กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 456

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกปี

สตรีชุดเขียวและเด็กหนุ่มชุดขาวไม่ได้เดินทางกลับขึ้นเหนือไปพร้อมกับขบวนใหญ่ แต่กระโดดลงจากเรือข้ามฝากที่เมืองหงจู๋

จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเท้ากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน

พวกเขาก็คือหร่วนซิ่วและชุยตงซาน

ในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งของเมืองหงจู๋ ชุยตงซานที่ว่างจัดจึงหาข้ออ้างหยอกเย้าลูกค้ากลุ่มหนึ่งเล่น

ลูกค้าคนหนึ่งในนั้นโดนปั่นหัวจนโมโห ไม่ทันสนใจว่าข้างกายเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวยังมีแม่นางหน้าตางดงามชวนให้คนหลงใหลยืนอยู่ด้วย เขารีบพูดอย่างร้อนใจว่า “เห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดี ยังไม่อนุญาตให้ข้าอิจฉา? เห็นคนอื่นมีชีวิตไม่เป็นสุข ยังไม่อนุญาตให้ข้าเบิกบานใจ? เจ้าเป็นใครกัน มายุ่งอะไรด้วย?”

ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ได้ๆๆ นี่คือนิสัยที่ดี อย่าเปลี่ยนๆ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่พ่อแม่เจ้าสักหน่อย เจ้ามีนิสัยดีๆ แบบนี้แล้วข้าจะต้องพูดโน้มน้าวให้เจ้าเปลี่ยนนิสัยไปทำไม?”

หร่วนซิ่วทั้งไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจ

ชุยตงซานเห็นว่านางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเปิดแล้วเริ่มกินขนมอีกครั้งก็รีบพานางจากไป พลางพูดบ่นเบาๆ ไปด้วย “ช่วยอย่ามากินเจ้านี่ต่อหน้าข้าได้ไหม? เจ้าเอาขนมนี่ออกมาทีไร ข้าใจคอไม่ดีทุกที”

ดวงตาหร่วนซิ่วเป็นประกาย “เจ้ารู้หรือ?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างระอาใจ “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเป็นขอบเขตบินทะยาน แม้ว่าสภาพการณ์ของข้าในตอนนี้จะน่าอนาถไปสักหน่อย แต่วิสัยทัศน์ก็ยังมีอยู่บ้าง อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้าใจรากฐานของคนอย่างพวกเจ้าได้ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ข้าจะไม่รู้ได้หรือ?”

หร่วนซิ่วยิ้มบางๆ

ยามที่อยากกินอาหารเลิศรสที่แท้จริงบนโลก แต่กลับกินเข้าไปไม่ได้ ควรจะทำอย่างไร? นางเลยคิดหาวิธีอื่น นั่นคือกินอย่างอื่นแทน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้กินเลย

คนทั้งสองออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง ระหว่างทางก็ผ่านภูเขาฉีตุน

คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนยอดเขา ชุยตงซานทอดสายตามองไกลไปทางทิศใต้

ฮ่องเต้ต้าหลี อันที่จริงควรเรียกว่าอดีตฮ่องเต้แล้ว

อีกไม่นานข่าวนี้ก็จะเป็นดั่งกระดาษที่ห่อไฟไม่อยู่ และคนในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็จะรับรู้ข่าวนี้กันอย่างรวดเร็ว

ทายาทสกุลซ่งต้าหลี ในบรรดาองค์ชาย แน่นอนว่าชื่อเสียงของซ่งเหอย่อมมีมากที่สุด ซ่งมู่องค์ชายที่ราวกับหล่นลงมาจากฟ้าผู้นั้นไร้รากฐานไร้ที่พึ่งในราชสำนัก กองงานฝ่ายเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ต้าหลีเก็บงำเรื่องนี้ไว้อย่างลึกล้ำ ไม่มีใครกล้าแพร่งพรายออกมาแม้แต่ครึ่งคำ และหากมีใครที่เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็จะหายไปจากโลกนี้เหมือนไอร้อนที่ระเหิดหายไป หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกผู้เฒ่าหลายคนในกองงานฝ่ายเชื้อพระวงศ์ที่ไม่อาจข้ามผ่านความร้อนแผดเผาและความหนาวเหน็บทรมานไปได้ สุดท้ายก็ต้อง ‘ป่วยตายไป’

เมื่อฮ่องเต้ ‘สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังหนุ่ม’

