กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 462

เว่ยป้อเงยหน้ามองม่านฟ้า ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภา

ตอนนั้นหลังจากได้เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของแคว้นเสินสุ่ยแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้อีกใต้หล้าหนึ่งมีทัศนียภาพอันมหัศจรรย์ที่ดวงจันทราสามดวงประชันกันส่องแสง จนถึงทุกวันนี้เว่ยป้อก็ยังไม่อาจจินตนาได้ว่าการโคจรโชคชะตาฟ้าดินของใต้หล้าแห่งนั้นจะมีกฎเกณฑ์แห่งมหามรรคาที่แตกต่างไปจากใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิงเพิ่มขึ้นอีกกี่มากน้อยเพราะการที่มีดวงจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า คิดว่าจะเอาสุราดีๆ ที่เก็บรักษาไว้ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาหาสถานที่สักแห่งบนภูเขาลั่วพั่วที่มีรากภูเขาลึกล้ำและโชคชะตาน้ำเข้มข้น แล้วฝังพวกมันไว้ใต้ดิน หลังจากคิดคำนวณอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าประเภทของสุราที่เขามีอยู่ตอนนี้ไม่นับว่าน้อยเลยทีเดียว

เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่กุ้ยฮูหยินของนครมังกรเฒ่าหมักด้วยมือของตัวเอง เหล้าหมักเซียนน้ำบ่อของตรอกหางผึ้ง เหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยน เหล้าบุปผาของจวนปี้โหยวที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้ยังเหลืออีกเกินครึ่งไห แต่ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าตำหนักเทพวารีปี้โหยวแล้ว เหล้ามังกรเฒ่าน้ำลายสอที่อู๋ยวนแห่งจวนจื่อหยางมอบให้ เหล้าหวงเถิงที่มีเฉพาะในบ้านเกิดของหงซูเกาะชิงเสีย ซึ่งมีอีกชื่อว่าเหล้าเติมอาหาร เฉินผิงอันเคยดื่มแล้ว รสชาตินุ่มลิ้นกลมกล่อม ดื่มง่ายมาก ปีนั้นเขายังคิดไว้ว่าที่บ้านเกิดมีเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูอยู่ ยามที่ถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ พวกนางก็สามารถดื่มได้สักสองจอก ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวจึงไปซื้อเหล้าที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินมาอีกชุดหนึ่ง ถึงอย่างไรเหล้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ราคาไม่แพงอยู่แล้ว

ท่องอยู่ในยุทธภพ มีหีบหนังสือและกระบี่ สุราและม้าอยู่เคียงข้าง ไม่มีทางเงียบเหงา

การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่ล่าช้ากว่าที่คิดไว้ถึงสามปี ไม่สามารถรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ปลายปีของปีนี้เขาจะต้องไปเยือนแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย ไปพบสหายเก่าบางคนสักรอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยนั่งเรือข้ามทวีปมุ่งหน้าไปยังทวีปใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้คนใช้หมัดอธิบายเหตุผลแห่งนั้น

เว่ยป้อดึงสายตากลับคืนมา มองข้ามผ่านภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฉีตุน เพ่งมองไปยังเมืองหงจู๋ที่อยู่ทางทิศใต้ตลอดเวลา ในฐานะองค์เทพแห่งขุนเขา การที่จะมองอาณาเขตใต้การปกครองของตัวเอง ระยะห่างเพียงแค่นี้ เขายังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขอแค่เขายินดี ศาลเทพวารีในเมืองหงจู๋ หรือแม้กระทั่งคนเดินถนนทุกคนก็ล้วนเห็นได้ชัดราวกับมองฝ่ามือของตัวเอง ตอนนี้เมื่อเขตการปกครองหลงเฉวียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในฐานะสถานที่อันเป็นจุดที่แม่น้ำใหญ่สามสายอย่างแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่และแม่น้ำชงตั้นมาบรรจบกัน เมืองหงจู๋ที่เดิมทีก็เป็นจุดรวมโชคชะตาน้ำอยู่แล้วจึงยิ่งรุ่งโรจน์เฟื่องฟู

