เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยว่า “หลังจากเผยเฉียนกลับมาแล้ว บอกนางว่าข้าให้นางไปดูร้านที่ตรอกฉีหลงกับเจ้า แล้วก็ช่วยเตือนนางแทนข้าสักคำว่า ไม่อนุญาตให้นางจูงฉวีหวงไปที่เมืองเล็ก ด้วยนิสัยขี้หลงขี้ลืมของนาง ลงได้เล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งแล้วไม่ว่าอะไรก็จำไม่ได้ ส่วนเรื่องคัดตัวอักษร เจ้าก็ช่วยจับตามองนางสักหน่อย นอกจากนี้ก็คือหากเผยเฉียนอยากจะไปเรียนที่โรงเรียน โรงเรียนที่สกุลเฉินหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้งน่ะ หากเผยเฉียนยินดี เจ้าก็บอกให้จูเหลี่ยนไปทักทายที่ว่าการอำเภอสักคำ ดูว่าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอะไรหรือไม่ หากไม่ต้องทำอะไรเลยก็ย่อมดีที่สุด”
สือโหรวตอบรับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “คุณชาย ขอข้าอยู่บนภูเขาได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนนอกจริงๆ ก็ย่อมได้ แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าควรจะรีบปรับตัวให้เข้ากับฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้ในเร็ววัน ไปเดินเล่นแถวศาลบุ๋นศาลบู๊บ่อยๆ ห่างไปไกลกว่านั้นยังมีศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู อันที่จริงเจ้าก็แวะไปดูได้ ไปให้พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตา ถึงอย่างไรก็ย่อมดีกว่า รากฐานความเป็นมาของเจ้าเป็นดั่งกระดาษที่ห่อไฟไม่อยู่ ต่อให้เว่ยป้อไม่พูด แต่คนมีความสามารถของต้าหลีก็มีมากมาย ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคนมีใจมองออก ไม่สู้เจ้าเป็นฝ่ายปราฎตัวเองยังดีกว่า แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความเห็นของข้า สุดท้ายแล้วเจ้าจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่บังคับ”
สือโหรวเริ่มยิ้มออก พยักหน้ารับกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็จะลองทำดู”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “วันหน้าหากอยู่ต่อหน้าคนนอกอย่าเรียกตัวเองว่าบ่าว (คำว่าบ่าวของภาษาจีนในที่นี้คือคำว่า ‘หนูปี้’ ซึ่งเป็นคำที่บ่าวหญิงใช้เรียกตัวเอง) อีกล่ะ สายตาเวลาที่คนอื่นมองเจ้ากับข้ามักไม่ปกติ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าเรื่องแรกที่ทำให้ภูเขาลั่วพั่วมีชื่อเสียงอาจกลายเป็นเรื่องที่คนเล่าลือกันว่าข้ามีความชอบประหลาดก็เป็นได้ เขตการปกครองหลงเฉวียนจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ สถานที่เพียงแค่นี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของพวกเราสองคนก็เสียหายแน่ จะให้ข้าไปไล่อธิบายให้คนบนภูเขาแต่ละลูกฟังก็คงไม่ใช่เรื่อง”
สือโหรวกลั้นยิ้ม “คุณชายละเอียดรอบคอบ ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ่งระอาใจมากกว่าเดิม เขารีบโบกมือเป็นพัลวัน “บนภูเขาลั่วพั่วไม่ขาดคำประจบของเจ้าหรอก”
สือโหรวยกมือปิดปากหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ แล้วย้อนกลับไปที่เรือนไม้ไผ่