ความจริงจึงถูกกุมอยู่ในมือของคนสามคนเท่านั้น เหนียงเนียงที่ถูกเนรเทศให้ไปฝึกตนอยู่ที่ตำหนักฉางชุน เสด็จแม่แท้ๆ ขององค์ชายทั้งสอง ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ชุยฉานซิ่วหู่ผู้ช่วยประคับประคองแว่นแคว้น

คนหนึ่งได้ยึดครองหลักธรรมเนียมและระบบสายเลือดที่ถูกต้อง อีกคนหนึ่งควบคุมกองทัพต้าหลีทั้งหมด อีกคนหนึ่งคือราชครูที่ช่วยวางแผนให้แก่ต้าหลีมานานนับร้อยปี

คนทั้งสามยังคงสามารถรักษาสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างราชสำนักและบนภูเขาล่างภูเขาของต้าหลีเอาไว้ได้

ก่อนหน้าที่จะยึดครองราชวงศ์จูอิ๋งมาได้ก็ห้ามเกิดปัญหาใดๆ เด็ดขาด

หลังจากที่ยึดครองมาได้แล้ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหนียงเนียงผู้นั้นจะต้องลำเอียงเข้าข้างซ่งเหอที่เติบโตมาข้างกายตัวเองตั้งแต่เด็กอย่างสุดจิตสุดใจ และในความเป็นจริงแล้วซ่งเหอก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในสำนักของเจ้าตะพาบเฒ่า

ซ่งมู่ หรือควรจะเรียกว่าซ่งจี๋ซิน กลับเป็นลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน

ทว่าคนที่จะสามารถตัดสินใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีได้อย่างแท้จริง มีเพียงคนเดียว ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง

ต่อให้เขาจะไม่พอใจกับการทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วขึ้นมาเป็นฮ่องเต้เสียเอง เจ้าตะพาบเฒ่าก็ยินดี เพราะนี่ก็คือหนึ่งในผลลัพธ์ที่ ‘ซิ่วหู่’ ทั้งแก่และหนุ่มวางไว้ตั้งแต่ปีนั้น

แต่หากดูจากตอนนี้ ปณิธานของซ่งจ่างจิ้งไม่อยู่ที่เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงถอดเสื้อเกราะ หันมาสวมชุดคลุมมังกรตั้งนานแล้ว

ลมภูเขาโชยมาเป็นระลอก พัดพาเอากลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าต้นฤดูใบไม้ผลิลอยตามลมมาด้วย

ชุยตงซานหรี่ตาลง

ช่างซวยซ้ำซวยซ้อนซวยแปดชาติจริงๆ มีใจอยากปักบุปผา บุปผาไม่บาน ไร้ใจจะปักกิ่งหลิว ต้นหลิวกลับงอกงาม ก่อนหน้านี้ตอนอยู่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็แค่พูดถึงเรื่องเส้นสายกับอาจารย์ไปอย่างนั้นเอง ผลกลับกลายเป็นว่าเกือบจะหลงเข้าไปบนมหามรรคาของเจ้านักพรตจมูกโคผู้นั้น

ชุยตงซานตบปากตัวเองฉาดใหญ่

แล้วยังมีแผนการที่ผู้เฒ่าเหยาเก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้ำนั่นอีก หยางเหล่าโถวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเรื่องจึงยิ่งลุกลามไปใหญ่โต

ชุยตงซานตบบ้องหูตัวเองอีกที

สำหรับเรื่องนี้ หร่วนซิ่วเคยชินมานานแล้ว

ชุยตงซานชำเลืองตามองไปที่หน้าผาแวบหนึ่ง คิดแล้วก็รู้สึกว่าช่างมันเถอะ กระโดดลงไปก็ไม่ตายหรอก แต่จะต้องขายหน้าอย่างมาก

ชุยตงซานพลันแสยะเขี้ยวกางเล็บ สบถด่าเสียงดัง “เจ้าตะพาบเฒ่า แพ้ก็แพ้สิ ข้ากับอาจารย์ล้วนยอมรับ! แต่เจ้าไม่ควรไร้มโนธรรมพูดเรื่องการช่วงชิงของวิญญูชนกับผายลมสุนัขอะไรนั่น! ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว อาจารย์ของข้าแพ้อนาถขนาดนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมาในทะเลสาบซูเจี่ยน ยังต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง นั่นก็ไม่ต่างจากเจ้าเล่นหมากล้อมกับคนตาย การช่วงชิงของวิญญูชน ช่วงชิงกับท่านปู่เจ้าสิ เจ้าไสหัวออกมาเลยนะ ให้ข้าได้ตบปากเจ้าสักสองฉาดใหญ่ๆ ดูสิว่าในปากสุนัขของเจ้าจะมีงาช้างงอกออกมาได้หรือไม่…”

หร่วนซิ่วหัวเราะจนตาหยี

ชุยตงซานกลืนน้ำลาย เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้า กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พระจันทร์คืนนี้กลมโตจริงๆ”

ที่แท้ข้างกายเขาก็มีผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่ ซึ่งก็คือราชครูชุยฉาน

ชุยตงซานหันหน้ามาช้าๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? บังเอิญอะไรขนาดนี้?”

ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “ทำไมไม่พูดว่ายามที่บุปผาร่วงโรย ได้พบเจ้าคนคุ้นเคย (ประโยคหนึ่งจากบทกลอน) ด้วยเล่า?”

ในเมื่อโดนจับได้แล้ว ชุยตงซานก็ไม่สนอะไรอีก เขาชี้หน้าชุยฉาน เต้นผางสบถด่า “เจ้าตะพาบเฒ่า ทำไม ไม่ยอมงั้นหรือ มีประโยคไหนที่ข้าพูดไม่ถูกบ้าง? หากเจ้าบอกได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ชุยเหมือนเจ้า เจ้าก็คือหลานของข้า!”

หร่วนซิ่วส่ายหน้า

คนที่รนหาที่ตายแล้วยังกล้าเปลี่ยนลูกไม้มาหาที่ตายแบบนี้ เคยพบเห็นมาไม่เยอะจริงๆ

ชุยฉานกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ปีนั้นตอนที่อยู่บนหอสูงของนครน้ำบ่อริมทะเลสาบซูเจี่ยน เขาก็พอจะเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง

ชุยฉานชี้ไปทางทิศใต้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเส้นสายตามองไปทางทิศตะวันตก “รู้หรือไม่ว่ากระดานหมากที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?”

ชุยตงซานขมวดคิ้ว “แผ่นดินกลาง? ซิ่วไฉเฒ่ามีวิธีการอะไรบางอย่างงั้นหรือ?”

ชุยฉานหัวเราะหยัน “ตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่งเท่านั้น”

ชุยตงซานร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วตบไหล่ชุยฉาน “ไหนตะพาบเฒ่าที่ปีนขึ้นมาบนปากบ่อลองพูดให้กบที่อยู่ใต้บ่ออย่างข้าฟังหน่อยสิ?”

ชุยฉานสะบัดมือของชุยตงซานออก เอ่ยเนิบช้าว่า “กระดานหมากของข้ากับฉีจิ้งชุนคือใต้หล้า ใต้หล้าทั้งหมด ทะเลสาบซูเจี่ยนที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกแห่งเดียวจะนับเป็นอะไรได้?”

ต่อให้เป็นชุยตงซาน เวลานี้ก็ยังรู้สึกว่าเส้นหัวใจถูกดีดให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หร่วนซิ่วไม่ไปคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางคร้านจะสนใจ

ชุยฉานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ข้าจะบอกแค่นี้แหละ เจ้ารอดูไปก็แล้วกัน แต่ต่อให้เป็นเจ้าก็ยังต้องรออีกนานหลายปีถึงจะเข้าใจกุญแจสำคัญของสถานการณ์หมากครั้งนี้ ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่เป็นคนในสถานการณ์ ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานช่วงหนึ่ง หรืออาจถึงขั้นชั่วชีวิต เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าปีนั้นเขาทำอะไรลงไปกันแน่”

ชุยตงซานไม่มีท่าทางถากถางเยาะเย้ยอะไรอีกแล้ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียด พูดเสียงหนัก “ชุยฉาน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอดู!”

ร่างของชุยฉานพุ่งวูบหายไป

ชุยตงซานทอดถอนใจหนึ่งที

แล้วออกเดินทางไปพร้อมหร่วนซิ่วต่ออีกครั้ง

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกตลอดทาง

เพียงแต่ว่าพอเข้าไปในอาณาเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีฝนเม็ดบางๆ ตกลงมาพร้อมอากาศขมุกขมัว

ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ชุยตงซานจะอารมณ์ดีขึ้นมา เขายื่นมือออกไปรองรับน้ำฝน พึมพำเบาๆ ว่า “ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา ดอกซิ่งเบ่งบานสายฝนพร่างพรม”

…….

ท่ามกลางกลุ่มเทือกเขาที่อยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน

จากฤดูใบไม้ผลิก็เข้าสู่ฤดูร้อนอีกครั้ง

คนทั้งกลุ่มถึงเพิ่งจะเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ได้ครบถ้วน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!