กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 466

ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ประโยคนี้ไม่ใช่คำประจบสอพลออะไรจริงๆ เห็นแก่ความจริงที่กล่าวได้อย่างยิ่งใหญ่งดงามประโยคนี้…หากไม่ประทานรางวัลด้วยหนึ่งหมัด ก็คงผิดต่อเจ้าเฉินผิงอันยิ่งนัก!”

เรือนกายและพลังอำนาจของผู้เฒ่าเหมือนขุนเขาที่กดลงมาเหนือศีรษะ เฉินผิงอันหน้ามืด ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้สลบคาที่ไปทันที

ผู้เฒ่ากระทืบเท้า เฉินผิงอันที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นร่างกระเด้งลอยขึ้นมา เพิ่งจะสะดุ้งตื่นกลางอากาศ ฝ่าเท้าอีกข้างของผู้เฒ่าก็พุ่งมาถึง

แล้วก็สลบเหมือดไปอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา

เฉินผิงอันโอดครวญไม่หยุด เหนื่อยล้าต่อการรับมือยิ่งนัก

ส่วนผู้เฒ่ากลับสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ออกแรงผ้าแนบรัด โจมตีใส่วัตถุส่งเสียงดัง (คือลักษณะพิเศษของหมัดหลังมือห้าธาตุ (อู่สิงทงเป้ยเฉวี้ยน) เป็นการการจู่โจมโดยมีจังหวะเป็นส่วนประกอบสำคัญ หมัดทงเป้ยหรือทงเป้ยเฉวี้ยนเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นการปล่อยหมัดรัวๆ ติดต่อกัน เนื่องจากมือสองข้างเคลื่อนไหวอยู่ในเส้นแนวเดียวกัน เสื้อผ้าจึงมักจะเสียดสีกันจนเกิดเสียง และเมื่อโจมตีเสร็จมือทั้งสองข้างจะแนบลงโดนต้นขาอย่างเป็นธรรมชาติ จึงทำให้เกิดเสียงโจมตีที่พิเศษขึ้นมา)

แน่นอนว่าไม่ใช่กระบวนท่าทั่วไปในยุทธภพที่แสวงหาในคำกล่าวว่า ‘ฝึกหมัดไม่ส่งเสียง พายเรือไม่มีไม้พาย’ บนตำราหมัดของตัวเอง นี่เป็นเพราะพายุหมัดในชายแขนเสื้อของชุยเฉิงรุนแรงเกินไป การออกหมัดทุกครั้งก็รวดเร็วเกินไป

สุดท้ายผู้เฒ่าเหวี่ยงเท้าฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันหมุนคว้างหลายตลบ พอร่วงลงพื้นแล้วก็เซถอยไปหลายก้าว แต่เนื่องจากพละกำลังไม่ได้มากเท่าก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ถึงขั้นล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

เขาจึงตั้งท่าเดินนิ่งหกก้าวกลับหลัง โดยมีปณิธานหมัดท่าวานรช่วยเสริม ค้อมร่างถอยหลังไปหลายก้าว เฉินผิงอันไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย สายตาจ้องผู้เฒ่าเขม็ง

ถูกซ้อมจนสภาพอเนจอนาถเช่นนี้แล้ว อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นท่าหมัดหรือปณิธานหมัดของเขาก็ล้วนสั่นส่ายทั้งสิ้น

แต่บนร่างของเฉินผิงอันกลับมี ‘ความหมาย’ ที่พร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอย่างหนึ่งที่ตระหง่านนิ่งไม่กระดุกกระดิก ประหนึ่งภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌาน

ชุยฉานยิ้มกล่าว “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ หากยังต่อยตีต่อไป กระดูกของเจ้าคงจะแยกร่างแล้วจริงๆ”

เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ

ชุยเฉิงพยักหน้า “ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนอีกหมัด เดินลงจากเรือนไปเองเถอะ ตามกฎเดิม ไปแช่ตัวในถังยา จำไว้ว่าไม่เหมือนเหมือนก่อน ห้ามปล่อยให้น้ำเย็น เมื่อใดที่เจ้าสามารถใช้ปราณที่แท้จริงต้มยาจนเดือดได้แล้วถึงจะไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จงอยู่ในถังน้ำแต่โดยดี ถือซะว่าเป็นการฝึกไว้น้ำก็แล้วกัน เว่ยป้อเตรียมตัวยามาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลงจากเรือนแล้วก็บอกให้นังหนูชุดชมพูไปต้มน้ำมาให้”

เฉินผิงอันถึงได้ฝืนประคับประคองลมปราณเฮือกนั้นเดินออกห้อง โซซัดโซเซลงจากเรือน ตอนที่เดินลงบันไดก็จำต้องยื่นมือไปจับราวบันได มีความรู้สึกคล้ายตอนยังเป็นเด็กหนุ่มที่ขึ้นเขาไปเผาถ่าน ขึ้นเขาไม่เหนื่อย แต่ลงเขากลับยากลำบาก

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มต้มน้ำรออยู่ที่ด้านล่างแล้ว

ฉวยโอกาสที่มีเวลาว่าง เฉินผิงอันไม่ได้กลับเข้าไปในห้องชั้นหนึ่งทันที แต่ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

รอจนเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูตะโกนเรียก เขาถึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง

ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันก็เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวสะอาดสะอ้าน ซึ่งก็คือหนึ่งในชุดที่อู๋ยวนแห่งจวนจื่อหยางมอบให้

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มเก็บกวาดซากที่หลงเหลืออยู่อย่างคุ้นเคยคล่องแคล่ว

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ เด็กน้อยคลี่ยิ้มหวาน ราวกับว่าการที่นางทำงานยิบย่อยจุกจิกพวกนี้ทำให้นางรู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งกว่าการฝึกตนแล้วฝ่าทะลุขอบเขตเสียอีก

เฉินผิงอันเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยืดสองขาออกไป

ที่แท้เมื่อไม่ต้องถูกซ้อม ชีวิตของเขาก็ดุจดั่งเทพเซียนแล้ว

ห่างไปไกลจูเหลี่ยนพาเด็กสาวเฉินยวนจีเดินมาถึงช้าๆ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง

จูเหลี่ยนหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งด้านข้าง เฉินยวนจียืนเก็บไม้เก็บมืออยู่ด้านหลังเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นายน้อย เรื่องการฝึกตนของเฉินยวนจี มีระเบียบข้อบังคับอะไรหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แค่เจ้านำพานางเริ่มการฝึกฝนก็พอแล้ว จะต้องให้อยู่ในนามของอาจารย์และลูกศิษย์หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเจ้า”

จูเหลี่ยนรีบส่ายหน้า “แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน บ่าวเฒ่าต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นก็ยังพอทำเนา สอนวิชาหมัดให้คนอื่นกลับห่างชั้นจากนายน้อยมากนัก เรื่องของการเป็นอาจารย์ นายน้อยอายุยังน้อย แต่กลับมีมาดของปรมาจารย์ใหญ่แล้ว…”

เฉินยวนจีโอดครวญอยู่ในใจ

น่าเสียดายที่ชายชาตรีวีรบุรุษดุจเทพเซียนผู้เฒ่าจูท่านนี้ต้องตกต่ำกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้

เฉินผิงอันถามเบาๆ “เจิ้งต้าเฟิงมีความเห็นอะไรหรือไม่?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้าอย่างเสียดาย “พี่ใหญ่เจิ้งผู้นั้น ตอนนี้ในใจคิดแต่ว่าควรจะสร้างกระท่อมอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาอย่างไร ทั้งต้องดูสวยงาม ไม่อาจทำให้ภูเขาลั่วพั่วเสียหน้า แล้วยังต้องไม่เปลืองเงิน ให้นายน้อยต้องสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ด้วย พี่ใหญ่เจิ้งไม่มีเวลาแบ่งสมาธิมาสนใจเรื่องนี้ได้จริงๆ”

เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกปวดหัว

ชุยเฉิงเดินออกจากมาชั้นสอง “ให้ฝึกท่าเดินของหมัดเขย่าขุนเขานั่นก่อนสองแสนรอบ แล้วค่อยมาคุยกันถึงเรื่องฝึกวรยุทธ”