ยามเยาว์ไม่รู้จักพระจันทร์ จึงเรียกมันว่าถาดหยกขาว

เซียนในดวงจันทร์ห้อยขาสองข้างลงมาหรือ เหตุใดต้นกุ้ยในดวงจันทร์ถึงกลมเกลี้ยงเช่นนั้น

นี่เคยเป็นบทกวีไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดกันมาในแคว้นสู่โบราณ ภายหลังกลายมาเป็นเพลงพื้นบ้านของเมืองหงจู๋ ไม่ว่าคนแก่หรือเด็ก สาวตระกูลชาวเรือทุกคนต่างก็ชอบร้องเพลงพื้นบ้านเพลงนี้

แม้ว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือแล้ว ทว่า ‘สัญชาติทาส’ ของชาวเรือทุกคนที่อยู่ในเวิ้งน้ำฟูสุ่ยของเมืองหงจู๋แห่งนั้นกลับยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากสตรีผู้นั้นที่ไปฝึกตนในตำหนักฉางชุนแล้ว คนทุกรุ่นทุกสมัย ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ทายาทห้าแซ่ของแคว้นเสินสุ่ยในปีนั้นก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากความเป็นทาส ถูกกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่อาจขึ้นฝั่ง’ กดตรึงให้อยู่แต่ในอ่าวฟูสุ่ยไปจนตาย

เว่ยป้อปกป้องคุ้มครองห้าแซ่ใหญ่ของอ่าวฟูสุ่ยมานานหลายปี ทว่าหลังจากได้ดิบได้ดีเจริญรุ่งเรืองแล้ว กลับไม่เคยเปิดปากขอร้องต้าหลีในเรื่องนี้เลยสักครั้ง

หลังจากที่เว่ยป้อกลายมาเป็นองค์เทพของต้าหลี เขาก็ทำเรื่องใหญ่ๆ มาไม่น้อย หากคิดจะเปลี่ยนสัญชาติให้กับชาวเรืออ่าวฟูสุ่ย ยังไม่ต้องพูดว่าสุดท้ายแล้วจะสำเร็จหรือไม่ แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการทักทายที่ว่าการสองแห่งเช่นกรมครัวเรือนและกองงานเลี้ยงรับรองแขกของเมืองหลวงต้าหลี ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือเลวก็หนีไม่พ้นต้องดูว่าเจ้ากรมพิธีการและราชครูชุยฉานจะพยักหน้าตกลงหรือไม่เท่านั้น ทว่าเว่ยป้อกลับไม่เคยเปิดปากพูดถึงเรื่องนี้

เว่ยป้อเงียบงันไปนาน ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน พูดจาห้าวหาญมีพลังไปแล้ว พวกเราควรมาคุยเรื่องธุระการงานกันแล้วหรือไม่”

ก่อนหน้านี้เว่ยป้อไปต้อนรับเฉินผิงอันที่ประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ตอนที่เดินขึ้นเขา คนทั้งสองพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งเป็นเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญจริงๆ เนื่องจากบนภูเขาลั่วพั่วมีศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นตะปูตัวใหญ่ที่ราชสำนักต้าหลีตั้งใจตอกเอาไว้ อีกทั้งสกุลซ่งต้าหลีเองก็ไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้คำพูดมาบรรยาย หากเว่ยป้อสร้างฟ้าดินเล็กๆ ขึ้นมาสกัดกั้นก็ย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำตัวมีพิรุธ ด้วยความจงรักภักดีและนิสัยซื่อตรง ตายไปก็ยังยินดีเป็นเทพผู้ซื่อสัตย์ของเทพภูเขาซ่งบนยอดเขาท่านนั้น ย่อมต้องบันทึกเรื่องนี้เอาไว้แล้วส่งข่าวไปให้แก่กรมพิธีการอย่างแน่นอน

