กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 464

สรุปบท บทที่ 464.1 สัญญาสิบปีผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 464.1 สัญญาสิบปีผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 464.1 สัญญาสิบปีผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ออกมาจากร้านยาตระกูลหยาง ไปเยือนโรงเรียนแห่งเก่าที่ยังไม่ถูกทำลายทิ้ง แต่ก็ไม่ได้เปิดใช้ เฉินผิงอันยืนกางร่มอยู่นอกหน้าต่าง มองเข้าไปข้างใน

ในหูคล้ายจะได้ยินเสียงท่องตำราแว่วดังมา เหมือนในอดีตตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กแล้วมานั่งยองริมหน้าต่างแอบฟังอาจารย์สอนหนังสือ

ออกมาจากโรงเรียน ไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง ที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าโรงเรียนเก่ามาก เฉินผิงอันหยุดอยู่นอกซุ้มประตูหิน แล้วหมุนกายเดินจากมา

เดินผ่านสถานที่ที่คนในบ้านเกิดชอบเรียกขานกันว่าซุ้มก้ามปู เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วเดินวนหนึ่งรอบ กรอบป้ายจากลายมือของอริยะสี่แผ่น ตังเหรินปู้รั่ง (ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ) ของลัทธิขงจื๊อ โม่เซี่ยงว่ายฉิว (ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย) ของลัทธิพุทธ ซีแหยนจื้อหรัน (พูดให้น้อยปล่อยอิงไปตามหลักธรรมชาติ) ของลัทธิเต๋า และ ชี่ชงโต้วหนิว (พลังอำนาจสะท้านฟ้า) ของสำนักการทหาร

หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา ราชสำนักต้าหลีก็ใช้วิธีการลับมาคัดลอกลายทีละชั้นๆ ดึงเอาแก่นพลังที่เคยซ่อนอยู่ในตัวอักษรไปจนหมด ก็ไม่รู้ว่าใครที่ได้รับโชควาสนานี้

ระหว่างนี้เขาเงยหน้ามองตัวอักษรคำว่า ‘ซี’ แล้วก็นึกไปถึงเนื้อความในจดหมายของชุยตงซาน สายตาของเฉินผิงอันเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ความคิดล่องลอยไปไกล

ต่อมาก็เดินผ่านบ่อโซ่เหล็กที่ตอนนี้ถูกซื้อไปเป็นของส่วนบุคคล กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านในพื้นที่มาตักน้ำอีก ด้านนอกล้อมเป็นรั้วเตี้ยๆ กั้นเอาไว้

เฉินผิงอันนึกถึงคนหนุ่มจากตรอกหางผึ้งที่ได้โซ่เหล็กไป เขาก็คือลูกศิษย์ของหลิวเหล่าเฉิง คนหนุ่มชุดดำที่เรือนกายสูงใหญ่ นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ไม่เพียงแต่ตนเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ แม้แต่เผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือคนดี คิดดูแล้วก็คงจะเป็นคนดีจริงๆ ภายหลังการที่เฉินผิงอันกล้าเสี่ยงอันตรายขึ้นไปเป็นเกาะกงหลิ่ว สาเหตุก็เป็นเพราะเขา ด้วยรู้สึกว่าหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระที่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์แบบนี้ออกมาได้ คงไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นใจทมิฬหินชาติ แล้วความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเฉินผิงอันเดิมพันถูกต้องแล้ว เพียงแต่การวางอุบายประลองปัญญากับหลิวเหล่าเฉิงนั้น ทุกครั้งที่จบเรื่องแล้วนึกถึงขึ้นมาก็ยังคงทำให้เฉินผิงอันหวาดผวาได้ไม่คลาย

จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เวลานี้มายืนอยู่นอกรั้วมองบ่อน้ำแห่งนั้น ก็ให้รู้สึกเหมือนตอนที่ยืนมอง ‘ประตูสวรรค์’ ของภูเขาห้อยหัวที่สามารถเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แห่งนั้น ที่นั่นมีชายฉกรรจ์กอดกระบี่คนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดของป้ายศิลา และนักพรตน้อยอีกคนหนึ่งที่นั่งอ่านตำราอยู่บนเบาะรองนั่ง เฉินผิงอันเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ มามากมาย ก็ยังคงรู้สึกว่าสถานที่ที่สามารถทัดเทียมได้กับเมืองเล็กที่เป็นดั่งมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนแห่งนี้มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคือภูเขาห้อยหัว ที่นั่นคือตราประทับตัวอักษรขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไพศาล แล้วก็เป็นการลงทุนก้อนใหญ่เทียมฟ้าของเต๋าเหล่าเอ้อร์ด้วย

