เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างไร้ซึ่งความลังเลใจ “แม่นางหร่วนจะถามอย่างนี้ก็ได้ แต่ข้ากลับไม่อาจคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบให้เจ้า”
หร่วนซิ่วยกสองมือเท้าคาง ทอดสายตามองไปไกลพลางพึมพำว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าเหมือนกับท่านพ่อข้าเลย ท่านพ่อข้าดื้อดึงยิ่งนัก ไม่คิดจะไปตามหาท่านแม่ข้าที่ไปจุติเกิดใหม่ บอกว่าต่อให้ตามหาเจออย่างยากลำบากแล้ว นางก็ไม่ใช่ท่านแม่ตัวจริงของข้าอีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฟื้นคืนความทรงจำของภพชาติก่อน ดังนั้นไม่สู้ไม่พบหน้ากันเลยดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อนางที่อยู่ในใจของเขามาตลอดเวลา แล้วยังต้องเสียเวลาสตรีที่อยู่ข้างกายด้วย”
เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับช่างหร่วน เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไร
หร่วนซิ่วหันหน้ามายิ้มให้ “กลับบ้านเกิดคราวนี้ ไม่ได้เอาของขวัญมาด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าหรือจะกล้าเอาของขวัญมา หากไม่พูดจากันให้ชัดเจน จะไม่ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่หรอกหรือ?”
แล้วจากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างโล่งอก “แต่วันหน้าข้าสามารถนำของขวัญกลับมาให้แม่นางหร่วนได้แล้ว”
หร่วนซิ่วเอียงศีรษะ ยิ้มจนดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นหยีลง ถามว่า “นี่เรียกว่าพูดจากันชัดเจนได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันสีหน้าอึ้งค้าง
รีบทบทวนคำพูดของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบโดยเร็ว
ตามหลักแล้วหากแม่นางหร่วนไม่ชอบตน หรือหากชอบตนนิดๆ จริงๆ ก็ถือว่าเขาพูดชัดเจนแล้วนี่นา
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “เอาเถอะ ก็แค่เจ้าไม่ได้ชอบข้าแบบนั้น แล้วยังกลัวว่าข้าจะชอบเจ้าแบบนั้น เจ้าก็เลยรู้สึกไม่ดีอย่างมาก กลัวว่าพูดตรงไปจะทำให้ข้าอึดอัดใจ ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ วันหน้าเป็นไม่ได้แม้แต่สหายกัน ใช่ไหมล่ะ? วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้โกหกเจ้าด้วย และความชอบของข้าก็ไม่ใช่ความชอบอย่างที่เจ้าเข้าใจ วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง หรือไม่เจ้าจะลองถามชุยตงซานลูกศิษย์ของเจ้าดูก็ได้ สรุปก็คือ นี่ไม่ถ่วงรั้งการเป็นสหายของพวกเรา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แม่นางหร่วนพูดอ้อมค้อมไปหน่อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพูดจากระจ่างแจ้งยิ่งกว่าเขา
หร่วนซิ่วกล่าว “แม่นางหนิงก็ชอบเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ชอบ”
หร่วนซิ่วอืมรับหนึ่งที “เฉินผิงอัน ทำไมต้องคิดมากขนาดนั้น ทำไมไม่คิดเพื่อตัวเองให้มากหน่อย?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
หร่วนซิ่วปัดเข่าลุกขึ้นยืน “เอาเถิด ว่ากันตามนี้ก็แล้วกัน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกหิวแล้ว จะกลับบ้านไปกินอาหารมื้อดึกแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม ถามว่า “ไม่อย่างนั้นไปที่เรือนไม้ไผ่ของข้าดีไหม ข้ามีวัตถุดิบในการทำอาหารมื้อดึก ในวัตถุจื่อชื่อก็มีเก็บไว้ไม่น้อย ปลาตากแห้ง เยื่อไผ่ตากแห้ง เนื้อเค็ม ล้วนมีหมด แล้วก็ยังมีผักป่าอีกมากมายที่สำเร็จรูปกินได้เลย เอามาต้มหม้อไฟสักหม้อ รสชาติน่าจะไม่เลว แล้วก็ใช้เวลาทำไม่นานด้วย”
