วมกันยึดครองราชย์สำนัก มีหน้ามีตาอย่างไร้ขีดกำจัด
ตั้งแต่เมื่อหลวงไปจนถึงท้องถิ่นของแคว้นสือหาว ขุนนางบุ๋นบู๊ที่พร้อมใจกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญมีปรากฏไม่ขาดสาย ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการติดภาพเทพทวารบาลของแคว้นอื่นไว้ที่หน้าประตูบ้านตัวเองก็ยังไม่ยินดีทำ
ในบรรดานั้นมีลูกหลานของตระกูลที่ไม่อยากถูกเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทำร้ายจนตาย จึงแอบนำภาพเหมือนของเทพทวารบาลผู้เป็นบรรพบุรุษของสองแซ่สกุลเฉาหยวนแห่งต้าหลีไปติดไว้ และยังมีบางคนที่ใจเด็ดหน่อยก็ถึงขั้นจับเจ้าประมุขตระกูลมัดเอาไว้เสียเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาวิ่งไปฉีกภาพเทพทวารบาลทิ้งแล้วยังต้องมาด่าพวกเขาว่าเป็นลูกหลานที่ไร้คุณธรรม ทำผิดต่อบรรพบุรุษ
ผู้คนมีสารพัดรูปแบบ หวานขมล้วนรู้อยู่กับตัวเอง
ในรายงานตระกูลเซียนที่เขียนบรรยายได้อย่างสมจริงฉบับนี้ เรื่องเล็กยิบย่อยที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิงหลังมื้ออาหารทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อไปปรากฎอยู่ในครอบครัวของพวกชาวบ้านกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ตัดสินความเป็นความตาย เป็นโศกนาฎกรรมที่ครอบครัวหนึ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนพลัดพรากจากลา
เมื่อเทียบกับแคว้นสือหาวที่ไม่ค่อยสะดุดตาแล้ว ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยิ่งเหมือนถูกพลิกฟ้าคว่ำดิน ยิ่งทำให้คนอกสั่นขวัญผวา
ทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีเกาะลี่ซู่ เกาะหวงหลี เกาะชิงจ่ง เทียนหมู่ ฯลฯ เป็นผู้นำ พากันสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ยินดีมอบสมบัติครึ่งหนึ่ง รวมไปถึงทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ที่มีความหมายสำคัญอย่างใหญ่หลวงเล่มนั้นไปให้
ซูเกาซานที่อยู่ในจวนสกุลฟ่านนครน้ำบ่อจัดงานเลี้ยงฉลอง เพียงแต่ว่างานเลี้ยงนี้แค่ถูกจัดขึ้นในนามของเขาเท่านั้น เพราะวันงานจริงเขาส่งแค่แม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาที่เป็นแค่ระดับสามชั้นโท และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกไม่กี่คนที่ดึงออกมาจากขบวนทัพเวลานั้นให้รับผิดชอบคอยรับรองเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย
แม้แต่หน้าตาเพียงเล็กน้อยแค่นี้ซูเกาซานก็ยังไม่ยินดีมอบให้แก่เหล่างูเจ้าถิ่นแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยินยอมคล้อยตามเขาแต่โดยดี
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านั้นเขามอบ ‘นามบัตร’ ให้แก่กองทัพเหล็กต้าหลีโดยใช้ป้ายผู้ถวายงานเกาะชิงเสียและป้ายสงบสุขปลอดภัย บอกว่าอยากจะขอพบแม่ทัพหลักท่านนั้น สุดท้ายคำตอบที่ซูเกาซานมอบมาให้ก็เรียบง่ายและรวดเร็วมาก แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นคำพูดที่ออกจากปากของแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเอง แค่สามคำเท่านั้น ‘ไสหัวไป’
เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นรู้สึกขุ่นเคืองหรืออัดอั้นตันใจ ก็แค่รู้สึกจนใจเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนเกาะชิงเสียที่สูญเสียการเฝ้าพิทักษ์จากหลิวจื้อเม่าก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะมีกองกำลังที่เป็นผู้นำอย่างเถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน อวี๋กุ้ยโอสถทอง และผู้ฝึกตนโอสถทองที่พอจะเรียกลมเรียกฝนในทะเลสาบซูเจี่ยนอีกสองสามคนมาปรากฎตัวในงานเลี้ยงจวนสกุลฟ่านนครน้ำบ่อ เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นั่งของพวกเขาไม่ได้อยู่หน้าสุด ถึงขั้นสู้เกาะเทียนหมู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่ก็คือผู้ฝึกตนอิสระแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!