เฉินผิงอันแหงนหน้ามองผืนฟ้า

หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วก็มองไกลๆ ไปยังศาลบุ๋นบู๊สองแห่งที่แยกกันตั้งบูชาบรรพบุรุษของสกุลหยวนและสกุลเฉา แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเครื่องกระเบื้อง ส่วนอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนสุสานเทพเซียน สถานที่ตั้งทั้งสองนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน

เฉินผิงอันไม่ได้เข้าไปในศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาเครื่องกระเบื้องที่เขาไม่ค่อยชอบไปมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะระยะทางห่างไปไกลมาก แต่เฉินผิงอันไปเดินเล่นที่สุสานเทพเซียนซึ่งผ่านการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่อยู่นานมาก เทวรูปพระโพธิสัตว์และเทพสวรรค์มากมายต่างก็ถูกช่างฝีมือของต้าหลีซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ แต่ละองค์ถูกนำมาตั้งวางไว้ใหม่อีกครั้ง ทว่ายังซ่อมได้ไม่สำเร็จเรียบร้อยทั้งหมด จึงยังมีช่างอีกหลายคนที่กำลังทำงานง่วนอยู่บนนั่งร้านไม้

ว่ากันว่าราชสำนักต้าหลียังคิดจะขยับขยายศาลบุ๋นบู๊ให้กว้างขวางออกไปอีก จากนั้นก็นำพระโพธิสัตว์ของลัทธิพุทธ และองค์เทพสวรรค์ของลัทธิเต๋ามาจัดวางไว้ในศาลแต่ละแห่ง ถึงเวลานั้นศาลบุ๋นบู๊ของสถานที่แห่งนี้ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นศาลในอำเภอ แต่กลับจะต้องกลายมาเป็นศาลบุ๋นบู๊ที่ใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดของต้าหลี ถึงเวลานั้นควันธูปย่อมต้องโชติช่วงเป็นอย่างมาก จะมีชนชั้นสูงและขุนนางพากันมาจุดธูปกราบไหว้ไม่ขาดสาย

ช่วงแรกเริ่มสุดอันที่จริงเฉินผิงอันยังไหว้วานขอให้หร่วนซิ่วช่วยออกเงินทำเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมเทวรูป หรือการสร้างเรือนสร้างเพิงขึ้นมาใหม่ ทว่าเพียงไม่นานก็ถูกทางการของต้าหลีรับช่วงไปทำต่อ หลังจากนั้นก็ไม่อนุญาตให้ใครยื่นมือเข้าแทรกอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวรูปสามองค์ในนั้นที่เดิมทีล้มกองอยู่กับพื้นซึ่งปีนั้นเฉินผิงอันยังเคยโยนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปสามเหรียญ แม้ว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ แต่เขากลับไม่มีความคิดจะสืบหาเบาะแสไปตามทวงคืนมา หากว่ายังอยู่ก็ถือเป็นบุพเพวาสนา คือความสัมพันธ์ควันธูปสามส่วน แต่หากถูกเด็กๆ หรือชาวบ้านในหมู่บ้านมาพบเข้าโดยบังเอิญ แล้วกลายไปเป็นลาภลอยของพวกเขา ก็ถือว่าเป็นวาสนาเช่นกัน แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าความเป็นไปได้ของอย่างหลังมีมากกว่า เพราะถึงอย่างไรเมื่อหลายปีก่อนชาวบ้านในท้องที่ก็ขึ้นเขาลงห้วย พลิกลังค้นหีบ ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อก็เพื่อตามหาสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษและวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน จากนั้นก็นำไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาจากร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยว แล้วค่อยไปซื้อเรือนหลังใหญ่อยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน หาสาวใช้บ่าวชายมาเพิ่ม แต่ละคนมีชีวิตสุขสบายอย่างที่ในอดีตแม้แต่คิดฝันก็ยังไม่กล้า

เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าพวกเขาทำอย่างนี้แล้วจะต้องผิด เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อจะขาย ก็น่าจะขายให้ช้าสักหน่อย ราคามีแต่จะสูงมากขึ้น เพราะวัตถุตระกูลเซียนชิ้นเดียวกัน แต่หากขายช้ากว่าหลายปีก็มีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

เหตุใดร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวถึงต้องทำเหมือนสกุลสวี่นครลมเย็นที่เป็นฝ่ายย้ายออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตัวเอง ยอมสละท่าเรือตระกูลเซียนที่ทุ่มเงินมหาศาลสร้างขึ้นมา กลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้สกุลซ่งต้าหลีไปเปล่าๆ?

