เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็เพราะว่าได้เห็นโลกกว้างมามาก ถึงได้รู้ว่าฟ้าดินด้านนอกมียอดฝีมืออยู่มากมาย ภูเขาลูกหนึ่งมักจะมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ หาใช่ข้าดูแคลนตัวเองไม่ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ไม่ควรประมาทหลงทระนงตน คิดว่าตัวเองฝึกหมัดฝึกกระบี่อย่างตั้งใจแล้วก็จะสามารถเอาชนะในทุกศึกได้ คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่กำลังหมดลงเสมอ…”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยันด้วยสีหน้าดูแคลน “โง่เง่ายิ่งนัก!”
เฉินผิงอันขอร้องอย่างจริงใจ “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอธิบายด้วย”
ผู้เฒ่าพลันลุกพรวดขึ้นยืน ในใจเฉินผิงอันสัมผัสได้ แต่มือเท้ากลับยังคงเชื่องช้า เหมือนการขึ้นรูปเครื่องปั้นในปีนั้นที่พอมือกับใจไม่ไปพร้อมกัน ก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นบ่อยๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เพราะเฉินผิงอัน ‘ช้า’ เกินไป แต่เป็นเพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่งเร็วเกินไปต่างหาก
เฉินผิงอันจึงได้แต่ยกสองแขนขึ้นสกัดกั้นอยู่เบื้องหน้าตนเอง แต่กระนั้นก็ยังถูกชุยเฉิงตีเข่าเข้าที่หน้าผาก ร่างทั้งร่างกระเด็นหวือขึ้นสูงไปกระแทกกับกำแพง พอร่วงลงมาก็ถูกผู้เฒ่าเตะเข้าที่หน้าท้อง ร่างกระเด้งขึ้นไปกระแทกฟ้าเพดาน ก่อนจะร่วงลงมาอย่างแรง สุดท้ายถูกเท้าหนึ่งของผู้เฒ่ากระทืบเข้าที่หน้าผาก ร่างของเฉินผิงอันกลิ้งไถลออกไปในชั่วพริบตา กระแทกเข้ากับมุมกำแพง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย
ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นซะจริงๆ
ใช้เข่าลอบโจมตี คือวิธีการที่เฉินผิงอันใช้ก่อนหน้านี้
ชุยเฉิงยกสองมือกอดอก ยืนอยู่กลางห้อง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้อยคำที่ล้ำค่าดุจทองคำดุจหยกของข้า หากเจ้าไม่จ่ายค่าตอบแทนเสียเลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า แล้วจะจำไม่ได้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ถ่มเลือดทิ้งหนึ่งคำ
ชุยเฉิงถาม “ต่อให้จะมีตัวแปรที่มองไม่เห็นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่การที่เผยเฉียนเกียจคร้านไม่ยอมฝึกยุทธก็จะหลบพ้นไปได้อย่างนั้นหรือ? มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะงัดข้อกับสวรรค์ได้! เจ้าอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมานานขนาดนั้น บอกว่าตัวเองได้ดูแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีไหลผ่านไปรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วได้เรียนรู้หลักการเหตุผลกะผายลมสุนัขอะไรมาบ้าง? แค่นี้ก็ไม่เข้าใจงั้นรึ?!”
เฉินผิงอันไม่ต้องใช้สายตาไปจับจ้องเรือนกายของผู้เฒ่าแม้แต่น้อย พริบตานั้นจิตวิญญาณของเขาก็จมจ่อม ดิ่งลงสู่ขอบเขตลี้ลับมหัศจรรย์ที่ ‘เบื้องหน้าไร้คน สนใจแค่ตัวเอง’ กระทืบเท้ากับพื้นหนักๆ ปล่อยหมัดส่งออกไปยังจุดที่ไร้คน
ทว่าหมัดนี้กลับถูกชุยเฉิงปัดทิ้งอย่างง่ายดาย หน้าอกเหมือนถูกค้อนทุบลงมาอย่างแรง หลังของเฉินผิงอันแนบติดกับผนัง ใช้ข้อศอกยันเอาไว้ บวกกับท่าหมัดที่หละหลวมพลันระเบิดพลังจึงเหมือนสายคันธนูที่ถูกง้าวจนสุดแล้วปล่อยผลึงออกไป ใช้เรือนกายที่มีความเร็วยิ่งกว่าการถอยร่นเมื่อครู่นี้พุ่งเข้าหาผู้เฒ่า คิดไม่ถึงว่าตนจะเหมือนชนเข้ากับปากกระบอกปืน ถูกผู้เฒ่าใช้แขนเหวี่ยงเข้าที่ลำคอ เฉินผิงอันจึงล้มกระแทกลงกับพื้น แรงมหาศาลนั้นทำให้ร่างของเฉินผิงอันกระเด้งกระดอนอยู่หลายที จนกระทั่งถูกผู้เฒ่าเหยียบเข้าที่หน้าผาก
ผู้เฒ่าก้มหน้าลงมองเฉินผิงอันที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด “น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่กำลังน้อยเกินไป ออกหมัดช้าเกินไป ปณิธานตื้นเขินเกินไป มีปัญหาไปเสียทุกจุด ทุกหมัดล้วนมีช่องโหว่ ยังกล้าจะปะทะกับข้าซึ่งๆ หน้าอีกงั้นหรือ? สตรีควงทวนยาว ช่างไม่กลัวว่าจะทำให้เอวตัวเองหักจริงๆ!”
