อ่านสรุป บทที่ 454.1 งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 454.1 งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
การเดินทางกลับมายังเกาะชิงเสียของเฉินผิงอันครั้งนี้ มาอย่างรีบร้อน แล้วก็จากไปอย่างรีบร้อนเช่นกัน
อันที่จริงกู้ช่านจะอยู่หรือไปล้วนไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ อันที่จริงแล้วเฉินผิงอันในเวลานี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มาก เรื่องราวบางอย่างที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของซูเกาซานแห่งต้าหลี เหตุการณ์พลิกผันในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแผนการของผู้ฝึกตนบนเกาะกงหลิ่ว ขอแค่เฉินผิงอันยังไม่ยินดีออกไปจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป กู้ช่านอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน
แต่การที่กู้ช่านยินดีอยู่ต่อที่เกาะชิงเสีย เฝ้าพิทักษ์จวนชุนถิง ก็คือการเลือกที่ดีที่สุด
เฉินผิงอันถ่อเรือจากไป
ไปขึ้นฝั่งที่นครลวี่ถง ก่อนหน้านี้พายเรือผ่านภูเขาพุดตานที่ศาลบรรพจารย์ถูกรื้อถอนทำลาย ครานั้นมังกรเพลิงปรากฎตัว พลังอำนาจดุดันสะท้านฟ้า ไม่เป็นรองการพลิกมหาสมุทรคว่ำนทีของหนีชิวตัวนั้นเลยแม้แต่น้อย คนมีใจที่ตบะขอบเขตสูงมากพอของทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนเข้าใจผิดคิดว่าศัตรูบนมหามรรคาของกู้ช่านปรากฎตัว จะต้องระเบิดศึกแห่งน้ำและไฟครั้งใหญ่ เพียงแต่ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นที่เล่าลือกันว่าเป็นหน่วยจานกานของต้าหลีกลุ่มนั้นจะเลือกหยุดมือแล้วจากไป
ทว่าภายหลังก็มีเรื่องสนุกให้คนได้ดูชมกันอีกไม่น้อย สตรีชุดเขียวที่เหมือนมีไอเมฆหมอกบดบังจนคนเกิดความกังขา กับเด็กหนุ่มนิสัยประหลาดผู้มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วได้ร่วมมือกันสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าของราชวงศ์จูอิ๋ง ว่ากันว่าไม่เพียงแต่เนื้อหนังมังสาของเขาเท่านั้นที่ตกไปเป็นอาหารของมังกรเพลิง แม้แต่ทารกก่อกำเนิดก็ยังถูกกักขังเอาไว้ นี่หมายความว่า ‘ผู้ฝึกตนเฒ่า’ ที่อยู่ใน ‘รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มเด็กสาว’ สองคนนี้ ไม่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลังในขั้นตอนของการเข่นฆ่า ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้คนกริ่งเกรงกันมากกว่าเดิม
โจมตีให้เซียนดินคนหนึ่งพ่ายแพ้ กับสังหารเซียนดินคนหนึ่ง คือสองเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
หลังจากเฉินผิงอันขึ้นฝั่งแล้วก็ไปรับม้าคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น แล้วก็ไปซื้อซาลาเปาเนื้อที่แป้งบางไส้เยอะจากร้านในตรอกมาอีกสองสามลูก กินอิ่มไปหนึ่งมื้อถึงได้เร่งรุดออกเดินทางไปยังชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นสือหาวที่มีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นเหมยโย่วต่อ ด่านของที่นั่นมีชื่อว่าหลิวเซี่ย พอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ ในประวัติศาสตร์ ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋งเคยสามารถรั้งตัวกุนซือตระกูลยากจนที่ได้รับการขนานนามว่ามี ‘คุณูปการครึ่งแผ่นดิน’ ได้ที่นี่ แล้วก็มีคำกล่าวบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จูอิ๋งเกิดความทดท้อหมดอาลัยตายอยาก เมื่ออยู่ที่นี่ก็ยังไม่อาจบรรลุมรรคาได้ สุดท้ายไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน จึงใช้ปราณกระบี่คมกริบสลักตัวอักษรสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ (อยู่ต่อ/รั้งไว้) ไว้บนหน้าผา สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปด้วยความเสียดาย เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงมือกระบี่ในยุทธภพหลายคนล้วนมองด่านเล็กๆ ของแคว้นใต้อาณัติแห่งนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ จะต้องมาเยือนเพื่อแหงนหน้ามองตัวอักษรสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ ที่เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันงดงามให้จงได้