เฉินผิงอันเกิดลังเลเล็กน้อย

แต่จูเหลี่ยนกลับรู้สึกว่าใช้ได้ เขาจึงหันไปยิ้มกล่าวกับเฉินยวนจี “เจ้าช่างมีวาสนาใหญ่เทียมฟ้าซะจริง ท่าหมัดนี้คือสุดยอดวิชาที่หาได้ยากยิ่งของโลก ประหนึ่งคนฉลาดล้ำที่แสร้งทำตัวเป็นคงโง่ ซุกซ่อนปณิธานหมัดอย่างไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ แม่หนูเฉิน นับจากวันนี้ไปเจ้าต้องมีจิตใจแน่วแน่ ตั้งใจเดินฝึกไปทีละรอบ”

จูเหลี่ยนหันหน้ากลับมายิ้มแต้มองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกล่าว “ท่าเดินนิ่งหกก้าว ใช่ว่าเจ้าจะสอนไม่ได้เสียหน่อย”

จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างละอายใจ “ท่าเดินนิ่งของบ่าวเฒ่า ต่อให้เดินถูกต้องแค่ไหนก็ไม่สง่างามมีเสน่ห์มากพอ ย่อมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเดินท่าเป็ดให้คนดูไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจส่งผลให้เฉินยวนจีดูแคลนท่าหมัดล้ำโลกท่านี้ หากนายน้อยเป็นคนเดิน ย่อมดุจเมฆคล้อยน้ำไหล กำซาบชื่นมื่น ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์…”

เฉินผิงอันทนฟังคำประจบเอาใจของเจ้าหมอนี่ไม่ไหวจริงๆ จึงยกเอาประโยคที่ชุยเฉิงเอ่ยมาพูดคร่าวๆ เพียงแค่ละเว้นคำกล่าวประเภทที่ว่าขอบเขตร่างทองไป จูเหลี่ยนย่นหน้าอย่างขมขื่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม

จูเหลี่ยนพาเฉินยวนจีกลับไปยังที่พัก

ตลอดทางที่เดินกันมา เฉินยวนจีค้นพบว่าดูเหมือนอารมณ์ของเทพเซียนผู้เฒ่าจะหนักอึ้งอย่างยิ่ง

ตอนนั้นที่อยู่ในจวนเฉิน เทพเซียนผู้เฒ่าพูดจาอย่างจริงใจตรงไปตรงมา บอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่กำลังจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง และยังบอกอีกว่าในอนาคตนางมีหวังจะประสบความสำเร็จเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด

หรือว่าผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ชอบซ่อนตัวอยู่ในเรือนไม้ไผ่คือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตร่างทอง? ไม่อย่างนั้นการที่เขาเอาแต่พร่ำพูดว่าจะต่อยเทพเซียนผู้เฒ่าให้ตายก็หน้าไม่อายเกินไปแล้ว

จูเหลี่ยนสอนท่าเดินนิ่งหกก้าวให้แก่เฉินยวนจีด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ ทำซ้ำอยู่สามรอบ เฉินยวนจีก็พอจะฝึกฝนจนคล้ายคลึงในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว

จูเหลี่ยนเอ่ยเพียงว่านางต้องขยันฝึกเดินนิ่ง รีบฝึกให้ครบสองแสนรอบ จำเป็นต้องเร็วและมั่นคง

นอกจากนี้คือวันหน้าจะคอยฝึกให้เฉินยวนจีดูอีกวันละสามครั้งทุกวัน ให้เฉินยวนจีสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง หลีกเลี่ยงไม่ได้นางเดินทางผิด

เฉินยวนตีเปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวหาญ รับปากจูเหลี่ยนเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แอบอู้เด็ดขาด

จูเหลี่ยนเดินสองมือไพล่หลังออกมาจากเรือน

อันที่จริงการทดสอบแรกของเฉินยวนจีได้เปิดฉากขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้ว

เพียงแต่ว่าเด็กสาวไม่รู้ตัวก็เท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!