กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 454

โจรหนุ่มคนนั้นเกือบจะพ่นข้าวคำใหญ่ที่กินเข้าไปออกมา ผลกลับถูกหัวหน้าโจรตบป้าบเข้าที่ศีรษะ “มองอะไร ไม่เคยเห็นวีรบุรุษชายชาตรีในยุทธภพหรือไร?!”

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิลงบนหินก้อนใหญ่ ยิ้มบางๆ ถามว่า “นักพรตท่านนี้ เหตุใดถึงอยากตาย?”

อันที่จริงนักพรตวัยกลางคนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เขาหลับตาลงเอ่ยเบาๆ ว่า “ชะตาชีวิตกำหนดมาให้ต้องตาย มหามรรคาไร้ความหวัง ไม่ตายแล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านนักพรตรู้หรือไม่ว่า สามลัทธิพุทธเต๋าขงจื๊อต่างก็เลื่อมใสใน ‘คัมภีร์ดั้งเดิม’ เล่มหนึ่งอย่างถึงที่สุด อืม ก็คือตำราโบราณเล่มที่ผู้คนเรียกขานว่าเป็นผู้นำแห่งกลุ่มคัมภีร์นั่นแหละ มีประโยคหนึ่งในนั้นกล่าวไว้ว่า มหามรรคาห้าสิบ ฟ้าดินวิวัฒน์สี่สิบเก้า มนุษย์เร้นซ่อนหนึ่งใน?”

นักพรตวัยกลางคนพยักหน้ารับ “มหามรรคามีทั้งหมดห้าสิบเส้น แต่ใช้ได้จริงแค่สี่สิบเก้าเส้น พวกเราจึงบอกว่าเต๋า (มรรคา) ก่อกำเนิดหนึ่ง หนึ่งก่อกำเนิดสอง ก่อกำเนิดสรรพชีวิต”

เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อด่านมารมาถึง ผู้ฝึกตนจะลำบากมากเป็นพิเศษ ต่อให้ในมือได้ครอบครองทหารกล้าล้านนาย ก็ยังยากจะโจมตีให้ศัตรูในใจถอยร่นกลับไปได้”

นักพรตวัยกลางคนลุกขึ้นนั่ง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เหตุผลนั้นข้าเข้าใจดี แต่ข้าก็เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตที่พรสวรรค์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าคาดหวังให้มหามรรคามาอยู่กับข้า ข้าหวาดกลัวมากจริงๆ คิดไปคิดมาก็ยังไม่อาจฝ่าด่านในใจไปได้ ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ชาติหน้าแล้ว”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโจรบนหลังม้ากลุ่มนั้นแล้วพยักหน้ารับ “ก็จริง ทำลายรังโจรบนภูเขานั้นง่าย ทำลายรังโจรในใจนั้นยาก ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน”

นักพรตวัยกลางคนฝืนยิ้ม “ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว”

นักพรตวัยกลงคนที่ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กับคนหนุ่มที่สีหน้าซีดเซียวอิดโรยได้มาพบกันโดยบังเอิญท่ามกลางสายน้ำและขุนเขา

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันแต่พอสมควร แล้วจึงจากลากันไป ไม่มีการพูดคุยอะไรที่มากกว่านั้น

โจรกลุ่มนั้นรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก โดยเฉพาะโจรหนุ่มที่รู้สึกว่าตนเพิ่งไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง

เจิงเย่ไม่อาจทำความเข้าใจความคิดของนักพรตวัยกลางคนได้เลย ตอนที่จากมาไกลแล้วจึงถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ยินดีรอความตายอยู่จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บนเส้นทางของการฝึกตนมีความประหลาดอัศจรรย์นับร้อยนับพันรูปแบบ นักพรตคนนั้น หากให้พูดตามคำกล่าวของลัทธิพุทธก็คือ มีเพียงทำความเข้าใจด้วยตัวเองเสียก่อน จึงจะมีโอกาสให้คนอื่นได้ชี้แนะจนกระจ่างแจ้ง ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะเป็นภิกษุสมณะสูงแค่ไหน ชี้แนะเขาไปแล้วก็ยังไม่อาจทำให้เขาบรรลุธรรมได้ มีแต่จะทำให้เขาคร่ำครวญว่าปวดหัวเสียมากกว่า อืม พวกเจ้าสองคนเคยได้ยินคดีทางศาสนาพุทธคดีหนึ่งไหม? มีภิกษุชั้นสูงคนหนึ่งกล่าวว่า จิตใจดุจแก้วกระจกใส ต้องคอยปัดกวาดทำความสะอาด อย่าให้ฝุ่นผงมาสัมผัสโดนมัน อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า เดิมทีก็เป็นสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง จะเอาฝุ่นจากไหนมาสัมผัสโดน คำกล่าวสองอย่างนี้ พวกเจ้าคิดว่ามีแบ่งสูงต่ำหรือไม่?”

เจิงเย่ส่ายหน้า “ข้าฟังไม่เข้าใจ”

หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าฝ่ายหลังย่อมสูงส่งกว่า”

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “หากอิงตามความหมายของลัทธิพุทธ บางทีฝ่ายหลังอาจจะสูงส่งกว่า แต่ฝ่ายแรกกลับเป็นเรือข้ามฝากที่ทุกคนซึ่งลุ่มหลงมัวเมาอยู่บนโลกสามารถโดยสารไปได้ เมื่อคนที่ข้ามฝากมาแล้ววางไม้พายในมือลง ลุกขึ้นเดินขึ้นฝั่ง ยามเยื้องย่างก้าวสุดท้ายที่ก้าวลงเรือไปนั้นถึงจะสามารถบอกว่าตัวเองได้ว่าเข้าใจฝ่ายหลังแล้ว การค่อยๆ ตระหนักรู้คือต้นทุนของการตื่นรู้ในฉับพลัน ลำดับขั้นตอนก่อนหลังในเรื่องนี้ อันที่จริงก็ยังต้องมีอยู่ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากกระจกในใจขุ่นมัว ไม่เช็ดถูก็จะสกปรก หม่นหมองไร้ประกาย ใครเล่าที่จะเกิดมาแล้วเป็นผู้บรรลุธรรมได้เดินขึ้นฝั่งไปโดยตรง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “คำสอนทั้งสองอย่างล้วนดี ล้วนถูกต้อง การที่ข้าพูดคุยเรื่องนี้กับพวกเจ้าก็เพราะก่อนหน้านี้ที่ข้าเดินทางผ่านแคว้นชิงหลวน ระหว่างทางได้ยินปัญญาชนพูดถึงพระธรรม เขาดูแคลนฝ่ายแรกอย่างมาก เอาแต่นับถือเลื่อมใสฝ่ายหลังอย่างเดียว บวกกับหนังสือเบ็ดเตล็ดหลายเล่มที่คล้ายคลึงกับผลงานส่วนตัวของปัญญาชนก็ชอบที่จะแฝงการด้อยค่าฝ่ายแรกเอาไว้ ข้าก็แค่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยดีเท่านั้น”

หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้น้อยครั้งที่จะได้ยินท่านเฉินพูดถึงลัทธิพุทธ ที่แท้ก็มีความสนใจมานานแล้ว ท่านเฉินอ่านหนังสือหลากหลายกว้างขวางอย่างแท้จริง ทำให้ข้านับถือยิ่งนัก…”

หม่าตู่อี๋ทำหน้าทะเล้น “ไม่ไหว แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังพูดต่อไม่ลง”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “นี่หมายความว่าความสามารถในการประจบสอพลอของเจ้ายังไม่มากพอ”