เนื่องจากเรือนแต่ละหลังห่างกันไม่ไกล เด็กสาวที่มองดูเหมือนกำลังเดินเล่น แต่แท้จริงแล้วคอยแอบลอบมองเหตุการณ์ตรงจุดนี้ตลอดเวลา เวลานี้ขนลุกชันไปทั้งตัวแล้ว เฉินยวนจีค่อยๆ ย่องหนีออกไป ด้วยรู้สึกว่าตนไปเห็นไปได้ยินความจริงบางอย่างที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง หลังจากปิดประตูลงเรียบร้อยแล้ว เฉินยวนจีก็ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ พึมพำว่า “อย่ากลัวๆ แบบนี้กลับจะยิ่งดี เขาจะได้ไม่คิดชั่วร้ายกับเจ้าอีก”
เด็กสาวเศร้ารันทดอยู่ในใจ เดิมทีนึกว่าย้ายหนีจากเมืองหลวงอันเป็นบ้านเกิดมาแล้วก็ไม่ต้องเจอกับบุรุษมีอำนาจที่น่ากลัวพวกนั้นอีก คิดไม่ถึงว่าจวนตระกูลเซียนที่ตอนเด็กตนเคยวาดฝันจินตนาการไว้อย่างงดงาม สุดท้ายกลับต้องมาเจอกับเจ้าภูเขาที่อายุยังน้อย แต่กลับมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เทพเซียนผู้เฒ่าจูก็ไม่ค่อยชอบพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเจ้าภูเขาหนุ่มคนนี้เท่าใดนัก ปล่อยให้นางคาดเดาเอาเอง แต่ละคำที่เอ่ยถึงล้วนเป็นคำพูดดีๆ ที่เหมือนมีเมฆหมอกบดบัง นางหรือจะกล้าเห็นเป็นจริงเป็นจัง ส่วนเด็กตัวดำเป็นถ่านที่ชื่อว่าเผยเฉียนผู้นั้นก็ไปมารวดเร็วราวกับสายลม เฉินยวนจีคิดจะพูดกับนางสักประโยคยังเป็นเรื่องยาก
ในเรือนชั้นสอง
เมื่อเฉินผิงอันยืนนิ่งแล้ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าก็ลืมตา ลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงหนักว่า “ก่อนจะฝึกหมัด ขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าผู้อาวุโสชื่อว่าชุยเฉิง เคยเป็นอดีตเจ้าประมุขสกุลชุย”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าบอกชื่อแซ่ของตัวเอง
ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “วิญญูชนชุยหมิงหวง คนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้รับผิดชอบมาทวงหนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูแทนสำนักศึกษากวานหู ตามทำเนียบวงศ์ตระกูลแล้ว เจ้าเด็กนี่ควรจะเรียกชุยฉานว่าท่านอาจารย์ลุง สายของเขาเคยเป็นสายรองของสกุลชุย ตอนนี้กลับกลายมาเป็นทายาทสายหลักแล้ว ส่วนสายของข้า ถูกคนมุทะลุวู่วามอย่างข้าทำให้เดือดร้อน จนถูกตัดชื่อออกจากสกุลชุย ลูกหลานทุกคนที่อยู่ในสายถูกลบชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูล มีชีวิตอยู่ไม่ร่วมศาลบรรพชน ตายไปไม่ร่วมสุสาน ความเจ็บปวดแห่งวงศ์ตระกูลก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ การที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ เพราะข้าเคยสติไม่สมประดี ซัดเซพเนจรอยู่ในยุทธภพและหมู่ชาวบ้านร้านตลาดมาร้อยกว่าปี บัญชีนี้ หากจะคิดกันจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ใช้วิธีการของผู้ฝึกยุทธก็ง่ายดายยิ่ง ไปที่ศาลบรรพชนสกุลชุยก็เป็นแค่เรื่องของหมัดสองหมัดเท่านั้น แต่หากข้าชุยเฉิงกับหลานชายที่ไม่ว่าจะเป็นชุยฉานก็ดี ชุยตงซานก็ช่าง ขอแค่พวกข้ายังคิดว่าตัวเองคือบัณฑิต กลับยากที่จะทำเช่นนั้นแล้ว เพราะหากอิงตามกฎของตระกูล อีกฝ่ายจะไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวของพื้นที่มงคลดอกบัว ในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงไล่ เคยมีขุนนางชั้นสูงที่กุมอำนาจใหญ่หลายคนที่เนื่องจากมีชาติกำเนิดมาจากสายรอง เป็นทายาทของอนุภรรยา