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันที่อิดโรยจากการเดินทางก็เร่งรุดมาถึงด่านหลิวเซี่ย รวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่รอมานานแล้วอีกครั้ง
เห็นเงาร่างหนึ่งคนกับหนึ่งม้าที่คุ้นเคยของท่านเฉิน หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็ดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
แรกเริ่มคนทั้งสองไม่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกายยังรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์กันอยู่มาก อีกทั้งในหีบไม้ไผ่ของเจิงเย่ยังสะพายตำหนักพญายมราชคุกล่างเอาไว้ ในช่วงเวลาวิกฤตเร่งด่วนก็พอจะเชิญภูตผีขอบเขตถ้ำสถิตหลายตนที่เฉินผิงอัน ‘แต่งตั้ง’ ออกมาได้ ท่องอยู่ในยุทธภพแคว้นสือหาว ขอแค่ไม่ทำตัวโอ้อวดเกินไป แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว ดังนั้นแรกเริ่มคำพูดและการกระทำของเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋จึงไร้ซึ่งความกริ่งเกรง ไร้พันธนาการขีดจำกัด เพียงแต่ว่าเดินไปเดินมา พวกเขาที่แค่ได้ยินเสียงนกหรือเสียงลมก็เริ่มหวาดผวากันแล้ว ต่อให้ได้เจอแค่ทหารลาดตระเวนต้าหลีที่ออกมาเตร็ดเตร่ภายนอกก็ยังต้องกลัดกลุ้ม และตอนนั้นพวกเขาถึงได้รู้ว่าข้างกายมีหรือไม่มีท่านเฉินล้วนแตกต่างกันอย่างมาก
มีท่านเฉินอยู่ แม้ว่าจะต้องทำตัวอยู่ในกฎเกณฑ์ทุกเรื่องก็จริง แต่หนึ่งคนหนึ่งผีก็ยังสบายใจ
ความรู้สึกเช่นนั้นเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็เคยพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน ทว่าก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี แค่รู้สึกเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เพราะท่านเฉินมีตบะสูงเท่านั้น
ตอนไปเยือนสถานที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของด่านหลิวเซี่ย พวกเขาเงยหน้ามองตัวอักษรใหญ่บนหน้าผาที่เหมือนถูกมีดแกะสลักเอาไว้พร้อมกัน คนทั้งสองต่างก็สัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่า ท่านเฉินเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนเพียงลำพัง พอกลับมาก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้น
เฉินผิงอันเองก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้ หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็ดึงสายตากลับมา บอกกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้ามอบแผ่นหยกออกไปสองแผ่น คิดจะพบซูเกาซานแห่งต้าหลีสักหน่อย แต่ว่าไม่ได้พบเขา”
เจิงเย่ไม่ได้คิดลึก เพียงแค่รู้สึกผิดหวังแทนท่านเฉินเท่านั้น
แต่หม่าตู่อี๋กลับรู้ดีว่าท่ามกลางคลื่นมรสุมครั้งนี้จะต้องแฝงอันตรายอย่างใหญ่หลวงไว้แน่นอน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูผ่อนคลายมากที่สุด “เรื่องราวหลายอย่าง วางมันไว้ตรงนั้นไม่ไปแตะต้อง ก็จะไม่มีทางได้รู้คำตอบ แต่หากมีการเลือก ก็จะต้องมีดีและร้าย ตอนนี้ก็คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายนั่น ไม่เพียงแต่ไม่ได้พบซูเกาซาน แม้จะพูดไม่ได้ว่าเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ก็ต้องถูกแม่ทัพหลักต้าหลีผู้นี้หมายหัวเอาไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราจะต้องยิ่งระวังตัวให้มาก หากระหว่างการเดินทางอยู่ในแคว้นเหมยโย่วครั้งนี้ พวกเจ้าสังเกตเห็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีโดยบังเอิญก็ให้แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน วางใจเถอะ พวกเรายังไม่ถึงขั้นมีอันตรายถึงชีวิต”