หลังจากนั้นม้าสามตัวก็ไปเยือนโบราณสถานที่มีชื่อเสียงซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเซียนแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือบ่อลึกไร้เจ้าของ ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็มีบรรยากาศหนาวเย็นเหมือนลมหนาวพัดโชยแล้ว บนหน้าผาหินสลักประโยคหนึ่งด้วยชาดสีแดงซึ่งอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นไม่สามารถตรวจสอบได้ ‘หางฉิวติดทองผนังสียุคโบราณ อวี่เชี่ยวชาญขี่ม้าลงบ่อน้ำใบไม้ร่วง’ คนทั้งสามแหงนหน้ามอง บนผนังมีร่องรอยของการทาสีอยู่จริงๆ ยังพอจะมองเห็นเป็นรูปร่างของเจียวหลงได้เลือนราง และบ่อน้ำสีเขียวมรกตที่อยู่ข้างเท้าก็มองไม่เห็นกุ้งปูปลาใดๆ

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ยื่นมือจุ่มลงไปในบ่อน้ำ ความเย็นแผ่ซ่านมาเป็นระลอก แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงร้านตระกูลหร่วนที่ตั้งอยู่ริมลำคลองของบ้านเกิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร้านตระกูลหร่วนหมายตาในโชคชะตาน้ำที่มืดลึกหนักอึ้งของลำคลองหลงซวี บ่อลึกแห่งนี้อันที่จริงก็เหมาะจะใช้หลอมกระบี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ฝึกกระบี่ตระกูลเซียนมาสร้างกระท่อมอยู่ที่นี่ เฉินผิงอันพลันหดมือกลับมากะทันหัน ที่แท้ไอเย็นในน้ำไม่ได้บริสุทธิ์ แต่เจือปนไปด้วยปราณสกปกรกที่ชั่วร้ายอึมครึมมากมาย เหมือนเชือกขมวดเป็นปมยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นทำร้ายให้ร่างกายและจิตใจของคนได้รับความเสียหายในทันที แต่ก็อยู่ห่างจากคำว่า ‘บริสุทธิ์’ ค่อนข้างไกล ก็ไม่น่าแปลก เพราะนี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกตน

คิดดูแล้วในอดีตที่นี่คงจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น

น่าจะคล้ายคลึงกับป้อมอินทรีบินและหอขึ้นดาดฟ้าของใบถงทวีป

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มท่องอยู่ในแคว้นเหมยโย่ว เดินทางผ่านผืนป่าและเมืองต่างๆ มากมาย เคยเจอพวกเด็กๆ ที่ไม่เคยเห็นม้าตัวใหญ่จึงวิ่งไปหลบอยู่ในพงดอกไม้ และบางครั้งก็เจอกับผู้ฝึกตนอิสระที่ออกท่องเที่ยวซึ่งมองดูคล้ายจะธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ รวมไปถึงขบวนสู่ขอเจ้าสาวบนถนนในอำเภอที่ตีฆ้องร้องป่าวประโคมดนตรีบรรเลงกันอย่างครึกครื้น หนทางยาวไกลนับพันลี้ ขึ้นเขาลงห้วย พวกเฉินผิงอันยังพบเจอกับหลุมศพรกร้างที่มีกอหญ้าขึ้นเต็มแห่งหนึ่ง พบว่าด้านในนั้นมีกระบี่โบราณที่ปักตรึงเข้าไปในป้ายศิลาหน้าหลุมศพ มองเห็นแค่ด้ามกระบี่ ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีแล้ว ปราณกระบี่ก็ยังอึมครึมดุดัน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นอาวุธวิเศษที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง เพียงแค่ผ่านกาลเวลามาค่อนข้างยาวนาน ไม่เคยได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่น บริเวณริมขอบจึงเริ่มปริแตกแล้ว หม่าตู่อี๋คิดอยากจะเอากลับไปด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นวัตถุที่ไร้เจ้าของ นำไปซ่อมแซมขัดเกลาสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้ราคาไม่เลว เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ยอม บอกว่านี่เป็นวัตถุอาคมที่นักพรตใช้สยบฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้ นี่ถึงทำให้ระงับปราณชั่วร้ายเสนียดจัญไรทั้งหลายเอาไว้ได้ ไม่ให้พวกมันกระจัดกระจายไปสี่ทิศ กลายเป็นพิบัติภัย

