กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 456

เฉินผิงอันไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่เกาะชิงเสีย เขาถ่อเรือออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ระหว่างนี้ยังจอดเรืออยู่ห่างจากเกาะกงหลิ่วไกลๆ ก่อนจะพายเรือจากมาอีกครั้ง

เขาไปที่นครลวี่ถง ไปจูงม้ามา เสียดายก็แต่ร้านซาลาเปาปิดกิจการไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยากจะเปิดร้านได้ต่อ หรือแค่หยุดช่วงปีใหม่ รอให้ผ่านเทศกาลหยวนเซียวไปแล้วค่อยเปิดร้านอีกครั้ง

เฉินผิงอันฉลองปีใหม่ระหว่างทาง

บนหลังม้านั่นเอง

อิสระเสรี

ไม่คิดว่ายากลำบาก

และวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งก็ได้มาเจอกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่รอคอยมานานพอดี

เฉินผิงอันหยุดพักหนึ่งวัน วันที่สองเดือนหนึ่งก็เริ่มออกเดินทาง ม้าทั้งสามตัวต้องอ้อมอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนมุ่งหน้าลงใต้

สุดท้ายไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เรือข้ามฝากหยุดให้บริการมานานแล้ว เฉินผิงอันบอกว่าจะรอพบคนคนหนึ่งอยู่ที่นี่ หากภายในสิบวันเขายังไม่มา พวกเขาก็ค่อยออกเดินทางกันต่อ

นอกจากการฝึกตนแล้ว เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็ยังไปเดินเที่ยวเล่นที่ท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งมีร้านค้าตั้งเรียงราย มีของวางขายละลานตาด้วยกัน

หลังจากเดินเที่ยวผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว หม่าตู่อี๋ก็บอกว่าจะเดินดูอีกรอบไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ คิดว่าตัวเองยากจนเกินไปแล้ว

เฉินผิงอันจึงให้เงินร้อนน้อยหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่คนละเหรียญ บอกว่าเป็นเงินหงเปา (หรืออั่งเปา เงินแต๊ะเอีย)ปีใหม่

เจิงเย่ไม่กล้ารับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับเอาไป หม่าตู่อี๋กลับไม่คิดจะแสร้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจต่อท่านเฉิน ยังถามด้วยว่าเงินเหรียญนั้นของเจิงเย่ก็ให้นางด้วยได้ไหม

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่กลัวว่าเงินจะหนักทับมือ ใช่ไหม?”

หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกข้าวเปลือก

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ตอบรับ เขาเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นไป “โทษทีนะ ข้าเองก็ไม่รังเกียจว่าเงินจะหนักทับมือเหมือนกัน”

เจิงเย่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น จึงถูกหม่าตู่อี๋ถองเข้าเต็มแรง เจ็บจนเขาแยกเขี้ยว

รอคอยอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนเกือบสิบวัน

ยามสนธยาของวันนี้ก็มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่กล้ามาจอดที่ท่าเรือ เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนแต่ละคนมองเห็นธงบนเรือลำนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง

ระยำนัก นั่นคือธงรบของคนเถื่อนต้าหลี

เฉินผิงอันพาคนคนหนึ่งกลับมาที่โรงเตี๊ยม เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน

เพราะคนผู้นั้นคือกู้ช่าน

เจิงเย่นั้นเป็นเพราะหวาดกลัวกู้ช่านล้วนๆ

ส่วนหม่าตู่อี๋กลับรู้สึกเป็นกังวล เพราะการที่กู้ช่านมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ

ความปรารถนาของภูตผีวัตถุหยินมากมาย เดิมทีเมื่ออยู่กับท่านเฉินนั้นสามารถทำได้ แต่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหากพวกเขาเห็นกู้ช่านก็อาจจะเปลี่ยนใจ หรือถึงขั้นเกิดความเคียดแค้นรุนแรงขึ้น วัตถุหยินไม่น้อยอาจจะเปลี่ยนไปเป็นผีอาฆาตที่สูญเสียสติปัญญาไปอย่างสิ้นเชิงโดยตรง ถึงเวลานั้นก็จะต้องสิ้นเปลืองยันต์ของท่านเฉินอีก