แม้ว่าเจิงเย่จะพยักหน้ารับ แต่ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้
หม่าตู่อี๋กลับเป็นคนที่ใจกว้างดุจผืนฟ้า นางพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “ขอแค่ไม่ถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไล่ล่า ข้าก็ไม่สนใจหรอก อยากจะมองก็มองไปเถอะ เงินเหรียญทองแดงบนร่างของพวกเราไม่ได้หายไปสักหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากนิสัยของพวกเจ้าสองคนช่วยชดเชยกันและกันได้ก็คงดี”
หม่าตู่อี๋ถลึงตา “ท่านเฉินอย่าได้จับคู่ให้คนอื่นส่งเดช เจิงเย่ไม่เข้าตาข้าหรอก”
เจิงเย่หัวเราะอย่างซื่อๆ เขาก็แค่ไม่กล้าพูดว่าหม่าตู่อี๋ก็ไม่เข้าตาตนเท่านั้น
เบื้องล่างหน้าผามีคนประปราย ส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าที่จำเป็นต้องผ่านด่านของแคว้นสือหาวและแคว้นเหมยโย่ว อีกทั้งยังอายุไม่มาก พวกเขาต่างก็หวังว่าเมื่อได้กลับคืนสู่บ้านเกิดแล้ว นี่จะกลายเป็นเงินทุนในการโอ้อวดตน ส่วนพวกพ่อค้าอายุมากและคนเก่าแก่ในยุทธภพ พวกเขาเห็นสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ บนหน้าผานี้มาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว จึงรั้งพวกเขาไว้ไม่ได้จริงๆ
ในขณะที่ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเพิ่งจะหันหัวกลับก็มีมือกระบี่ในยุทธภพกลุ่มหนึ่งควบม้ามาถึงพอดี พวกเขาพากันลงจากหลังม้า ปลดกระบี่ที่พกลง แล้วหันไปโค้งกายคำนับสองตัวอักษรบนหน้าผาอย่างนอบน้อม
คนแก่หนึ่งในนั้นช่วยเล่าประวัติความเป็นมาของโบราณสถานแห่งนี้ให้แก่ลูกศิษย์อายุน้อยในกลุ่มฟังด้วยเสียงอันดัง เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมทรงพลัง แน่นอนว่าก็อดเอ่ยชมเชยคนที่ใช้กระบี่อย่างพวกเขาสองสามคำไม่ได้ เหล่าชายหญิงที่ได้ฟัง แต่ละคนมีสีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวา อารมณ์พลุ่งพล่านตื่นเต้น
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในสำนักยุทธภพที่ออกจากสำนักมาหาประสบการณ์ข้างนอก
เฉินผิงอันย่อมมองความตื้นลึกของผู้เฒ่าคนนั้นออก รู้ว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่รากฐานนับว่าไม่เลว ในแคว้นใต้อาณัติที่อาณาบริเวณไม่กว้างขวางอย่างแคว้นเหมยโย่วนี้ น่าจะถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุทธภพแล้ว เพียงแต่นอกจากมือกระบี่ผู้เฒ่าจะเจอกับโชควาสนาใหญ่ที่มหัศจรรย์แล้ว ชีวิตนี้เขาก็คงไม่มีหวังจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตหก เพราะเลือดลมแห้งขอด ดูเหมือนว่าจะยังทิ้งต้นตอของโรคไว้อีกไม่น้อย จิตวิญญาณแกว่งไกว เป็นเหตุให้คอขวดของขอบเขตห้ายิ่งแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ขอแค่เจอกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อายุน้อยกว่า เกรงว่าก็คงหนีไม่พ้นคำโบร่ำโบราณที่กล่าวว่า ‘หมัดกลัวคนหนุ่มมีกำลังวังชา’
นักพรตวัยกลางคนที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิเต๋าสายนอกของราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้มีตบะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต เดิมทีเขาคิดว่าวิถีทางโลกวุ่นวายแล้ว ในฐานะนักพรตก็ควรลงจากภูเขามาช่วยเหลือปวงประชา คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับนักไสยเวทสวมชุดผ้าป่านที่เชี่ยวชาญวิชาการมองคนจากรูปลักษณ์ผู้หนึ่ง เขาเป็นยอดฝีมือจริงๆ และพอเขาเห็นนักพรตวัยกลางคนก็บอกว่าเขาคือคนน่าสงสารที่จะต้องหิวโหยและเหน็บหนาวตายไปก่อนวัยอันควร นักพรตวัยกลางคนเศร้าใจอย่างถึงที่สุด ก็เลยเริ่มรอความตาย