มีเรื่องเพิ่มมาเรื่องหนึ่ง ไม่สู้มีเรื่องน้อยลงเรื่องหนึ่ง

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันได้คิดคำพูดไว้คร่าวๆ นานแล้ว เขาถามว่า “หากลงนามสัญญากับราชสำนักต้าหลีได้อย่างราบรื่น ควรจะใช้ภูเขาลูกไหนเป็นภูเขาที่ตั้งศาลบรรพจารย์? รากฐานของภูเขาลั่วพั่วดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ไกลไปหน่อย ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดเลย อีกทั้งข้าไม่เชี่ยวชาญในเรื่องภูมิศาสตร์ชัยภูมิ ตอนนี้ข้ามีค่ายกลอยู่สองชุด ระดับขั้น…น่าจะถือว่าสูงมาก หนึ่งคือค่ายกลกระบี่ เหมาะแก่การโจมตีให้ศัตรูถอยร่น อีกหนึ่งคือค่ายกลพิทักษ์ภูเขา เหมาะแก่การป้องกัน หากฝังรากลงไปบนภูเขาเมื่อไหร่ก็เคลื่อนย้ายได้ยากลำบากอย่างยิ่ง ควรจะจัดวางค่ายกลพิทักษ์ภูเขาสองอย่างไว้บนภูเขาลูกเดียวกัน หรือว่าให้เหนือขานรับกับใต้ แบ่งแยกกันสร้างคนละแห่ง? แต่ว่าก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ค่ายกลใหญ่สองแห่ง ตอนนี้ข้ามีภาพค่ายกล เงินเทพเซียนก็มากพอ แต่ยังขาดวัตถุใหญ่สองชิ้นที่จะใช้เป็นแกนกลาง ดังนั้นต่อให้สามารถสร้างขึ้นได้ในเร็วๆ นี้ ก็ยังเป็นแค่โครงร่างที่ว่างเปล่าเท่านั้น”

เว่ยป้อเองก็ไม่ทำตัวเป็นคนนอกกับเฉินผิงอัน เอ่ยถามเข้าประเด็นตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “ระดับขั้นสูงแค่ไหน? บอกได้ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นอกจากแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ข้าแล้ว อันที่จริงข้ายังมีใบอู๋ถงแผ่นหนึ่งที่ได้มาจากสำนักใบถง เป็นวัตถุจื่อชื่อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนที่ได้รับของชิ้นนี้มา ได้มีคนเตือนไว้ก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยเปิดมันออก ด้านในนอกจากจะมีเงินฝนธัญพืชกองโตที่สำนักใบถงควักจ่ายให้แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือยังเก็บภาพค่ายกลที่ล้ำค่าซึ่งมีค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสองชุดอยู่ในนั้น หนึ่งคือค่ายกลกระบี่สำหรับโจมตีที่จำลองมาจากภูเขาไท่ผิงแห่งใบถงทวีป อีกหนึ่งคือค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาที่เลียนแบบสำนักฝูจี เงินฝนธัญพืชก้อนนั้นมากพอสำหรับนำมาสร้างค่ายกลใหญ่ทั้งสองค่าย อีกทั้งยังสามารถรักษาการโคจรของค่ายกลทั้งสองไว้ได้นานเป็นร้อยปี”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เพียงแต่วัตถุแกนกลางที่ใช้ประคับประคองค่ายกลใหญ่ทั้งสองซึ่งได้แก่กระบี่ชั้นสูงเก้าเล่ม และหุ่นเชิดร่างทองอีกห้าตน ล้วนจำเป็นต้องอาศัยโชควาสนาของตัวเองไปตามหามา ไม่อย่างนั้นก็ต้องซื้อหามาด้วยเงินเทพเซียน ข้าคาดว่าต่อให้โชคดีเจอคนที่ขายของสองอย่างนี้ ราคาก็คงสูงเทียมฟ้า เงินฝนธัญพืชที่อยู่ในใบอู๋ถงไม่แน่ว่าอาจหมดเกลี้ยง ต่อให้สร้างค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาที่สมบูรณ์แบบสองแห่งขึ้นมาได้ก็อาจจะไม่เหลือกำลังให้มันโคจร ไม่แน่ว่าตัวเองอาจต้องทุบหม้อขายเหล็ก รื้อกำแพงตะวันออกมาเสริมกำแพงตะวันตก ถึงจะไม่ทำให้ค่ายกลใหญ่ได้เพียงแค่ตั้งอยู่เปล่าๆ แค่คิดถึงเรื่องนี้ข้าก็ปวดใจแล้ว นี่เป็นการบีบให้ข้าต้องไปตามหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกทั้งหลาย หรือไม่ก็เลียนแบบผู้ฝึกตนอิสระที่พาตัวไปเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาโชคจริงๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!