หร่วนซิ่วยิ้มบางๆ “ท่านพ่อข้ายังรออยู่ที่ตีนเขา ข้ากลัวว่าเขาจะอดใจไม่ไหวจับเจ้ามาต้มเป็นอาหารมื้อดึกแทนมากกว่า”
เฉินผิงอันเช็ดเหงื่อที่ซึมบนหน้าผาก
หร่วนซิ่วเดินลงบันได หันหน้ามายิ้มให้ “ไม่ต้องไปส่งหรอก”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าก็ต้องลงจากเขาเหมือนกัน ไปส่งที่ทางแยกก็แล้วกัน”
คนทั้งสองเดินลงภูเขามาด้วยกันช้าๆ
หร่วนซิ่วมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ประดุจองค์เทพที่ออกท่องเที่ยวผืนป่ายามค่ำคืน
จากนั้นคนทั้งสองก็แยกทางกัน หร่วนซิ่วเดินเท้าลงเขาไปต่อ ส่วนเฉินผิงอันก็เดินไปบนถนนที่มุ่งสู่เรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันพลันนึกถึงประโยคงดงามประโยคหนึ่งที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่
แสงจันทร์แสงดาวสกาวใส ทางช้างเผือกยิ่งใหญ่แขวนบนนภาสูง รอบกายไร้สำเนียงผู้คน เสียงนั้นแว่วดังมาจากผืนป่า
……
นอกภูเขาลั่วพั่ว
เว่ยป้อยืนอยู่ข้างกายหร่วนฉง
ชายฉกรรจ์นั่งอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ท่านหร่วน จะไม่ขึ้นไปดูบนภูเขาลั่วพั่วสักหน่อยจริงหรือ? หากข้าอยู่ด้วยแล้วไม่เหมาะสม ข้าสามารถจากไปได้ รับรองว่าทั้งบนเขาและนอกเขา ข้าจะไม่ฟังไม่มองอะไรทั้งนั้น”
หร่วนฉงดื่มเหล้า ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่ได้ต่ำช้าขนาดนั้น ต่อให้ไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน แต่จะไม่เชื่อใจลูกสาวของตัวเองเลยหรือ?”
เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้
หากเจ้าหร่วนฉงเชื่อใจจริงๆ ยังจะต้องแอบวิ่งมาที่นี่ทำไม?
หร่วนฉงดื่มเหล้า
ส่วนเว่ยป้อก็ยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
หร่วนฉงเอ่ยถาม “เว่ยป้อ เจ้าคิดว่าวันหน้าใครจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ของต้าหลี?”
เว่ยป้อไม่กลัวว่าจะมีคนแอบฟัง อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ใครกล้าทำเช่นนี้ก็แสดงว่ารังเกียจที่มีชีวิตยืนยาวเกินไป
ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางท่านนั้นก็ไม่มีทางมาสนใจเรื่องแบบนี้
เว่ยป้อคิดแล้วก็กล่าวว่า “หากดูจากปัจจุบัน ซ่งเหอและซ่งจี๋ซินต่างก็มีความเป็นไปได้ แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นซ่งเหอมีมากกว่า คนทั้งราชสำนักหยั่งรากฝังลึก จึงสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อถือได้มากกว่า ส่วนซ่งจี๋ซินก็มีแค่กรมพิธีการเท่านั้นที่เป็นหมาจนตรอก จึงแอบวางเดิมพันไว้ข้างเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ พูดไปพูดมาก็ต้องดูแค่ที่การตัดสินใจของคนสองคน คำพูดของเหนียงเนียงท่านนั้นไม่มีประโยชน์ ข้ารู้สึกว่าซ่งจ่างจิ้งกับชุยฉาน สุดท้ายแล้วต่างก็ต้องเลือกในสิ่งที่ทุกคนคาดเดากันไม่ถึง”
หร่วนฉงเอ่ย “ฮ่องเต้ต้าหลีช่างจากไปได้ประจวบเหมาะนัก”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
หร่วนฉงคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี อีกทั้งยังเป็นช่างหลอมกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ว่าใครก็ต้องเอาอกเอาใจ มีสหายอยู่ทั่วทั้งทวีป ‘บ้านเดิม’ ยังเป็นศาลลมหิมะ ทั้งสองฝ่ายไม่เคยตัดความสัมพันธ์กัน ยังมีเส้นใยเชื่อมโยงเอาไว้อยู่ ความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าหร่วนฉงแตกหักกับศาลลมหิมะแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมีเงาร่างของเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะปรากฎตัวที่หน้าผาหินซึ่งมีแท่นสังหารมังกรแห่งนั้น แต่จะกลับกลายเป็นว่าเขาหร่วนฉงทอดทิ้งศาลลมหิมะไปโดยตรง แล้วหันไปแบ่งส่วนแบ่งกับภูเขาเจินอู่แทน
