กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 468

สรุปบท บทที่ 468.2 เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 468.2 เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 468.2 เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ก่อนจะไปส่งจดหมายที่ภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินผิงอันชำเลืองตามองหีบไม้ไผ่ที่อยู่ตรงมุมห้องแวบหนึ่ง ด้านในนั้นยังเก็บเตาอุ่นมือใบหนึ่งที่นำกลับมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน

ต่อมากวนอี้หรานก็ส่งจดหมายตอบกลับมา ลูกหลานสกุลกวนที่มีชาติกำเนิดในตระกูลเศรษฐีระดับชั้นสูงสุดของต้าหลีผู้นี้เขียนมาในจดหมายด้วยถ้อยคำที่แฝงรอยยิ้ม บอกว่าตอนที่ต่งสุ่ยจิ่งจากเขตการปกครองผู้นั้นมาที่นครน้ำบ่อ นอกจากจะต้องนำเหล้าข้าวหมักที่เป็นสูตรเฉพาะของเขาต่งสุ่ยจิ่งเองซึ่งถูกนำไปขายไกลถึงเมืองหลวงต้าหลีมาด้วยแล้ว ยังต้องเอาสุราดีๆ ของเจ้าเฉินผิงอันมากาหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เปิดประตูต้อนรับแขก

เฉินผิงอันได้รับจดหมายฉบับนี้แล้วก็ไปหาต่งสุ่ยจิ่งที่ภูเขาเฟิงเหลียงมารอบหนึ่ง เขากินเกี๊ยวน้ำถ้วยใหญ่พลางพูดคุยถึงเรื่องนี้ อะไรที่ควรพูด ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็ล้วนอิงตามถ้อยคำที่ตัวเองร่างไว้คร่าวๆ ในหัว พูดให้ต่งสุ่ยจิ่งฟังอย่างชัดเจน ต่งสุ่ยจิ่งตั้งใจฟังอย่างยิ่ง ไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว ตอนที่ฟังถึงจุดที่เขาคิดว่าสำคัญยังย้ำทวนกับเฉินผิงอันเพื่อยืนยันให้แน่ใจอีกรอบ นี่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันวางใจได้มากกว่าเดิม จึงคิดว่าควรจะทักทายไปทางตระกูลฟ่าน ตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าสักหน่อยดีหรือไม่ อันที่จริงก็ล้วนสามารถพูดถึงต่งสุ่ยจิ่งกับพวกเขาได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องดูที่ความสามารถของต่งสุ่ยจิ่งเอง แต่ว่าหลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็ยังคิดว่ารอให้ต่งสุ่ยจิ่งได้พบหน้ากวนอี้หรานเสียก่อนค่อยว่ากัน เรื่องร้ายไม่กลัวเกิดขึ้นเร็ว เรื่องดีไม่กลัวเกิดขึ้นช้า

หลังออกมาจากภูเขาเฟิงเหลียง เฉินผิงอันก็กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วก็ได้เจอกับเฉินยวนจีที่ฝึกเดินนิ่งเลียบมาตามเส้นทางภูเขาไกลๆ พอดี

เฉินผิงอันไม่ได้ทักทายนาง ด้วยกลัวว่าหากยกมือหรือส่งเสียงจะทำให้แม่นางผู้นี้คิดมากอีก

คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เฉินผิงอันจงใจเลือกเส้นทางอีกเส้นหนึ่งเพื่อกลับขึ้นเขานั้น เฉินยวนจีที่มองดูเหมือนตาจ้องตรงไปเพียงเบื้องหน้า ทว่าหางตากลับแอบคอยชำเลืองมองเจ้าขุนเขาหนุ่มก็แอบโล่งใจจริงๆ เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ปณิธานหมัดบนร่างที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นก็ขาดสะบั้นไปด้วย

เฉินผิงอันหยุดเดินอย่างอดไม่ได้ หันไปพูดกับนางเบาๆ ว่า “แม่นางเฉิน เรื่องของการฝึกหมัดเลี้ยงปณิธานหมัดนั้น มีข้อต้องห้ามสูงสุดคือห้ามทำให้เส้นสายของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งปรากฎอยู่ภายนอกขาดสะบั้น…”

เฉินยวนจียื่นมือข้างหนึ่งมาวางไว้ด้านหลัง พยายามจะบดบังเรือนกายอรชรของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด แต่คงนึกขึ้นได้ว่าทำท่าทางเช่นนี้ออกจะชัดเจนเกินไป กังวลว่าจะทำให้เจ้าขุนเขาหนุ่มที่ควบคุมสายตาตัวเองไม่ได้ผู้นี้โมโห นางจึงเบี่ยงตัวหันข้างมาช้าๆ เม้มริมฝีปาก ทั้งไม่พูดอะไรแล้วก็ไม่มองเขา