คืนนั้นเฉินผิงอันให้เจิงเย่นำตำหนักพญายมราชคุกล่างออกมาจากหีบหนังสือใบใหญ่ แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะในห้องของตัวเอง

ในห้องมีแค่กู้ช่านคนเดียว

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ต่างก็กลับไปที่ห้องใครห้องมัน แต่จากนั้นหม่าตู่อี๋ก็ไปหาเจิงเย่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนทั้งสองนั่งเหม่อไปด้วยกัน

ครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันมาเคาะประตูเบาๆ

หม่าตู่อี๋วิ่งเร็วๆ ไปเปิดประตู เฉินผิงอันทำท่าบอกเป็นนัยให้พวกเขานั่ง ส่วนตัวเองหลังจากนั่งลงแล้วก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พวกเจ้าคิดดูนะ ต่อให้ยากแค่ไหน แต่จะยากเท่าตอนแรกเริ่มสุดที่พวกเราเริ่มทำเรื่องนี้กันได้หรือ?”

เจิงเย่อืมรับหนึ่งที

หม่าตู่อี๋ก็พยักหน้ารับเบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “อยู่กับข้าคนนี้ เหนื่อยมากเลยใช่ไหม?”

เจิงเย่ส่ายหน้าอย่างแรง

หม่าตู่อี๋เหลือกตามองบน “เหนื่อยใจจะตายอยู่แล้ว”

เจิงเย่กล่าวอย่างขลาดๆ “แม่นางหม่า เจ้าก็ตายไปแล้วนะ”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม

หม่าตู่อี๋ถูกคำพูดของเจิงเย่ทำให้สะอึกอึ้งอย่างที่หาได้ยาก เท้าที่อยู่ด้านล่างโต๊ะจึงยกกระทืบเท้าเจิงเย่เต็มแรง

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะงีบหลับสักพัก พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”

ก่อนจะนอนหลับไป

เฉินผิงอันคิด ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิด พวกคนที่ตนห่วงใยจะยังสบายดีหรือไม่?

นอกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดแล้ว ใต้หล้าแห่งนี้ ใต้หล้าแห่งอื่นและพื้นที่มงคลแห่งนั้น ยามเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน พวกเขาจะยังสบายดีกันหรือไม่? จะยังมีต้นหลิวเคียงข้างต้นหยาง ดอกไม้ผลิบานอากาศอบอุ่นหรือไม่?

เฉินผิงอันค่อยๆ ม่อยหลับไป

มีเสียงกรนดังมาเบาๆ

ดูท่าเขาจะง่วงจริงๆ

เดิมทีเจิงเย่นึกว่าหม่าตู่อี๋ที่ชอบขัดคอท่านเฉินเป็นที่สุดจะหัวเราะเยาะท่านเฉินเสียอีก

แต่เมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หันหน้าไปมองกลับพบว่าแม่นางหม่ากำลังสูดจมูก น้ำตาเอ่อคลอ

เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ท่านเฉินก็แค่นอนกรนนิดๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือ แม่นางหม่าต้องเสียใจขนาดนี้ด้วยหรือไร?

……

เขตการปกครองหลงเฉวียน

เรือนหลังเล็กในตรอกหนีผิงที่เจ้าของตัวจริงยังคงออกเดินทางไกลไม่กลับมา

วันที่สามสิบของสิ้นปี กลอนคู่อันใหม่ ตัวอักษรฝูและภาพเทพทวารบาลล้วนมีคนนำมาติดให้เรียบร้อยไม่ขาดหายไปแม้แต่อย่างเดียว