ช่วงแรกเริ่มเฉินผิงอันนึกว่าร้านผ้าห่อบุญเดิมพันผิดฝั่งแล้ว เลือกไปเดิมพันกับราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้มาลองมองดูแล้วกลับมีความเป็นไปได้ว่าตอนนั้นพวกเขาซื้อสมบัติในเมืองเล็กที่ราคาถูกมาได้เยอะมาก เงินเทพเซียนที่ได้เป็นกำไรจึงมากจนแม้แต่ร้านผ้าห่อบุญเองยังรู้สึกผิด ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปชัดเจนขึ้น ร้านผ้าห่อบุญที่ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วจึงใช้ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยนเป็นยันต์คุ้มกันกายหนึ่งแผ่นให้กับร้านสาขาอื่นที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งจากต้าหลี และนี่ก็เท่ากับว่าเป็นการสืบทอดควันธูปกับสกุลซ่งต้าหลีอีกด้วย หากมองในระยะยาว ไม่แน่ว่าร้านผ้าห่อบุญอาจจะได้กำไรมากกว่าเดิม

เฉินผิงอันคิดว่าความคิดนี้ของตน มีความเป็นไปได้ถึงครึ่งหนึ่งว่าน่าจะเป็นความจริงแล้ว

ทำการค้าทางลัดกับทางการ ได้เงินมาเร็ว แต่ก็ไปเร็วด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ส่วนข้อที่ว่าควรจะทำการค้าที่ไม่ใช่ลาภลอยอย่างไร ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่เข้าใจอย่างแน่ชัด คิดดูแล้วบุคคลอย่างซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชน่าจะค่อนข้างเข้าใจกฎเกณฑ์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้ดี ในอนาคตหากมีโอกาสคงต้องลองถามพวกเขาดู

สภาพการณ์ในสุสานเทพเซียนเปลี่ยนไปเยอะมาก กลับมาเที่ยวที่เดิมซ้ำอีกครั้ง มีหลายสถานที่ที่อยากไปแต่ก็ไปไม่ได้ สถานที่ที่ในอดีตไปเยือนไม่ได้ ตอนนี้กลับมีศาลาลม มีแท่นชมทิวทัศน์ผุดขึ้นมาแล้ว

เฉินผิงอันหยุดพักเท้าอยู่ในศาลาขนาดเล็กที่ชายคาตวัดโค้งงอนแห่งหนึ่ง

ในบรรดาผู้ช่วยมากมายของช่างฝีมือก็มีนักโทษสกุลหลูจำนวนไม่น้อยที่ปีนั้นย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนปะปนอยู่ด้วย ปีนั้นเฉินผิงอันก็เคยเห็นนักโทษหลายคน เนื่องจากการสร้างศาลเทพภูเขาและเส้นทางในการขึ้นเขาไปจุดธูปบนภูเขาลั่วพั่วจึงมีเงานักโทษให้เห็นแล้ว เมื่อเทียบกับปีนั้น นักโทษที่ง่วนอยู่กับการทำงานจุกจิกในศาลเทพเซียนตอนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์ พวกเขายังคงไม่พูดคุยอะไรมาก เพียงแต่ไม่มีความหมดอาลัยตายอยากอย่างที่เคยมีในอดีตอีกแล้ว คงเป็นเพราะว่าต่อให้ต้องมีชีวิตอย่างยากลำบากมาปีแล้วปีเล่า ทว่าแต่ละคนก็คงจะพอมองเห็นความหวังเล็กๆ ในชีวิตได้บ้างแล้ว

อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย คนหนึ่งคือรัชทายาทราชวงศ์สกุลหลูที่แคว้นล่มสลาย อีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลเซียนบนภูเขา ไม่อาจเรียกได้ว่าพวกเขาคือปลาที่หลุดรอดไปจากแห เพราะอันที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็เป็นหมากที่ชุยฉานและเหนียงเนียงต้าหลีเลือกมาเอง หลังจากไปมาหาสู่กันอยู่เบื้องหลังพักหนึ่ง ผลกลับกลายไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต้าสุยทั้งคู่ อวี๋ลู่สนิทกับเกาเซวียนมาก ความสัมพันธ์ของพวกเขาคล้ายคลึงกับคู่พี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมยาก คนหนึ่งพลัดที่นาคาที่อยู่ อีกคนหนึ่งก็ต้องมาเป็นตัวประกันในแคว้นของศัตรู

ส่วนเซี่ยเซี่ยนั้น หลายปีก่อนนางถูกชุยตงซานรังแกอย่างน่าอนาถก็จริง

แต่นี่ก็เหมือนการที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยไม่สอดมือเข้ายุ่งเรื่องระหว่างเขาเฉินผิงอันกับเผยเฉียน เฉินผิงอันเองก็ไม่มีทางอาศัยว่าตัวเองมีสถานะเป็น ‘อาจารย์’ ของชุยตงซานไปเจ้ากี้เจ้าการกับเขาในเรื่องนี้

ควรจะมอบความปรารถนาดีให้แก่คนอื่นอย่างไร นี่เป็นความรู้ที่ใหญ่มากอย่างหนึ่ง

ตามคำบอกของผู้เชี่ยวชาญอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุย ตอนนี้สภาพร่างกายของเฉินผิงอันมีทั้งดีและไม่ดี ดีก็คือเรือนกายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เมื่อหยุดนิ่งอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมาสามปี พื้นฐานร่างกายยังคงปลอดภัยไม่เป็นอะไร การ ‘ชี้จุด’ สามครั้งผ่านอากาศของฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีปเป็นประโยชน์ต่อเขามาก ไม่อย่างนั้นคาดว่าเฉินผิงอันที่เดินเข้าไปอยู่บนเกาะชิงเสียอาจจะต้องนอนแบ๊บออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นได้

เพียงแต่ว่าการฝึกตนก็คือชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หลังจากที่หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นแหลกสลายไป ก็ได้ทิ้งโรคร้ายที่ใหญ่หลวงเอาไว้ วัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุที่สร้างขึ้นในตอนแรกคือกุญแจสำคัญในการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่

ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ หลังจากที่พังทลายลง ก็เหมือนกับการที่ยิ่งปีนไปสูงเท่าไหร่ ตอนตกลงมาก็เจ็บหนักมากเท่านั้น สำหรับข้อนี้คล้ายคลึงกับคำกล่าวของผู้เฒ่าแซ่ชุยที่บอกว่า ได้เห็นมาดสง่างามของเซียนกระบี่มากับตาครั้งแล้วครั้งเล่าก็จะยิ่งเป็นการทิ่มให้เกิดหลุมใหญ่หลุมแล้วเล่าบนสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน เมื่อมันพังทลายแล้วต้องสร้างขึ้นมาใหม่ จึงยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้นการที่ต้องเร่งหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามจึงกลายมาเป็นเรื่องด่วนเรื่องสำคัญในตอนนี้

เพราะฉะนั้นในจดหมายลับที่ชุยตงซานทิ้งไว้บนเรือนไม้ไผ่จึงมีการเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิม เขาแนะนำให้อาจารย์อย่างเฉินผิงอันเลือกดินห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลีซึ่งเป็นความคิดที่เฉินผิงอันล้มเลิกไปในคราวแรกให้เป็นธาตุดินของห้าธาตุ ชุยตงซานไม่ได้อธิบายเหตุผลอย่างละเอียด พูดแค่ว่าขอให้อาจารย์เชื่อใจเขาสักครั้ง ในฐานะ ‘ราชครู’ ต้าหลี หากสามารถควบรวมทั้งแจกันสมบัติทวีปให้กลายมาเป็นพื้นที่ของต้าหลีแคว้นเดียวได้จริง จะเลือกห้าขุนเขาไหนให้กลายมาเป็นห้าขุนเขาใหม่บ้าง แน่นอนว่าต้องมั่นใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นการเลื่อนภูเขาพีอวิ๋นในเขตการปกครองหลงเฉวียนซึ่งเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของต้าหลีเองขึ้นเป็นขุนเขาเหนือ ปีนั้นคนตลอดทั้งต้าหลีที่รับรู้เรื่องนี้ ต่อให้รวมซ่งเจิ้งฉุนซึ่งเป็นอดีตฮ่องเต้ไปด้วย นับนิ้วแล้วก็ยังไม่เกินหนึ่งมือ

