เฉินผิงอันมาถึงศาลเทพวารีที่บรรยากาศเคร่งขรึมแห่งนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว
ควันธูปของสถานที่แห่งนี้ลุกโชติช่วงอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับสู้ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอไม่ได้ที่ต่อให้เป็นกลางดึกกลางดื่นก็ยังมีผู้มีจิตศรัทธานับพันคนรออยู่ด้านนอกเพื่อหวังจะได้เข้าไปจุดธูปในศาล เพราะถึงอย่างไรแถบเขตการปกครองหลงเฉวียนนี้ก็ยังมีชาวบ้านอยู่น้อย รอให้หลงเฉวียนเลื่อนจากเขตการปกครองเป็นมณฑลเมื่อไหร่ ย่อมต้องมีชาวบ้านของราชสำนักต้าหลีย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างต่อเนื่อง ถึงเวลานั้นก็พอจะจินตนาการได้ถึงภาพบรรยากาศคึกคักของศาลเทพวารีต้าหลีแห่งนี้ได้เลย
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปข้างใน ต้นป่ายโบราณขึ้นเขียวครึ้ม ส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นไม้บนภูเขาใหญ่แถบทิศตะวันตกที่ถูกย้ายมาปลูกที่นี่
พอไปถึงตำหนักหลัก เฉินผิงอันก็ข้ามธรณีประตู แหงนหน้ามองเทวรูปดินเผาสีสันที่สูงสี่จั้ง มีชีวิตชีวาเสมือนจริง รอบกายของรูปปั้นล้อมพันไว้ด้วยแถบผ้าหลากสี ราวกับว่ารูปปั้นนี้จะโบยบินขึ้นฟ้า
ระดับความสูงของเทวรูปร่างทองมักจะมีความหมายว่าองค์เทพองค์หนึ่งอยู่ในอันดับหน้าหรือหลังในทำเนียบแห่งภูเขาแม่น้ำของราชสำนักแห่งหนึ่ง
ก็เหมือนกับศาลที่เฉินผิงอันผ่านทางมาก่อนหน้านี้ที่เทวรูปสูงแค่หนึ่งจั้งกว่า
เฉินผิงอันรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้
เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มีนามเดิมว่าหยางฮวา เคยเป็นสาวใช้ประจำกายของเหนียงเนียงต้าหลี ในอ้อมอกอดกระบี่โบราณที่มีพู่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงยอมสละตน ตายแล้วกลายมาเป็นเทพ กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำสายนี้ นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ในน้ำ ยามที่สร้างร่างทององค์เทพของตนเองเคยได้ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ระดับขั้นของร่างทองสูงมาก เป็นเหตุให้ราชสำนักต้าหลีให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด อันดับแรกก็เลื่อนลำคลองขึ้นเป็นแม่น้ำ จากนั้นก็เลื่อนขั้นให้เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้อยู่ในระดับสูงสุดของเทพวารี
เฉินผิงอันทั้งไม่ได้เชิญธูปมาจุด แล้วก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นการแสดงความเคารพ เขาอยู่เพียงครู่เดียวก็ออกมาจากตำหนักใหญ่ เดินออกจากศาลเทพที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ย้อนกลับไปทางเดิม
ตั้งแต่ต้นจนจบ บรรยากาศในศาลเทพวารีวิเวกเปลี่ยวเหงา มีเพียงควันธูปเท่านั้นที่ลอยกรุ่นไม่ขาดสาย
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนเว่ยป้อ รอจนเขาเดินกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็เป็นยามสนธยาของวันที่สองแล้ว ระหว่างนี้ยังเดินเที่ยวไปตามภูเขาแห่งต่างๆ ที่อยู่ริมขอบด้วย ปีนั้นหลังจากได้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาหลายถุง หร่วนฉงก็แนะนำให้เขาซื้อภูเขา เฉินผิงอันพกเอาแผนที่ที่ทางที่ว่าการงานเตาเผาเป็นผู้สร้างขึ้นเดินไปทั่วกลุ่มภูเขาเพียงลำพัง สุดท้ายเลือกภูเขาห้าลูกซึ่งรวมภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเจินจูเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้มาลองย้อนคิดดูแล้วก็ราวกับว่าอยู่ห่างไกลกันคนละโลกจริงๆ
