กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 459

สรุปบท บทที่ 459.1 ขึ้นเขาเข้าเรือนไปพบสหายเก่า: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 459.1 ขึ้นเขาเข้าเรือนไปพบสหายเก่า จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 459.1 ขึ้นเขาเข้าเรือนไปพบสหายเก่า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เมืองเล็กไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เฉินผิงอันจึงออกจากตรอกหนีผิง อ้อมเส้นทางเล็กน้อย จูงม้าไปยังร้านตระกูลหยาง

หลังจากเคาะประตูแล้วก็มีเด็กหนุ่มที่กำลังงัวเงียคนหนึ่งมาเปิดประตู น่าจะเป็นลูกศิษย์ใหม่ที่หยางเหล่าโถวรับตัวไว้ซึ่งเว่ยป้อเล่าให้ฟังในจดหมาย

เฉินผิงอันเอ่ยขออภัย “อาจารย์ของเจ้าหลับหรือยัง?”

เด็กหนุ่มอ้าปากหาว ถามย้อนกลับ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เขาเคยชินกับการวางอุบายหลอกล่อและการขบคิดความหมายในคำพูดของผู้อื่นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนไปแล้ว ตอนนี้จึงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วถาม “มาหาอาจารย์ของข้ามีธุระอะไร? ไม่สบายหรือ?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับ “มาตรวจโรคจริงๆ นั่นแหละ”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วไม่คลายด้วยกำลังคิดไม่ตก

ใต้แสงจันทร์ คนหนุ่มที่เขามองเห็นอยู่ในสายตา ข้างแก้มตอบเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียว มองแล้วก็คล้ายผีอายุสั้นจริงๆ น้ำเสียงที่พูดเป็นสำเนียงของบ้านเกิด แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาก่อน

เพียงแต่ว่าอาจารย์ของตนไม่ชอบปรากฏตัว คาดว่าคืนนี้คงไม่มีทางตกลงรับปากทำการค้าที่มาส่งให้ถึงหน้าประตูครั้งนี้เป็นแน่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องใหญ่ครึกโครมถึงเพียงนั้น ตอนนี้ทั้งชื่อเสียงและกิจการของร้านยาตระกูลหยางต่างก็ไม่ค่อยดี อีกทั้งยังผูกปมแค้นกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งแถบถนน ตอนนี้คนส่วนใหญ่ล้วนชอบไปซื้อยาและตรวจโรคที่ร้านยาแห่งหนึ่งในตรอกเยว่ปิ่ง ทุกๆ วันเขากับศิษย์พี่หญิงว่างงานกันจนเบื่อ ท่านผู้เฒ่าอาจารย์ของเขาก็เป็นคนประหลาดที่มีแค้นกับเงิน ไม่เคยสนใจใยดีกับการที่ร้านยาตระกูลหยางเงียบเหงาซบเซา คนในครอบครัวเขายังบ่นให้เขาเปลี่ยนสำนักเสียใหม่ตั้งแต่เมื่อปีก่อน ไปทำงานที่ที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาเสียยังดีกว่า ท่านลุงเขาไปติดต่อคนในหาทางให้แล้ว เพียงแต่ตัวเขาเองไม่ยินดี รู้สึกว่าคบค้าสมาคมกับพวกขุนนาง เวลาเจอใครก็ต้องก้มหัวค้อมเอวอยู่ทุกวัน น่าเบื่อจะตาย