เฉินผิงอันจนใจ ได้แต่หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนภูเขาเงียบๆ

พอมาถึงนอกเรือนไม้ไผ่ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จูเหลี่ยนที่อยู่ในห้องน่าจะกำลังพยายามออกหมัดเต็มแรง ใช้ขอบเขตเดินทางไกลรับมือกับขอบเขตร่างทองของชุยเฉิงอย่างยากลำบาก

บางครั้งเรือนไม้ไผ่ก็สะเทือนโยกคลอน

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงโต๊ะหิน นึกอยากแทะเมล็ดแตงขึ้นมา

ยามสนธยา เผยเฉียนกับเด็กน้อยสองคนที่ตั้งชื่อให้ตัวเองอย่างเป็นทางการว่า ‘เฉินหลิงจวิน’ กับ ‘เฉินหรูชู’ ก็กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน

สือโหรวบอกว่านางจะอยู่ช่วยดูร้านให้เอง จึงไม่ได้ตามกลับมาด้วย

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งลงข้างโต๊ะ ก้มหน้าก้มตา ท่าทางละอายใจเล็กน้อย

เด็กชายชุดเขียวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันอย่างผ่าเผย ยิ้มถามว่า “นายท่าน ท่านรู้สึกว่าชื่อใหม่ของข้าเป็นอย่างไร? เท่ห์หรือไม่? เผด็จการหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยจริงๆ”

จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “ชื่อของเจ้าก็ดีมากเหมือนกัน”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถึงได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างเขินอาย

การที่นางตั้งชื่อนี้ก็เพราะหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนายท่านจะดีแบบนี้ตลอดไป เหมือนครั้งที่พบเจอกันครั้งแรก (หรูชู แปลว่าเหมือนครั้งแรก)

เผยเฉียนกลับไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เด็กน้อยทั้งสองตัดสินใจกันเองโดยพลการ จึงพูดบ่นว่า “อาจารย์ บ้านมีกฎบ้าน ภูเขามีกฎภูเขา ข้ารู้สึกว่าพวกเขาต้องถูกจัดการสักหน่อย ช่างเถิด เฉินหรูชูคงไม่ว่านางหรอก ซื่อบื้อแบบนี้ก็พอจะให้อภัยได้ แต่เจ้าเฉินหลิงจวินผู้นี้ อาจารย์ท่านไม่รู้อะไร พอไปถึงร้านยาสุ้ยที่เมืองเล็ก เขาแทบอยากจะสลักชื่อตัวเองลงไปบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ”

เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดอก “ชื่อที่ไพเราะขนาดนี้ หากเจ้าไม่ขวางไว้ ขอแค่ข้าเขียนไว้จนเต็มร้าน รับรองว่ากิจการต้องรุ่งโรจน์ เงินทองไหลมาเทมาแน่นอน!”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “เจ้าอย่าก่อเรื่องให้ข้าอีกเลย”

จู่ๆ เด็กชายชุดเขียวก็พลันหมดอาลัยตายอยาก

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เป็นเพราะองค์เทพภูเขาแม่น้ำบางส่วนของแคว้นหวงถิงจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งนี้ด้วย?”

เด็กชายชุดเขียวอืมรับหนึ่งคำ กางแขนสองข้างออกกว้างแล้วฟุบตัวนอนคว่ำลงบนโต๊ะ

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็หยิบเมล็ดแตงขึ้นมาแทะเป็นเพื่อนเผยเฉียน

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เดี๋ยวข้าจะไปบอกเว่ยป้อสักคำว่าให้เจ้าไปที่ภูเขาพีอวิ๋น ให้คอยอยู่ข้างกายเขา เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย”

เด็กชายชุดเขียวเงยหน้าขึ้น ถามด้วยใบหน้ากังขา “เหตุใดท่านต้องสิ้นเปลืองน้ำใจไปเปล่าๆ เช่นนี้ ต่อให้ข้าแสร้งทำเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญได้ครั้งหนึ่ง นั่นก็ไม่ใช่ของจริงสักหน่อย หากถูกคนขอร้องให้ช่วยทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องเผยพิรุธทันที”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันแยบยล สามารถทำให้เจ้ามีหน้ามีตา แล้วยังไม่ต้องหงุดหงิดใจด้วย แค่ร่วมงานเลี้ยงแล้วดื่มเหล้าไปก็พอ”

เด็กชายชุดเขียวไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “ท่านหลอกข้าหรือ?”