โจรบนหลังม้าที่หนีจากแคว้นสือหาวเข้ามาที่นี่เพิ่งจะทำการค้าครั้งหนึ่งมาได้ ได้เงินมาไม่น้อย จึงมาหยุดม้าที่ริมลำธาร เห็นคนประหลาดที่จะตายก็ไม่ตายคนนี้ก็เกือบจะใช้มีดฟันให้นักพรตวัยกลางคนตายๆ ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว คิดไม่ถึงว่านักพรตกลับอารมณ์ดีขึ้นมา ขอร้องให้คนผู้นั้นออกมีดให้ไวสักหน่อย กลายเป็นว่าโจรหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ ไม่กล้าสังหารอีกฝ่ายแล้ว นักพรตคิดแต่จะตายอย่างเดียว เลยเริ่มอบรมสั่งสอนผู้แข็งแกร่งที่ฉกชิงปล้นสะดมคนอื่นมาจนชินกลุ่มนั้น พูดถึงเรื่องราวบางอย่างที่โชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงเทพเซียนห้าขอบเขตกลางในสายตาชาวบ้านล่างภูเขา อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ความรู้และคารมคมคายจึงยังมีอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้คนชั่วเกิดความกล้าหาญ กลับกันยังทำให้พวกโจรบนหลังม้าที่นับตั้งแต่ตัวหัวหน้าไปจนถึงลูกสมุนตกอกตกใจ หันมามองหน้ากันเอง แล้วก็กลับกลายมาเป็นฝ่ายพูดเกลี้ยกล่อมนักพรตวัยกลางคนว่าอย่าไม่เห็นค่าชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้มาเจอกับภาพเหตุการณ์นี้พอดี
เวลานี้พวกโจรไม่มีกะจิตกะใจจะฆ่าคนชิงทรัพย์อีกแล้ว อีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าม้าสามตัวมีอะไรให้น่ารังแก จึงจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นพวกเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงหยุดม้าวักน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร อะไรที่ควรทำก็ทำไป
นักพรตวัยกลางคนเห็นว่าพวกโจรจะฆ่าหรือไม่ฆ่าตน ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตของตนก็คงไม่ตายในเร็วๆ นี้ ก็เลยเอาแต่นอนรอความตายอยู่บนก้อนหิน
หากพวกโจรเห็นคนทั้งสามแล้วคิดจะปล้นพวกเขา นักพรตวัยกลางคนย่อมต้องขัดขวาง คิดเสียว่าเป็นการสั่งสมบุญเล็กๆ น้อยๆ ก่อนตัวเองตายก็แล้วกัน ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี อย่างน้อยก็มีอายุยืนยาวสักหน่อย จะได้ฝึกตนต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันถือถ้วยข้าวนั่งยองอยู่ริมลำธาร อีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มก่อไฟกินอาหารแล้วเช่นกัน
โจรหนุ่มนิสัยใจร้อนคนหนึ่งเหลือบมาเห็นสายตาของเฉินผิงอันก็ถลึงตาใส่เขา “มองอะไร ไม่เคยเห็นวีรบุรุษชายชาตรีกินข้าวหรือไร?!”
หัวหน้าโจรเอาข้าวถ้วยหนึ่งไปให้นักพรตวัยกลางคนที่อยู่บนก้อนหิน บอกว่ารอความตายอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสมควร ไม่สู้กินให้อิ่มเสียก่อน หากมีฟ้าผ่าลงมาก็ลองไปอยู่บนยอดเขาหรือใต้ต้นไม้ดู ดูสิว่าจะมีโอกาสถูกฟ้าผ่าหรือไม่ แบบนั้นถึงจะถือว่าสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป นักพรตวัยกลางคนได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคล้ายจะมีเหตุผล จึงใคร่ครวญว่าควรจะไปซื้อโซ่เหล็กเส้นใหญ่ๆ จากตลาดมาดีหรือไม่ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับถ้วยข้าวไป บอกว่าไม่หิว แล้วก็เริ่มพูดโน้มน้าวโจรอีกครั้ง บอกว่ามีจิตใจเมตตาเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ทำตัวเป็นคนดี อย่าเป็นโจรอีกเลย ตอนนี้ล่างภูเขาวุ่นวาย ไปเป็นผู้คุมกันจะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ
หัวหน้าโจรเริ่มหวั่นไหว เขาถือถ้วยข้าวเดินออกมาจากหินยักษ์กลางลำธาร กลับไปปรึกษาหารือกับเหล่าพี่น้องของตัวเอง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก
เฉินผิงอันกินข้าวในถ้วยหมดก็ดีดปลายเท้าเบาๆ หนึ่งที ทะยานร่างไปยังหินยักษ์ เรือนกายชุดเขียว ชายแขนเสื้อโบกสะบัด แล้วจึงพลิ้วกายลงข้างกายนักพรตวัยกลางคนอย่างสง่างาม
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!