ในฐานะวัตถุหยิน หม่าตู่อี๋มีหรือจะมองไม่ออก เพียงแต่นางไม่สนใจก็เท่านั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ชักกระบี่โบราณออกมา หากสุสานร้างแห่งนี้มีภูตผีปีศาจปรากฏตัวออกอาละวาดจริงๆ พวกเราก็ถือโอกาสกำจัดปีศาจปราบมารเสียเลย ได้ทั้งวัตถุวิเศษ ได้ทั้งสะสมบุญ นี่ไม่เรียกว่ามีแต่ได้กับได้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “บัญชีเก่าแก่นานปี ปะปนกันจนแยกแยะไม่ชัดเจน จะรู้ได้อย่างไรว่าในเหตุการณ์นี้ไม่มีความยากลำบากและอุปสรรคซุกซ่อนอยู่”

หม่าตู่อี๋ไม่ใคร่จะพอใจนัก “ท่านเฉินอะไรก็ดีไปหมด ก็แค่ทำอะไรไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้เป็นเด็กที่ไม่มีเรี่ยวแรงแค่ไหนก็ยังสามารถทุบทำลายชามข้าวเครื่องกระเบื้องให้แตกได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คล่องแคล่วฉับไวอย่างหนึ่ง เจิงเย่ก็ทำได้ กับโจรกลุ่มนั้น หากเจิงเย่คิดจะฆ่าก็ฆ่าได้เหมือนกัน เจ้าก็ได้ ส่วนข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่”

เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “การรวมกันของจิตใจคนเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง วัดโบราณเปลี่ยวร้าง คนคนหนึ่งเดินเข้าไปข้างใน จุดธูปไหว้พระ จะรู้สึกเคารพยำเกรง แต่หากเป็นสถานที่ที่ผู้คนเบียดเสียดกันจอแจก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหวาดกลัว หรือจะพูดเรื่องที่สุดโต่งไปอีกสักหน่อย อย่างเช่นเรื่องขูดทองบนร่างของพระพุทธรูป หากมีคนนำก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะไม่เอาตามด้วย”

ขี่ม้าผ่านสุสานรกร้างระเกะระกะ เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมอง รอบด้านไร้ผู้คน แล้วก็ไม่มีผีสักตน

มีครั้งหนึ่งที่หยุดม้าพักริมทะเลสาบในภูเขาลึก เจิงเย่หยิบก้อนหินมาขว้างไปบนผิวน้ำ ส่วนหม่าตู่อี๋เลือกตำแหน่งเงียบสงบ ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก ยื่นเท้าจุ่มลงไปในน้ำที่เย็นสบาย ยืดแขนบิดขี้เกียจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาวนเวียนอยู่บนปิ่นหยกเหนือศีรษะนางพอดี

หม่าตู่อี๋หยุดนิ่ง หวังจะให้มันหยุดอยู่นานอีกสักหน่อย

ห่างออกไปไกลมีหนุ่มน้อยคนตัดไม้ที่บนบ่าแบกไม้มัดหนึ่งผ่านทางมาโดยบังเอิญ เขาพลันหยุดฝีเท้า มองมาทางนางอย่างเหม่อลอย เข้าใจผิดคิดว่านางคือเทพธิดาตนหนึ่ง ในใจของเด็กหนุ่มเกิดความชื่นชอบเลื่อมใส แต่กลับรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้

หม่าตู่อี๋ยื่นมือไปปัดไล่ผีเสื้อตัวนั้น นางหันหน้ากลับมา ยื่นมือมาจับหนังจิ้งจอกตรงจอนผม คิดจะฉีกหน้ากากออกให้เด็กหนุ่มบ้านป่าที่มองนางด้วยสายตาทึ่มทื่อตกใจกลัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!