ส่วนเขาเว่ยป้อกลับเป็นองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากสกุลซ่งต้าหลี คำพูดบางอย่างที่เกินขอบเขตฐานะซึ่งค่อนข้างจะเนรคุณคน พูดให้น้อยลงจะดีกว่า
พูดถึงองค์ชายสองคนย่อมไม่เป็นปัญหา พูดคุยถึงอ๋องเจ้าเมืองกับราชครูก็ยังพอทำได้ แต่ตำแหน่งองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของเว่ยป้อนี้ เป็นอดีตฮ่องเต้ต้าหลีที่ประทับตราลงนามด้วยตัวเอง เว่ยป้อจึงต้องเห็นแก่น้ำใจนี้ ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายของซ่งเจิ้งฉุน ไม่ว่าจะเป็นหร่วนฉงที่พูดถึง หรือเจียวเฒ่าแคว้นหวงถิงตนนั้นที่ชวนคุย เว่ยป้อก็จะใช้ความเงียบเป็นการตอบรับอยู่เสมอ
ห่างออกไปไกลมีเงาร่างของสตรีชุดเขียวปรากฏตัว มองดูเหมือนเดินไม่เร็ว ทว่าร่างของนางกลับลอยพลิ้วมาถึงประหนึ่งกลุ่มควันสีเขียว
หร่วนซิ่วเห็นหร่วนฉงกับเว่ยป้อก็ผงกศีรษะทักทายเว่ยป้อก่อน จากนั้นจึงหันมามองบิดาของตนเอง “ท่านพ่อ บังเอิญจริง ท่านก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกันหรือเจ้าคะ?”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ แล้วก็โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อบอกลาจากไปอย่างรู้กาลควร
หร่วนฉงขยับริมฝีปากเบาๆ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่เอาเหล้าอีกกาออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ แกะผนึกดินออกแล้วเริ่มดื่มอีกครั้ง
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ข้าเจอเฉินผิงอันบนภูเขาลั่วพั่วด้วย”
หร่วนฉงพูดหน้าเคร่ง “บังเอิญจริง”
ไม่เสียแรงที่เป็นพ่อลูกกัน
หร่วนซิ่วจึงเลือกบทสนทนาบางส่วนของคนทั้งสองมาเล่าให้บิดาฟังหนึ่งรอบ ความหมายคร่าวๆ นั้นไม่เปลี่ยน เพียงแต่ถ้อยคำบางอย่าง หร่วนซิ่วปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
หร่วนฉงกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เช็ดปากแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “เฉินผิงอันตาบอดหรือไร? ลูกสาวข้ามีตรงไหนที่ไม่ดี ถึงได้ไม่ชอบ?! ใครมอบดีสุนัขให้เขากล้าไม่ชอบ?”
หร่วนซิ่วหัวเราะตาหยี
หร่วนฉงเดือดดาลผิดปกติ ดื่มเหล้าคำใหญ่อีกครั้ง เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แต่ว่าเจ้าเด็กนี่ก็ถือว่าเป็นคนมีคุณธรรม ไม่เหมือนบุรุษทั่วไปที่กินอยู่ในปาก แต่มักจะนึกถึงอาหารในหม้อ สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่มีข้อบกพร่องจริงๆ”
หร่วนฉงพลันเอ่ยอย่างกังขา “ซิ่วซิ่ว คงไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ไปท่องอยู่ในยุทธภพมาห้าปี ยิ่งนานวันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์มากอุบาย จงใจถอยเพื่อรอรุก ทำให้ข้าไว้ใจเลยไม่คิดป้องกันเขาหรอกนะ?”
หร่วนซิ่วมองบิดาของตนด้วยสายตากังขาโดยที่ไม่เอ่ยอะไร
หร่วนฉงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเด็กนั่นคงไม่ไร้คุณธรรมขนาดนี้กระมัง”
แล้วหร่วนฉงก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ซิ่วซิ่ว เจ้าไม่รู้สึกเสียใจสักนิดเลยหรือ? ซิ่วซิ่ว เจ้าบอกกับพ่อมาตามตรง สรุปแล้วเจ้าชอบเฉินผิงอันหรือไม่ พ่อจะถามเจ้าแค่ครั้งนี้ หลังจากนี้จะไม่ถามอีกแล้ว ดังนั้นห้ามพูดโกหก”
หร่วนซิ่วยิ้มพลางยกสองมือขึ้นโบกอย่างแรง “เปล่าสักหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!