ไม่เพียงแต่มีอาหารส่งท้ายปีโต๊ะใหญ่ที่มีกับข้าวหลากหลายชนิด พ่อครัวยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล และมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อายุมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ บุรุษชุดขาวที่ท่วงท่าบุคลิกดุจเทพเซียน และเขาก็คือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลี

และยังมีผีสาวตนหนึ่งที่สิงอยู่ในคราบร่างเซียนเหริน

คนที่ทำหน้าหนายืนกรานจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานให้ได้ แต่กลับเป็นเพียงเด็กหญิงผิวดำเกรียมคนหนึ่ง นางบอกว่านางต้องนั่งแทนอาจารย์ของตน ใครก็ห้ามมาแย่ง ทุกตระกูลล้วนมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง อาจารย์ไม่อยู่ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนางก็ต้องเป็นผู้รักษากฎ

นอกจากนี้ยังมีเด็กชายชุดเขียวที่นั่งยองอยู่บนม้านั่งตัวยาว และเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย

กินอาหารส่งท้ายปีกันเรียบร้อยแล้ว ผู้เฒ่าแซ่ชุยก็ออกจากเรือนไปก่อน จากนั้นเว่ยป้อกับจูเหลี่ยนก็ออกไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองเล็กด้วยกัน

ยังเหลือ ‘เจ้าตัวน้อย’ ทั้งสามที่นั่งล้อมกองไฟเฝ้าคืนอยู่ด้วยกัน

พอฟ้าสว่าง นอกบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงก็มีเสียงประทัดดังลั่น

แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ยกสองมือกอดอก พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ กลิ่นอายการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดอาจารย์นับว่าใช้ได้

นางไม่ค่อยกลัวอริยะสำนักการทหารที่ชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้สักเท่าไหร่ กลับกันยังรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม ซึ่งการที่รู้สึกเช่นนี้ก็เพราะนางซุกซ่อนความลับเล็กๆ ไว้อย่างหนึ่ง

เพราะนางเคยเห็นภาพโคมม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลามาก่อน จึงจดจำพี่สาวชุดเขียวผู้นั้นได้ขึ้นใจ นางรู้สึกว่าต่อให้ยากที่อีกฝ่ายจะกลายมาเป็นอาจารย์แม่ของตน แต่ให้เป็นอาจารย์แม่รองก็ไม่ได้หรือ?

หร่วนฉงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บอกว่าวันหน้าค่อยว่ากัน ไม่ต้องรีบร้อน

แต่หากเขารู้ความคิดในใจของเด็กหญิงคาดว่าคงจะหัวเราะไม่ออกแล้ว

แล้วยังจะด่าเจ้าเด็กแซ่เฉินผู้นั้นด้วยว่า ไม่ยอมล้มเลิกความคิดชั่วร้ายเลยง่ายๆ เป็นเจ้าเสียมน้อยที่คอยแซะมุมกำแพงบ้านผู้อื่น ทำให้คนยากจะป้องกันได้ไหว

เผยเฉียนกับเด็กชายชุดเขียวเดินมาใกล้ถึงตรอกหนีผิงแล้ว แต่จู่ๆ เผยเฉียนก็วิ่งไปที่บ่อโซ่เหล็กที่ตอนนี้ไม่มีโซ่เหล็กอยู่แล้ว นางฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนขอบบ่อ มองเข้าไปข้างใน

เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “พวกเจ้าต่างก็บอกว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนซุกซ่อนของเล่นดีๆ ที่มีค่าเอาไว้มากมาย ข้าจะมองดูว่าด้านในมีสมบัติหรือไม่ หากมีจริงๆ ล่ะก็ ข้าจะไม่รวยเละเลยหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวเหลือกตามองบน “ข้าแนะนำเจ้าว่าเลิกคิดเถอะ หากเป็นที่อื่นก็ยังพอทำเนา แต่ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวไปแล้ว แล้วก็เพราะว่าข้ามีหน้ามีตาใหญ่โต ถึงได้ไม่มีใครขัดขวางเจ้า ปล่อยให้เจ้าเดินอาดๆ มาถึงที่นี่ได้ เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าชาวบ้านในเมืองเล็กไม่มีใครมาตักน้ำแล้ว?”