หลังจากขึ้นเขามาแล้ว เฉินผิงอันก็ไปที่เรือนไม้ไผ่ก่อน หนีพระได้ หนีวัดไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถหลบผู้เฒ่าได้ทุกวัน อีกอย่างหากผู้เฒ่าคิดจะซ้อมเขาจริงๆ คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น
เฉินผิงอันนั่งเขียนจดหมายหลายฉบับอยู่ในชั้นหนึ่ง คิดว่าจะส่งไปยังสำนักศึกษาซานหยา ส่งให้แก่หลิวจื้อเม่าและกู้ช่านที่เกาะชิงเสีย รวมไปถึงหมู่บ้านของซ่งอวี่เซาแคว้นซูสุ่ย จดหมายฉบับที่ส่งไปให้กู้ช่านนั้น ยังขอให้เขาช่วยนำความไปบอกต่อแก่หลิวจ้งรุ่นเกาะจูไชด้วย ส่วนกระบี่บินส่งข่าวที่ส่งไปให้แก่หลิวจื้อเม่าก็เตือนถึงสภาพการณ์ของหงซูที่อยู่ในจวนชุนถิง
หลิวจื้อเม่ารอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตาย ตอนนี้ไม่เพียงแต่เดินออกมาจากคุกน้ำเกาะกงหลิ่วย้อนกลับไปเกาะชิงเสียอย่างปลอดภัย ยังเปลี่ยนสถานะใหม่ กลายมาเป็นผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกเช่นเดียวกับหลิวเหล่าเฉิง อีกทั้งยังอยู่ในอันดับที่สาม ขั้วอำนาจมากมายของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เหยียบย่ำซ้ำเติมเกาะชิงเสียในปีนั้น คาดว่าคงไม่มีใครหนีผลลัพธ์ที่ตามมาได้พ้น ส่วนลูกศิษย์และผู้ถวายงานในเกาะชิงเสียเองก็คาดว่าคงยิ่งต้องซวยหนัก ยกตัวอย่างเช่นคนฉลาดที่ไม่ว่าจะวางแผนเรื่องใดก็ล้วนคิดเสมอว่าอาจารย์ของตนอย่างหลิวจื้อเม่าต้องตายสถานเดียว เถียนหูจวินผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งเกาะซู่หลิน
ดังนั้นคำโบราณที่กล่าวไว้ว่าเป็นคนควรเหลือทางถอยให้ตัวเอง ยังคงมีเหตุผลอย่างมาก
จดหมายฉบับสุดท้ายนั้นเขียนให้กับจงขุยแห่งภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป เขาจำเป็นต้องส่งไปยังนครมังกรเฒ่าก่อน จากนั้นค่อยส่งกระบี่บินข้ามทวีปไปอีกที จดหมายฉบับที่เหลือ ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีห้องกระบี่อยู่ห้องหนึ่ง หากอยู่ในทวีปเดียวกัน ขอแค่ไม่เป็นสถานที่ที่กันดารห่างไกลเกินไป หรือเป็นภูเขาที่ศักยภาพอ่อนด้อยเกินไปก็ล้วนสามารถส่งไปถึงได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ว่ากระบี่บินของห้องกระบี่ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของกองทัพของต้าหลี ดังนั้นจึงยังต้องใช้เว่ยป้อมาบังหน้า นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากเปลี่ยนมาเป็นหร่วนฉงก็คงไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพราะว่าภูเขาลั่วพั่วยังไม่มีหน้ามีตาเฉกเช่นคนอื่นเขา
เขียนจดหมายแต่ละฉบับเสร็จแล้วก็เรียกเผยเฉียนกับจูเหลี่ยนมาหา บอกให้พวกเขาเอาไปส่งที่ภูเขาหนิวเจี่ยว
เผยเฉียนเปี่ยมไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม
จึงคิดจะเรียกเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูให้ไปด้วยกัน สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกลับเรียกตัวพวกเขาไว้ก่อน เผยเฉียนจึงได้แต่ลงเขาไปพร้อมกับพ่อครัวเฒ่า แต่ก็ยังถามอาจารย์ว่าจูงฉวีหวงไปด้วยกันได้หรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าได้ เผยเฉียนถึงได้เดินอาดๆ ออกไปจากเรือน