เฉินผิงอันหยิบเมล็ดแตงขึ้นมาหนึ่งกำ “ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า”

เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นมา เดินอ้อมมาที่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นายท่าน เมื่อยไหล่หรือไม่?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ไหล่ไม่เมื่อย แต่ปวดกบาล”

เด็กชายชุดเขียวหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ ยากนักที่จะรู้สึกลำบากใจเช่นนี้ จึงหาข้ออ้างไปเล่นสนุกกับงูดำตัวนั้นโดยใช้คำพูดสวยหรูว่าจะช่วยนายท่านตรวจตราภูเขาใหญ่ลูกใหม่ๆ สักหน่อย

เผยเฉียนหันหน้าไปมองแผ่นหลังของเด็กชายชุดเขียวแล้วถอนหายใจ “เด็กไม่รู้จักโต”

มุมปากของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเพิ่งจะยกขึ้นกลับถูกเผยเฉียนถลึงตาใส่ นางตกใจจนรีบขึงหน้าเล็กๆ ให้เคร่งขรึมทันที

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำไมถึงแซ่เฉินกันทั้งสองคน ใครเป็นคนออกความคิด?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูชี้ไปยังทิศทางที่เด็กชายชุดเขียวหายไป “เขา”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยิ้มถามว่า “นายท่าน เดิมทีท่านคิดจะตั้งชื่ออะไรให้พวกเรา? บอกได้ไหม?”

เผยเฉียนแย่งพูดทันที “เจ้าชื่อว่าไข่น้อยเลอะเลือน เขาชื่อว่าไข่ใหญ่โง่เง่า แบบนี้แหละ!”

เฉินผิงอันดีดเมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งไปโดนหน้าผากเผยเฉียน

ขณะที่เผยเฉียนนวดคลึงหน้าผาก เฉินผิงอันก็ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “เดิมทีคิดจะตั้งชื่อให้เขาว่า ‘จิ่งชิง’ ชิงที่แปลว่าใสกระจ่าง เป็นคำที่อ่านออกเสียงเดียวกับคำว่าชิงที่แปลว่าเขียว ก็เขาชอบสวมชุดสีเขียวนี่นะ อีกทั้งยังใกล้ชิดกับสายน้ำ และสายน้ำที่หากใสกระจ่างก็นับว่าล้ำค่าหายาก ข้าก็เลยเลือกบทกวีมาบทหนึ่งที่บอกว่า ‘ยามสายฝนผ่านพ้น อากาศพลันสดชื่น’ ถึงได้ตั้งชื่อนี้ให้เขา ข้ารู้สึกว่าประโยคนี้ดี เป็นนิมิตหมายที่ดี แล้วก็พอจะถือว่ามีความไพเราะคล้องจอง ส่วนเจ้า ให้ชื่อว่า ‘หน่วนซู่’ มาจากประโยค ‘อากาศอบอุ่นของวสันตฤดูกระตุ้นพืชพรรณให้แตกหน่อ หุบเขาทะมึนแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น รุ่งอรุณนกขมิ้นบินผ่านแมกไม้ น้ำค้างเปียกชื้นขนสีทองของพวกมัน’ ข้ารู้สึกว่าภาพบรรยากาศเช่นนี้งดงามอย่างถึงที่สุด ชื่อของพวกเจ้าสองคนล้วนดึงมาจากตัวอักษรต้นและท้ายของสองประโยคนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีและจบลงที่ดี”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูน้ำตาคลอเจียนจะหยด

คล้ายรู้สึกว่าชื่อที่นายท่านตั้งให้ ดีกว่า

เฉินผิงอันรีบเอ่ยปลอบใจ “ตอนนี้ชื่อของพวกเจ้าดีกว่าอีกนะ”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนไม่พูดไม่จา ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินไป แน่นอนว่าคงจะแอบไปหาที่ร้องไห้อยู่กับตัวเองอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันยกมือขึ้น เอ่ยรั้งตัวนางเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถรั้งตัวแม่หนูที่ซื่อสัตย์น่ารักผู้นี้ไว้ได้

เฉินผิงอันถลึงตาใส่เผยเฉียนที่ยังแทะเมล็ดแตงอยู่อย่างไม่สนใจสิ่งใด “ยังไม่ตามไปอีกรึ?!”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้ววิ่งไล่ตามเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยากให้ตัวเองชื่อเฉินหน่วนซู่มากกว่าไป

ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร เว่ยป้อก็ยิ้มตาหยีพูดเสริมมาอีกประโยคว่า “ก็แค่พูดไปตามมารยาทอย่างนั้นเอง”

ร่างของเขาพุ่งวูบหายไป

เฉินผิงอันเงยหน้ามองท้องฟ้า โดยไม่รู้ตัว ดวงจันทร์และดวงดาวก็พากันส่องแสงอย่างเลือนรางแล้ว