เผยเฉียนผิดหวังอย่างยิ่ง ใช้หมัดทุบฝ่ามือ กล่าวว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมพอมาถึงบ้านเกิดอาจารย์ถึงได้หาของดีไม่เจอเลยสักชิ้น!”

เด็กชายชุดเขียวเกาหัวอย่างระอาใจ

เวลาพูดเรื่องโชควาสนา พูดเรื่องหลักการเหตุผลกับเผยเฉียน นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เวลาพูดถึงเรื่องเสี่ยงโชคเสี่ยงดวง นางกลับเก็บไปใส่ใจเสียได้

สีซอให้ควายฟังจริงๆ แม้แต่เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกว่าน้ำเข้าสมองตัวเองมากพอแล้วก็ยังอดรู้สึกอับจนปัญญากับนางไม่ได้

คนทั้งสองนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำ เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจดังเฮือก

เผยเฉียนถาม “เป็นอะไรไป?”

เด็กชายชุดเขียวนวดคลึงซีกแก้มตัวเอง “ไม่รู้ว่าพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของข้า ทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ไปจากเจ้าแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรือไร ไม่ใช่ข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะคิดมากเกินไป ไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรหรอก”

เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบนอีกรอบ

เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ไม่สนใจเด็กชายชุดเขียวอีก เอาแต่พึมพำกับตัวเองอย่างกลัดกลุ้มว่า “อาจารย์ก็จริงๆ เลย นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาสักที”

เด็กชายชุดเขียวพยักหน้า “นายท่านที่พึ่งพาไม่ได้ผู้นี้ติดเงินหงเปาข้าหลายซองแล้ว”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับ หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมาจากถุงปักลายที่กุ้ยฮูหยินนครมังกรเฒ่ามอบให้ออกมา “ถือซะว่าเป็นเงินหงเปาที่อาจารย์ข้ามอบให้เจ้า พอหรือไม่?”

เด็กชายชุดเขียวมองเหรียญทองแดงสองสามเหรียญที่วางอยู่บนฝ่ามือของเผยเฉียน ทันใดนั้นความเศร้าระทมก็ท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจ ตามมาด้วยความขุ่นเคืองเต็มอก แต่ก็ยังยื่นมือออกไป หมายจะหยิบเงินเหรียญทองแดงเหล่านั้นมา ขาของยุงก็คือเนื้อเหมือนกันนี่นา

เผยเฉียนกลับหุบฝ่ามือเป็นหมัดพลางหัวเราะฮ่าๆ เอาเงินใส่กลับไปในถุงผ้า “ฝันไปเถอะเจ้า เงินมากขนาดนี้ ข้าตัดใจไม่ลงหรอก”

จากนั้นเผยเฉียนก็หุบยิ้ม ตบไหล่ของเด็กชายชุดเขียว “มีชีวิตอย่างอนาถาเช่นนี้ แม้แต่เงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน เจ้าเองก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ไม่เป็นไร อาจารย์ข้าเคยพูดประโยคหนึ่งว่า เฝ้ารอให้เมฆเคลื่อนออกเห็นแสงจันทร์ ข้าขอมอบประโยคนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน ข้ามีคุณธรรมใช่ไหมล่ะ?”

เด็กชายชุดเขียวกุมหัวร้องโอดครวญ

ชีวิตยากลำบากเช่นนี้เขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร

เผยเฉียนทอดถอนใจ ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตจริงๆ นางจึงได้แต่หยิบเงินเหรียญทองแดงพวกนั้นออกมายื่นส่งให้เด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง “เอาไปเถอะ”

เด็กชายชุดเขียวคลี่ยิ้มทันใด

เผยเฉียนกลับส่ายหน้า พูดสั่งสอนเหมือนคนแก่ว่า “เห็นเงินแล้วตาโต ไม่ได้เรื่อง!”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!