ขุนเขากลางคืออดีตขุนเขากลางของราชวงศ์จูอิ๋ง ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น องค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาที่ถูกสถานการณ์ใหญ่บีบบังคับจนจำต้องเปลี่ยนที่พึ่งพา ยังคงรักษาร่างทองในศาลเอาไว้ได้ พัฒนารุดหน้าไปอีกก้าวใหญ่ กลายเป็นขุนเขากลางแห่งทวีป เพื่อเป็นการตอบแทน องค์เทพที่ ‘ยังคงสถานะดั้งเดิม’ เอาไว้ได้ท่านนี้จึงจำเป็นต้องช่วยสกุลซ่งต้าหลีรักษาโชคชะตาแห่งภูเขาและน้ำของแผ่นดินใหม่ให้มั่นคง ผู้ฝึกตนคนใดก็ตามที่อยู่ในอาณาเขตจะได้รับการปกป้องจากขุนเขากลาง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถูกพันธนาการจากขุนเขากลางด้วย ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีชักสีหน้าไม่จำคน แม้แต่ร่างทองของเขาก็ยังถูกเก็บกลับไปด้วย

สวี่รั่วจอมยุทธสำนักโม่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาเฝ้าบัญชาการณ์อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับศาลขุนเขา

ตอนนั้นหร่วนฉงเองก็จะออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไปยังขุนเขาตะวันตกแห่งใหม่ ที่นั่นห่างจากศาลลมหิมะไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก ขุนเขาตะวันตกแห่งใหม่มีชื่อว่าภูเขากานโจว ไม่ได้ติดหนึ่งในห้าขุนเขาท้องถิ่นดั้งเดิม ครั้งนี้จึงถือว่าเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว

ส่วนผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลีที่ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนเซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิด ก็จะต้องไปยังขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่ที่มีชื่อว่าภูเขาชี่ซาน เพื่อร่วมกันตรวจตราอาณาบริเวณแถบนั้น ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนแคว้นล่มสลายของแต่ละสถานที่ที่ดึงดันต่อต้านแทรกซึมเข้ามาภายใน คิดทำลายภูเขาแม่น้ำให้พังภินท์โดยไม่เสียดายชีวิต

ส่วนขุนเขาใต้ก็มีฟ่านจวิ้นเม่าเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของที่นั่น

เกี่ยวกับการเลือกขุนเขาใต้แห่งใหม่ ชุยตงซานอมพะนำ บอกแค่ให้อาจารย์รอดูไปแล้วกัน ถึงเวลานั้นก็จะเข้าใจคำว่า ‘ดินทับถมกันเป็นภูเขา’ เอง

ดังนั้นชุยตงซานจึงเขียนบอกไว้ในจดหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาจะอาศัยโอกาสนี้ขุดเอาดินที่เป็นรากภูเขาของสี่ขุนเขาแห่งใหม่มาแต่เนิ่นๆ บัณฑิตลงมือทำ จะเรียกว่าขโมยได้หรือ? อีกอย่างต่อให้สุดท้ายแล้วอาจารย์ยังคงไม่ยินดีจะเลือกดินห้าสีของห้าขุนเขามาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นต่อไป แต่ดินล้ำค่าที่มีอยู่เต็มกระบุงโกยพวกนี้ อย่างน้อยก็ควรจะเอาไปเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งให้เต็ม นี่ก็คือเงินร้อนน้อยก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเลยทีเดียว ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ยังไม่มีคนจับตาดูอย่างเข้มงวด ไม่เอาก็เสียเปล่า ส่วนทางฝั่งขุนเขาเหนือของเว่ยป้อนั้น ถึงอย่างไรอาจารย์กับเขาก็สวมกางเกงตัวเดียวกัน (เปรียบเปรยว่าสนิทสนมกันมาก) ยังต้องเกรงใจกันไปไย?

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!