ในเมื่อหยางเหล่าโถวไม่คิดจะปรากฎตัว เฉินผิงอันจึงคิดว่าคงต้องมาใหม่คราวหน้า ในขณะที่กำลังจะบอกลาจากไปก็มีหญิงสาวเรือนร่างสะโอดสะองผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผิวของนางคล้ำเล็กน้อย ร่างค่อนข้างผอมบาง แต่น่าจะเป็นตัวอ่อนของสาวงามคนหนึ่ง เฉินผิงอันรู้ว่าหญิงสาวคนนี้คือหนึ่งในลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถว คือศิษย์พี่หญิงของเด็กหนุ่มจากตรอกเถาเย่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นางมีชาติกำเนิดเป็นช่างปั้นของตรอกฉีหลง การเผาเครื่องปั้นนั้นมีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อไฟในเตาถูกจุด หญิงสาวก็ห้ามเข้าไปใกล้เตาเผามังกรที่รูปร่างคล้ายมังกรหมอบเด็ดขาด เฉินผิงอันไม่ค่อยแน่ใจนักว่าปีนั้นนางไปเป็นช่างปั้นได้อย่างไร แต่คาดว่าคงมีหน้าที่ทำงานหยาบที่ต้องใช้แรงกาย เพราะถึงอย่างไรกฎของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นก็วางอยู่ตรงนั้น ทุกคนจะต้องเคารพกฎ เมื่อเทียบกับกฎของศาลบรรพจารย์ที่พันธนาการผู้ฝึกตนแล้วก็คล้ายว่าจะได้ผลมากกว่า

น้ำเสียงของสตรีแหบพร่าและหยาบอย่างถึงที่สุดคล้ายเวลาที่ใช้หินลับมีด นางเอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์บอกแล้วว่าช่วยไม่ได้ นับจากวันนี้ไป หากจะมาพูดคุยกันเรื่องในอดีตนั้นได้ แต่ไม่ร่วมทำการค้าด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝากบอกอาจารย์เจ้าสักคำว่าวันหน้าข้าจะแวะมาเยี่ยมใหม่”

สตรีลังเลเล็กน้อย ชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “ลูกค้าคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว?”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเองก็ใช่เหมือนกันหรือ?”

สตรีไม่ตอบคำใด

เฉินผิงอันถามอีก “ตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงอาศัยอยู่ที่ไหน?”

สตรีถึงได้เปิดปากพูดอีกครั้ง “เขาชอบไปเตร็ดเตร่อยู่แถวเขตการปกครอง ไม่ค่อยมาที่ร้านหรอก”

เฉินผิงอันมองนางและเด็กหนุ่มตรอกเถาเย่ที่ยังงัวเงียคนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มจูงม้าจากไป

คาดว่าจนถึงตอนนี้คนทั้งสองที่เกิดและเติบโตมาที่นี่ก็คงยังไม่รู้ว่าอาจารย์ของตัวเองเป็นใครกันแน่ ร้านยาตระกูลหยางแห่งนี้เคยต้อนรับอริยะของสามลัทธิมาแล้วกี่ท่าน แล้วการที่พวกเขาได้หยางเหล่าโถวเป็นอาจารย์ นั่นหมายความว่าอย่างไร

ไม่รู้ว่าในอดีตจะมีคนที่มองตนแบบนี้เหมือนกันหรือไม่?

ตอนที่เด็กหนุ่มปิดประตูร้านลง เขาก็บ่นกับศิษย์พี่หญิงที่ยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมไปด้วยว่า “ข้าไม่ชอบเจ้าคนขี้โรคผู้นี้เลย สายตาที่เขามองคนอื่นน่าขนลุกนัก”

ตอนยังเด็กเคยผ่านชีวิตที่อดอยากหิวโหยมาก่อน อีกทั้งตอนเป็นเด็กสาวก็ต้องทำงานหนักที่ยากลำบากมามากมาย เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้เรือนกายของสตรีเพิ่งจะเข้ารูปสะโอดสะองคล้ายกิ่งหลิวกิ่งหยางเหมือนเด็กสาวชาวบ้านทั่วไป นางพูดไม่เก่ง แล้วก็ไม่ชอบยิ้มแย้ม จึงไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่มองแผ่นหลังสะพายกระบี่ที่จูงม้าเดินจากไปไกลของคนผู้นั้น

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาก็มักจะทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ นี่ถือเป็นการหาความสุขท่ามกลางความยากลำบาก แล้วก็เป็นการแอบอู้อย่างหนึ่งด้วย

นักบัญชีที่เวลาส่วนใหญ่ไม่พูดไม่จา เมื่ออยู่ในสายตาของเจิงเย่ หม่าตู่อี๋และกู้ช่านแล้ว หลายๆ ครั้งเขาก็มักจะทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่แปลกประหลาดเหล่านี้