จึงเกิดความขัดแย้งกับตระกูลของตัวเองที่อยู่ในท้องถิ่นด้วยเรื่องของที่ตั้งป้ายวิญญาณและทำเนียบวงศ์ตระกูลของมารดาแท้ๆ ของตัวเอง คิดอยากจะปรึกษากับพี่ชายที่เป็นเจ้าประมุขซึ่งไม่มีตำแหน่งขุนนางติดตัว จึงเขียนจดหมายหลายฉบับกลับบ้านเกิด ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงความจริงใจ แรกเริ่มพี่ชายก็ไม่ให้ความสนใจ ภายหลังคงเป็นเพราะทำให้น้องชายที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงโมโหเข้าแล้ว ในที่สุดก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งกลับมา คัดค้านข้อเสนอแนะของใต้เท้าใหญ่หัวหน้าขุนนางผู้นั้นโดยตรง คำพูดที่เอ่ยในจดหมายไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย ในนั้นมีประโยคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ‘เรื่องราวทั้งหลายในใต้หล้า เจ้าอยากจะควบคุมจัดการอย่างไรก็ทำไป แต่เรื่องในตระกูล เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะเข้ามายุ่ง’ จนกระทั่งขุนนางชั้นสูงผู้นั้นตายไปก็ยังไม่ได้สมใจปรารถนา และตอนนั้นตลอดทั้งวงการขุนนางและปัญญาชนต่างก็ให้การยอมรับ ‘กฎเล็กๆ’ ข้อนี้
ถ้าเช่นนั้นเหตุใดชุยเฉิงถึงไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ตระกูลแล้วปล่อยหมัดใส่พวกมดตัวน้อยตัวนิดในศาลบรรพชนเหล่านั้น เหตุใดใต้เท้าหัวหน้าสภาขุนนางแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวถึงได้ไม่เอาอำนาจส่วนรวมมาใช้ในเรื่องส่วนตัว เขียนรายงานออกกฎเป็นการข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า?
ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ แต่เหตุใดถึงไม่ทำลายกฎเกณฑ์ที่มองดูเหมือนเปราะบางนี้ให้พังลง?
เฉินผิงอันทำท่าครุ่นคิด
นี่ก็คงจะเป็นหนึ่งในเส้นสายอันเป็นรากฐานที่ทำให้ทั้งชุยเฉิงสามารถมีขอบเขตไร้ผู้ใดอยู่เบื้องหน้าได้อย่างทุกวันนี้ และหัวหน้าสภาขุนนางผู้นั้นก็สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงของราชสำนักได้
หากเฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะก่อพรรคตั้งสำนักขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่วจริงๆ เมื่อไหร่ จะบอกว่าซับซ้อนก็ซับซ้อนเกินจะกล่าว จะบอกว่าง่ายดายก็ค่อนข้างจะง่ายดาย นี่ก็หนีไม่พ้นการลงมือปฏิบัติจริง ดั่งนกนางแอ่นที่คาบดินโคลนมาทำรัง สะสมทีละน้อยไปจนมาก และตามทฤษฎีหลักการเหตุผลแล้ว ช้าแต่ไร้ความผิดพลาดก็จะยิ่งยืนหยัดได้มั่นคง เดินก้าวขึ้นบนได้อย่างมั่นใจ
ล้วนจำเป็นต้องให้เฉินผิงอันคิดให้มาก เรียนรู้ให้มาก ทำให้มาก
ชุยเฉิงพลันเอ่ยว่า “เจ้าเด็กชุยหมิงหวงผู้นี้ไม่ธรรมดา เจ้าอย่าได้ดูแคลนเขาเด็ดขาด”
เฉินผิงอันไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
เขาจะมีคุณสมบัติอะไรไป ‘ดูแคลน’ วิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษากันเล่า?
ความร้ายกาจของโจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหูผู้นั้น เฉินผิงอันเคยสัมผัสกับตัวเองมาแล้วที่หมู่บ้านภูเขาแคว้นซูสุ่ย
ส่วนจงขุยแห่งใบถงทวีป ในอดีตก็เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาเช่นกัน
ชุยหมิงหวงถูกขนานนามว่า ‘เสี่ยวจวินแห่งกวานหู’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!