บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ สองหมัดวางไว้บนหัวเข่า หอบหายใจดังฮักๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและยังหยดลงบนพื้นเสียงดังติ๋งๆ
โชคดีที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด เดิมทีมันก็เป็นเหมือนยันต์กำจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่านี่จะส่งผลกระทบต่อ ‘ความบริสุทธิ์สง่างาม’ ของเรือนไม้ไผ่
แต่ได้ยินมาว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมักจะหิ้วถังน้ำใบน้อยมาเช็ดถูพื้นที่ชั้นสองของเรือนเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้นานวันเข้านางจึงกลายมาเป็น ‘คนนอก’ เพียงคนเดียวที่สามารถเข้ามาในเรือนชั้นสองได้
การป้อนหมัดสิ้นสุดลง ส่วนการสอนหมัดและการประมือแลกเปลี่ยนความรู้นั้น ความจริงเป็นเช่นไร มองดูสภาพอเนจอนาถน่าสังเวชของเฉินผิงอันแล้ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่สีหน้าท่าทางผ่อนคลายเป็นผู้ที่รู้ชัดเจนดีที่สุด
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกประหลาดใจนิดๆ นี่ไม่เหมือนกับการที่ผู้เฒ่าต่อยกระดูกยืดเส้นเอ็นในอดีตที่เฉินผิงอันได้แต่ทนรับอย่างเดียวเท่านั้น การป้อนหมัดครั้งนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่มากกว่าคือการฝึกฝนเคล็ดวิชาและทักษะ นอกเหนือจากนั้นก็คือช่วยให้เขาสร้างความมั่นคงให้แก่ปณิธานหมัดที่ ‘เบื้องหน้าไร้ผู้คน’ บางครั้งที่ผู้เฒ่าอารมณ์ดีก็จะท่องสัจธรรมแห่งหมัดที่มีท่วงทำนองน่าสนใจออกมาสองสามประโยค ส่วนเฉินผิงอันทีบางครั้งก็ถูกเขาต่อยจนล้มคว่ำจะได้ยินหรือไม่ หรือแบ่งสมาธิมาฟังแล้ว จะมีปัญญาจดจำไว้ในใจได้หรือไม่ ผู้เฒ่ากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันในตอนนี้อดไม่ไหวถามว่า “ทำไมถึงไม่จำเป็นต้องหล่อหลอมเนื้อหนังมังสาและสามจิตหกวิญญาณแล้ว?”
ชุยเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “สอนเด็กให้ถือตะเกียบคีบกับข้าว นั่นก็เป็นช่วงที่เจ้าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ตอนนี้ยังต้องให้สอนอีกรอบ? เป็นเจ้าที่โง่เขลาเบาปัญญา หรือเป็นข้าที่ตาบอด เลือกคนโง่มาสั่งสอน?”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตามหลักแล้วคนที่ฝึกวรยุทธล้วนจำเป็นต้องใช้สองคำว่า ‘หล่อหลอม’ ในทุกๆ ขอบเขต ไม่ค่อยเหมือนกับคำว่าอาจารย์นำพาเข้าสำนัก การฝึกฝนอยู่ที่ตัวคนของผู้ฝึกลมปราณที่ได้วิชาลับตระกูลเซียนไปเท่าใดนัก
ดูเหมือนชุยเฉิงจะไม่ยินดีพูดหัวข้อนี้ต่อ เขาถามว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเจ้ามักจะให้จูเหลี่ยนใช้ขอบเขตร่างทองจับคู่เข่นฆ่าต่อสู้กับเจ้าบ่อยๆ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รับมือได้ยากลำบากอย่างยิ่ง”
ชุยเฉิงส่ายหน้า “แรงไฟต่างกันเกินไป จูเหลี่ยนไม่กล้าฆ่าเจ้า แล้วเจ้าก็รู้ดีว่าจูเหลี่ยนไม่มีทางฆ่าเจ้า ก็เหมือนคู่รักชายหญิงหยอกล้อกันที่เจ้าเกาข้า ข้าลูบเจ้ากลับเท่านั้น จะเป็นประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธที่แท้จริงได้อย่างไร”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ชุยเฉิงเอ่ย “นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เรียกจูเหลี่ยนมาที่ชั้นสอง ข้าจะจับตาดูการป้อนหมัดของพวกเจ้าเอง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกังขา “ก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ชุยเฉิงแค่นเสียงเย็นชา “เหมือนกัน? หากจูเหลี่ยนกล้าไม่เกิดใจสังหารเจ้า ไม่กล้าฆ่าเจ้า ข้าก็จะต่อยให้เขาตายด้วยหมัดเดียว เจ้าคิดว่าจะเหมือนกันได้หรือ? จำไว้ว่า บอกกับจูเหลี่ยนให้ชัดเจนว่าอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ถึงเวลานั้นข้าไม่อยากจะพูดซ้ำประโยคเดิมอีกรอบกับศพศพหนึ่ง”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ผู้อาวุโสเห็นจูเหลี่ยนอยู่ในสายตาด้วยหรือ?”