เขาจะนั่งยองอยู่บนพื้น ใช้ก้อนหินวาดกระดานหมากล้อม บ้างก็ศึกษาพิจารณารูปแบบของสถานการณ์หมากล้อมสองสามแบบไปมา หรือไม่ก็เล่นหมากล้อมห้าเม็ดกับตัวเอง

หนึ่งคนหนึ่งม้าค่อยๆ เดินเข้าไปในภูเขาลึก

เว่ยป้อที่น่าจะเป็นคนแรกซึ่งรู้ร่องรอยของเฉินผิงอันยังไม่ได้ปรากฏตัว

ต้องรู้ว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่เขตการปกครองหลงเฉวียน ลำคลองเหอซวี น่านน้ำภายใต้การปกครองของแม่น้ำเถี่ยฝูเท่านั้น แม้แต่แม่น้ำซิ่วฮวา แถบของจวนผีสาวสวมชุดแต่งงานที่หน้าจวนแขวนกรอบป้ายภูเขาสูงน้ำใสก็ล้วนอยู่ในการปกครองของขุนเขาเหนือทั้งหมด เว่ยป้อที่อยู่บนจุดสูงอย่างภูเขาพีอวิ๋น ยามที่หลุบตามองลงมายังผู้คนเบื้องล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณ ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนราวกับมองกองไฟในถ้ำมืด

แต่เว่ยป้อไม่ได้รีบร้อนปรากฏตัว นับว่าอยู่เหนือการคาดการณ์ แต่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว

ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองไม่ได้แนบแน่นนัก ช่วงแรกเริ่มสุดอาศัยอาเหลียงช่วยรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ภายหลังถึงเริ่มค่อยๆ สนิทจนกลายมาเป็นสหาย คล้ายความสัมพันธ์ระหว่าง ‘วิญญูชน’ เว่ยป้อสามารถอาศัยความชื่นชอบส่วนตัวของตัวเองพาเฉินผิงอันเดิน ‘ลาดตระเวน’ ไปทั่วอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ช่วยติดแผ่นยันต์คุ้มกันกายของศาลเทพขุนเขาเหนือแผ่นหนึ่งไว้บนร่างเฉินผิงอัน แต่ตอนนี้ความข้องเกี่ยวของคนทั้งสองเริ่มลึกล้ำ มีแนวโน้มว่าจะเป็นพันธมิตรกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แม้ว่าจะเป็นแค่การแสดงออกภายนอกก็ยังต้องทำ ไม่อย่างนั้นคาดว่าราชสำนักต้าหลีคงจะไม่สบอารมณ์ จะดีจะชั่วเจ้าเว่ยป้อก็เป็นองค์เทพอันดับหนึ่งของห้าขุนเขาที่ราชสำนักต้าหลีเราเคารพบูชา แต่กลับมาจับคู่ทำการค้ากับคนอื่น แล้วหันมาหั่นราคาเอาเปรียบสกุลซ่งต้าหลีเราเช่นนี้น่ะหรือ? ต่อให้ตัวเว่ยป้อเองจะเต็มใจทำเช่นนี้ ไม่เห็นแก่หน้าของสกุลซ่งต้าหลีเลยแม้แต่น้อย อาศัยสถานะองค์เทพขุนเขาเหนือที่อยู่ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วมาทำตัวกำเริบเสิบสาน ช่วงชิงผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำเพื่อตนเองและเพื่อคนอื่น เฉินผิงอันก็ไม่กล้าตอบรับเหมือนกัน การค้าขายที่ทำให้คนเป็นเศรษฐีได้ภายในชั่วข้ามคืน กับมิตรภาพที่เป็นดั่งสายน้ำเส้นเล็กไหลยาว เห็นได้ชัดว่าอย่างหลังมั่นคงกว่า

แล้วนับประสาอะไรกับที่เว่ยป้อเองก็เป็นคนมีความคิดความอ่านกว้างไกล วางแผนก่อนจะลงมือทำอะไรเสมอ คู่ควรแก่การเชื่อถือไว้วางใจ

ไม่อย่างนั้นตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอันก็คงไม่ส่งจดหมายมาที่ภูเขาพีอวิ๋นหลายฉบับขนาดนั้น

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!