เฉินผิงอันใช้สองมือตบพื้น พลิกตัวหมุนกลับ สองขาชี้ฟ้า ไถลหัวออกจากใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่า ใช้มือยันพื้น หมุนตัวว่องไวหลบเท้าที่ฟาดมาอย่างสบายๆ ของผู้เฒ่าได้อย่างหวุดหวิด
คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าแค่ยกชายแขนเสื้อขึ้นเบาๆ พายุหมัดลูกหนึ่งก็ ‘พัด’ ใส่ร่างของเฉินผิงอันที่ตั้งรับศัตรูด้วยท่าฟ้าดิน จึงเป็นเหมือนลูกหิมะที่กลิ้งอยู่กลางอากาศ ลอยหวือไปกระแทกลงบนหน้าต่างที่อยู่ทางทิศเหนือของเรือนไม้ไผ่
ผู้เฒ่าไม่ได้ไล่ตามมาโจมตีต่อ เขาถามเหมือนชวนคุยว่า “เรื่องการเลือกห้าขุนเขาใหม่ของต้าหลี ได้เล่าให้เว่ยป้อฟังหรือยัง?”
เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน แล้วจึงส่ายหน้า “อยากจะเล่าอยู่เหมือนกัน เพียงแต่หลังจากพิจารณาแล้วก็คิดว่าช่างเถิด เรื่องสำคัญที่เป็นความลับระดับต้นๆ ของต้าหลีเช่นนี้ ข้าไม่กล้าเอาไปแพร่งพรายตามใจชอบ เป็นสหายกับเว่ยป้อก็จริง แต่ก็ไม่ควรขายลูกศิษย์ตัวเองเพื่อแลกกับน้ำใจให้ผู้อื่น แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เว่ยป้อเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่เรียกลม ลูกธนูที่พุ่งมาจากมุมมืดยากจะป้องกัน ระวังตัวไว้ก่อนย่อมเป็นการดี”
ชุยเฉิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้ากล่าวว่า “เรื่องของครอบครัวตัวเอง ในเรื่องที่ต้องคิดว่าทำได้หรือไม่ได้ ก็สามารถลองทำดูได้ พูดถึงสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิด ตอนที่สมควรพูดหรือไม่สมควรพูด ทางที่ดีที่สุดก็อย่าพูดจะดีกว่า”
เฉินผิงอันจดจำสองประโยคนี้ของผู้เฒ่าไว้ในใจเงียบๆ บ้านใดมีคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า ทองพันชั่งก็ไม่อาจแลกหามาได้
จู่ๆ ชุยเฉิงก็ตวาดกร้าว “เวลาประลองหมัดก็ยังกล้าวอกแวกอย่างนั้นหรือ?!”
มองดูเหมือนเฉินผิงอันใจลอย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังนำวิชาลับปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาปรับใช้กับการผลัดเปลี่ยนปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ จนดึงเอาปราณที่แท้จริงออกมาได้ถึงครึ่งคำ หลังจากเจอหนึ่งหมัดของผู้เฒ่า เขาจึงสามารถข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานทั่วทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ จากนั้นก็กัดฟันแน่น ปล่อยหมัดออกไป ก่อนที่จะเปลี่ยนหมัดเป็นสองนิ้ว ขาดอีกแค่ชุ่นเดียวก็สามารถจิ้มเข้าที่หว่างคิ้วของผู้เฒ่าได้แล้ว
ผู้เฒ่ายื่นมือมากำนิ้วทั้งสองของเฉินผิงอัน สะบัดมือทิ้งก่อนยกขาถีบ ร่างของเฉินผิงอันถึงกับลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาก็ขยับออกไปสองสามก้าว เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ แล้วตั้งท่าตุ้นหม่าปู้ (ท่าที่กางขาสองข้างออกกว้างแล้วย่อเข่าลงหรือท่าสควอช) จากนั้นจึงเอียงไหล่กระแทกใส่เฉินผิงอันที่กำลังร่วงลงสู่พื้น เสียงปังดังสนั่น เฉินผิงอันมีเรื่องกับผนังเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่นอนพังพาบพิงผนัง ลุกขึ้นไม่ไหวจริงๆ แล้ว ลมปราณแท้จริงครึ่งเฮือกนั้น เดิมทีก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อนำมาใช้กับผู้เฒ่าก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องเสียหายแปดร้อย
ผู้เฒ่านวดคลึงปลายคาง ยิ้มกล่าวว่า “พูดกันตามตรง เจ้าในตอนนี้ก็ไม่ถือว่าไม่มีอะไรเลย ปีนั้นตอนที่สร้างพื้นฐานขอบเขตสาม การออกหมัดของเจ้าได้แต่ใช้สองคำว่าทึ่มทื่อมาบรรยาย ไม่ได้มีสมองเหมือนอย่างในตอนนี้ ดูท่าเจอหมัดบ่อยเข้า สมองก็เลยเปลี่ยนมาแล่นเร็วขึ้นด้วย”
เฉินผิงอันเช็ดหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บนฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดสด เมื่อเทียบกับความทรมานที่ต้องเจ็บปวดร้าวระบมทั้งร่างกายและจิตวิญญาณในอดีตแล้ว อาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้แค่ทำให้เขาคันๆ เท่านั้น แม่งก็แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจริงๆ
เฉินผิงอันพิงผนัง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เอาอีก”
ผู้เฒ่ายิ้มถาม “จะถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย เจ้ากลัวตายขนาดนี้ เป็นเพราะมีเงินแล้วจึงเสียดายชีวิต ไม่อยากตาย หรือเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะตายไม่ได้?”
เฉินผิงอันฉวยโอกาสนี้รีบเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์โดยไว ย้อนถามว่า “แตกต่างกันหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!