ชุยเฉิงกระตุกมุมปาก “ยามใดที่สามารถต่อยให้ความเฉลียวฉลาดและกลิ่นอายสูงศักดิ์บนร่างของเจ้าหมอนี่หมดไปได้ ต่อยจนไม่เหลือไว้สักหยด เขาถึงจะพอเข้าตาข้าได้บ้าง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าประลองฝีมือกับจูเหลี่ยนที่จงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตร่างทอง ก็ไม่เคยทำให้เขาบาดเจ็บได้เลยสักครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนมีพลังเหลือเฟือ แค่ฟังคำประจบสอพลอยามเขาป้อนหมัดเสร็จก็รู้ได้แล้ว”
ชุยเฉิงหัวเราะหึหึ “เจ้าทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ใจ
คนที่ไม่กลัวความยากลำบากใต้หล้านี้มีถมเถไป ทว่าเรื่องดีๆ อย่างการทนความยากลำบากแล้วจะต้องได้รับการตอบแทน กลับมีไม่มาก
ถึงแม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าเหตุใดจูเหลี่ยนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วมาสามปี แต่กลับไม่เคยเรียนวิชาหมัดกับผู้เฒ่า แต่ขอแค่ผู้เฒ่าเป็นคนเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ สำหรับจูเหลี่ยนที่คอขวดทั้งสองไม่ว่าจะกระบวนท่าหมัดหรือขอบเขตวิถีวรยุทธก็ล้วนยากจะฝ่าไปได้แล้ว นี่ก็คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เฉินผิงอันก็ต้องปรึกษากับคนต้นเรื่องทุกครั้ง ไม่เคยยืนกรานดึงดันให้อีกฝ่ายต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ สุยโย่วเปียนจะไปสำนักกุยหยกหรือไม่ สือโหรวยินดีรับคราบร่างเซียนหรือไม่ ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องที่จะให้จูเหลี่ยนขึ้นชั้นสองมาฝึกวรยุทธ หากจูเหลี่ยนไม่เต็มใจโดยไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด เฉินผิงอันก็จะต้องโน้มน้าวให้อีกฝ่ายมาฝึกฝนให้จนได้
ชุยเฉิงพลันเอ่ยว่า “เห็นความดีของคนข้างกาย แน่นอนว่าย่อมไม่เลว แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า การฝึกยุทธเดินขึ้นสู่จุดสูงสุด ออกหมัดไร้ศัตรู ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่…เดียวดายอย่างมาก สองอย่างนี้เจ้าล้วนต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าเคยดูคนเล่นหมากล้อมแล้วบรรลุเวทกระบี่ที่เหมือนการวางแผนรบบนกระดาษมาก่อน นั่นก็คือการขีดเส้นแบ่งและกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจน ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็อาศัยสิ่งนี้เดินผ่านด่านยากๆ มามากมาย…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดความในใจจบ ผู้เฒ่าก็จุ๊ปากเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นมือกระบี่ซึ่งสะพายกระบี่เซียนไว้ด้านหลัง ความสามารถในการเรียนหมัดธรรมดา แต่กลับฝึกกระบี่ได้อย่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำขนาดนี้…ดูท่าคงเป็นข้าที่ถ่วงรั้งการเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ของเจ้า แบบนี้จะทำอย่างไรดีเล่า?”
เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดี จึงเตรียมจะเอามือตบพื้นให้ตัวเองถอยกรูดออกไปด้านหลังในท่านั่ง จะได้หลบการออกหมัดระบายโทสะที่ไร้เหตุผลของผู้เฒ่าได้พ้น ส่วนเรื่องจะลุกขึ้นยืนแล้วค่อยหลบนั้น ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย
แล้วก็จริงดังคาด
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง
ผู้เฒ่ากระทืบเท้าทีเดียว เรือนไม้ไผ่ก็โยกไหวสั่นคลอนตามไป เฉินผิงอันที่ร่างเพิ่งจะถอยหลังไปได้ไม่กี่ส่วนกลับเด้งขึ้นกลางอากาศทั้งตัว เรือนกายสูงใหญ่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที หากเป็นแค่กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบก็แล้วไปเถิด ถูกต่อยหมัดเดียวให้สลบ ความเจ็บปวดก็แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่คิดจะปล่อยผ่านเฉินผิงอันไปทั้งอย่างนี้ เขาจึงใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดีที่สุด แล้วก็ชอบนำมาใช้รับมือกับศัตรูมากที่สุดปล่อยหมัดใส่เขาสิบสี่หมัดเต็มๆ ร่างของเฉินผิงอันเหมือนปุยดอกหลิวที่ลอยล่องกลางอากาศ ปลิวไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่ร่วงลงพื้นสักที
และขณะที่ร่างของเฉินผิงอันผู้น่าสงสารร่วงลงสู่พื้นก็คือช่วงเวลาที่เขาหมดสติไปนั่นเอง
รสชาติที่ถูกกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยสิบกว่าหมัดติดต่อกัน โดยเฉพาะหมัดนี้ยังปล่อยมาจากชุยเฉิงผู้เป็นบรรพบุรุษของท่าหมัดนี้อีกต่างหาก นั่นก็ทำให้คนแทบเป็นแทบตายได้จริงๆ
ต่อให้เฉินผิงอันจะสลบแบบสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ร่างของเขากลับยังกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น
ผู้เฒ่ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง ราวกับว่าค่อนข้างจะพึงพอใจ นี่หมายความว่าปณิธานหมัดของเจ้าเด็กนี่ ‘มีชีวิต’ อย่างแท้จริงแล้ว
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่แท้จริง ยามที่นอนหลับฝันหวาน ต่อให้เจอกับสุดยอดนักฆ่า ขอแค่สัมผัสได้ถึงปราณสังหารเพียงเสี้ยวเดียวก็ยังสามารถชักนำปณิธานหมัด ลุกขึ้นมาออกหมัดต่อยให้อีกฝ่ายตายได้ในเสี้ยววินาที ก็คือหลักการเดียวกันนี้
แต่กระนั้นผู้เฒ่าก็ยังไม่ปล่อยเฉินผิงอันไป เขาใช้ปลายเท้าเตะไปยังปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมังกรเพลิงในร่างกายของเฉินผิงอัน เท้าของเขาเตะจนมันขาดท่อนได้อย่างแม่นยำ
ประหนึ่งม้าเหล็กตัวหนึ่งที่พุ่งทะลวงเจาะขบวนรบ ทำให้ขบวนทหารราบของศัตรูบนสนามรบถูกทะลวงเป็นรูโหว่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!