เดิมทีนึกว่าต้องรอให้ตนท่องยุทธภพในครั้งต่อไปก่อนเท่านั้นถึงจะขอลาตัวเล็กๆ มาจากอาจารย์ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ตั้งแต่ตอนนี้เลย ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็ไม่ต้องไปท่องอยู่ในยุทธภพแล้วดีกว่า ขี่ม้าเตร่อยู่รอบๆ ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ถือว่าท่องอยู่ในยุทธภพแล้วหรอกหรือ? แล้วก็ไม่ต้องไปเจอกับคนชั่วมากมายที่ตัวเองไม่ชอบด้วย หิวเมื่อไหร่ก็วิ่งกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องการกินอยู่ ยุทธภพที่เป็นเช่นนี้ แม้จะเล็กไปหน่อย แต่นางมีความสุขมากนี่นา
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้อยู่บนภูเขา บอกว่าจะไปชำระหนี้ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาพักอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว คาดว่าเจิ้งต้าเฟิงคงจะติดหนี้โรงเตี๊ยมและหอสุราไว้บานเบอะ ถึงได้ยืมเงินไปจากจูเหลี่ยน ส่วนจะคืนหรือไม่ แล้วจะคืนเมื่อไหร่ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้
เด็กสาวที่ชื่อว่าเฉินยวนจีผู้นั้น ตอนนั้นก็ยืนอยู่ในลานบ้านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของนางแดงก่ำ ไม่กล้ามองเจ้าของภูเขาหนุ่มผู้นั้นตรงๆ
เฉินผิงอันย่อมไม่ถือสาความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ บอกตามตรง แรกเริ่มเป็นเขาที่หลงตัวเอง นึกว่าจะเป็นไปตามคำบอกของจูเหลี่ยน คิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กสาวไร้เดียงสาตีแสกหน้าอย่างจัง นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกผิดหวังนิดๆ
ไม่ใช่ว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนเจ้าชูเสเพล แต่บุรุษบนโลกใบนี้ ไหนเลยจะไม่ชอบให้ตัวเองหน้าตาดี ไม่ทำให้คนอื่นรังเกียจ?
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้จงใจเย็นชาใส่เฉินยวนจี เขาเอ่ยประโยคที่เอ่ยตอนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลเฉินในเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ ในเมื่อมาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว จะฝึกวรยุทธที่นี่ก็ต้องเคารพกฎ ทางที่ดีที่สุดควรถามจากจูเหลี่ยนให้รู้แน่ชัด หลังจากนั้นเมื่ออยู่ในกฎแล้ว คิดจะทำอะไรพูดอะไรก็จะไม่ละเมิดกฎอีก อีกทั้งต่อให้ในอนาคตถูกลงโทษ แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล สามารถมาอธิบายเหตุผลกับเขาเฉินผิงอันได้โดยตรง จะไม่มีใครห้ามปรามเด็ดขาด ขอแค่เหตุผลของนางถูกต้อง เฉินผิงอันก็จะยอมรับในเหตุผลของนาง
เฉินยวนจีพยักหน้ารับอย่างมึนๆ งงๆ ยังคงไม่พูดอะไรอยู่เหมือนเดิม
นางทั้งโล่งใจและกังวลใจ โล่งใจว่าภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่บ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ กังวลว่านอกจากเทพเซียนผู้เฒ่าจูแล้ว เหตุใดนับตั้งแต่เจ้าภูเขาหนุ่ม ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าภูเขา ไปจนถึงเด็กชุดเขียว ชุดกระโปรงชมพูคู่นั้น ล้วนแตกต่างจากผู้ฝึกตนบนภูเขาในใจของเฉินยวนจีไปมากนัก มีเพียง ‘เว่ยป้อ’ คนเดียวที่ภาพลักษณ์สอดคล้องกับเทพเซียนในใจนางมากที่สุด แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่ว
ส่วนผู้เฒ่าที่มีชื่อว่าสือโหรวผู้นั้น ไม่ค่อยชอบพูด ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ แค่มองเขาแล้วก็รู้สึกขนลุก
เฉินยวนจีถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างเถิด อยู่ที่นี่แล้วตั้งใจฝึกวรยุทธก็แล้วกัน
เฉินผิงอันพาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไปที่โต๊ะหินริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ตำแหน่งค่อนไปทางทิศเหนือ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่บดบังการทอดสายตามองไปทางทิศใต้ของนายท่านตัวเอง
เด็กชายชุดเขียวนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แค่เขายื่นมือออกมา เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ควักเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งไปให้ อยู่กับเผยเฉียนที่ชอบแทะเมล็ดแตงมากที่สุดนานวันเข้า นางจึงเหมือนแม่ค้าร้านแผงลอยเล็กๆ ที่ขายเมล็ดแตงเข้าไปทุกทีแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าไม่เคยมีชื่ออย่างเป็นทางการกันสักที นี่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วอาจจะมีสำนัก หรือไม่แน่แม้แต่ศาลบรรพจารย์ก็อาจจะยังมี แต่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เก็บไว้กับตัวนั่นแหละดีแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าไม่เคยถามพวกเจ้า วันหน้าก็จะไม่ถาม ต่อให้ในอนาคตภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นภูเขาของการฝึกตนจริงๆ ก็จะไม่เรียกร้องต่อพวกเจ้าเหมือนกัน ตอนนี้ข้าสามารถบอกพวกเจ้าไว้ได้เลย หากวันหน้ามีใครปากมากยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด พวกเจ้าก็มาบอกข้า ข้าจะคุยกับเขาเอง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีชื่อที่สามารถบันทึกไว้ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ในอนาคต ดังนั้นพวกเจ้ามีชื่อหรือฉายาที่ตัวเองชื่นชอบกันหรือไม่?”
ภูตแห่งภูเขาแม่น้ำ จำเป็นต้องสลักชื่อแห่งชะตาชีวิตของตัวเองไว้ในจุดใดจุดหนึ่งของทะเลสาบหัวใจ ห้องหัวใจ หรือผืนนาหัวใจอย่างระมัดระวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นคนแล้ว ชื่อนี้ก็ห้ามขาดไปเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการ ‘ป่าวประกาศแก่ใต้หล้า’ ประหนึ่งรัชศกในการก่อตั้งแคว้น
การถ่ายทอดวิชาลับบนภูเขา หากภูตหรือปีศาจไม่ยินดีถูก ‘บันทึกลงเอกสาร’ ก็จะต้องถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลผลักไส มีอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน ภูตและปีศาจหลายตนที่ออกห่างจากโลกมนุษย์ ไม่เข้าใจในหลักการนี้ การที่พวกเขาบรรลุมรรคาได้อย่างยากลำบาก ก็เพราะว่าไม่มีใครบอกเรื่องนี้บนเส้นทางการฝึกตน เป็นเหตุให้ร้อยปีพันปีต้องอยู่อย่างไร้แซ่ไร้นาม ชีวิตระหกระเหินเจอแต่ปัญหา การฝ่าทะลุขอบเขตเชื่องช้า ไม่ได้รับการยอมรับจากใต้หล้าไพศาล นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุหลัก
เพียงแต่ว่าหากถูกผู้ฝึกตนรู้ชื่อที่แท้จริง นั่นก็เท่ากับว่าภูตและปีศาจถูกกุมจุดอ่อนข้อใหญ่เอาไว้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยถามชื่อที่แท้จริงของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ แล้วพูดด้วยความมั่นใจว่า “หากพวกเจ้าคิดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยตั้งชื่อให้พวกเจ้าเอง เรื่องนี้ข้าถนัดนักล่ะ”
เด็กชายชุดเขียวที่เดิมทียังโคลงศีรษะแทะเมล็ดแตงเหมือนถูกฟ้าผ่า โยนเมล็ดแตงไว้บนโต๊ะ ใช้ฝ่ามือสองข้างยันพื้นโต๊ะหิน พูดโอดครวญ “ไม่ได้เด็ดขาด! ข้าค่อยๆ คิดชื่อของตัวเองได้ นายท่านเหนื่อยยากขนาดนี้แล้ว ก็อย่าเป็นกังวลกับเรื่องนี้อีกเลย…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!