หดย่อภูเขาเดินทางไป ยามค่ำคืนพกจันทราดารามาเอง

เว่ยป้อก็คือเทพเซียนที่มีอิสระเสรีถึงเพียงนี้

ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

……

หลายวันต่อมา ภูเขาลั่วพั่วก็มีแขกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาเยี่ยมเยือนราวกับนัดหมายกันมาอย่างไรอย่างนั้น

ล้วนเป็นผู้ฝึกตนของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขาใกล้เคียง บ้างก็เป็นคนที่ฝึกตนอยู่ในจวนตระกูลเซียน บ้างก็อยู่ที่นี่เพื่อสะดวกให้ติดต่อกับสกุลซ่งต้าหลี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซียนดินโอสถทอง ต่อให้แย่แค่ไหนก็ยังเป็นนักพรตขอบเขตประตูมังกร

สำหรับในเรื่องการรับรองแขก ทุกวันนี้เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าทำได้อย่างรัดกุมรอบคอบจนน้ำสักหยดก็ไม่ไหลออก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดใหญ่ๆ ขึ้นเด็ดขาด

แต่ภายหลังมีแขกสองกลุ่มที่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงมาเยือน เป็นคนคุ้นเคย เรียกได้ว่าเป็นสหาย

ทั้งสองกลุ่มนี้ ฝ่ายหนึ่งมาจากทางเหนือ ฝ่ายหนึ่งมาจากทางใต้

ฝ่ายที่มาจากทางเหนือคืออาจารย์และศิษย์สามคน

พวกเขามาที่ร้านยาสุ้ย สือโหรวอยู่ที่นั่นพอดี ผลกลับกลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างเกิดระแวดระวังกัน จึงลองหยั่งเชิงกันไปคำรบหนึ่ง ภายหลังสือโหรวจึงกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว นำข่าวมาแจ้งให้กับเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันรีบพาสือโหรวลงจากเขามาทันที มุ่งหน้าไปที่เมืองเล็ก แน่นอนว่าข้างกายยังมีแมลงตามก้นอย่างเผยเฉียนติดตามมาด้วย

พอมาถึงร้านในตรอกฉีหลง อาจารย์และศิษย์กลุ่มนั้นก็เกือบจะจำเฉินผิงอันไม่ได้

แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย นักพรตเฒ่าตาบอดผู้นั้นยังคงอยู่ในสภาพเดิม ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อที่ฟันออกมาเอง ตรงเอวห้อยกระพรวนสีเงิน ชุดเต๋าเก่าคร่ำคร่า สวมรองเท้าฟางสาน ด้วยสภาพเช่นนี้ แน่นอนว่ายากที่จะมาเยือนด้วยเรื่องของการทำการค้า

ผู้เฒ่ามีฉายาทางลัทธิเต๋าว่าเสวียนกู่จื่อ รู้วิชาอสนีบางส่วน นำพาลูกศิษย์สองคนที่ ‘เก็บได้’ พเนจรไปทั่วทิศ แต่ปีนั้นตอนที่ไปเจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานกลับไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย ยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ถือว่าเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมยากมากับพวกเฉินผิงอัน ก่อนจะจากกัน นักพรตตาบอดยังมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากสำนักให้หนึ่งแผ่น ส่วนเฉินผิงอันก็มอบหินดีงูก้อนหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มขาเป๋ที่แบกธงผ้าผู้นั้น

แม่นางน้อยหน้ากลมที่มีฉายาว่าจิ่วเอ๋อร์ เลือดสดของนางสามารถนำมาทำเป็น ‘น้ำพุยันต์’ ที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดของพรรคมหายันต์ ดังนั้นสีหน้าของนางจึงมักจะซีดขาวตลอดเวลา

คราวก่อนตอนที่อยู่สำนักศึกษาซานหยา หลี่เป่าผิงยังพูดถึงจิ่วเอ๋อร์กับเฉินผิงอัน บอกว่าคิดถึงนางมาก ปีนั้นแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถูกชะตากับแม่นางน้อยจิ่วเอ๋อร์มาก

เจ้าเป๋น้อยและจิ่วเอ๋อร์ต่างก็ไม่กล้าทักทายเฉินผิงอัน

ด้านหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่เจอกันเกือบเจ็ดปี เฉินผิงอันเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานที่ถือมีดผ่าฟืนบุกเบิกเส้นทางมาเป็นคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ นอกจากนี้ต่อให้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วจะบำรุงตัวเองดีแค่ไหน แต่เฉินผิงอันก็ยังค่อนข้างผอม เพียงแต่ใบหน้าที่ซูบตอบไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์สองคนของนักพรตเฒ่าก็คงจะยิ่งจำเฉินผิงอันไม่ได้

ในที่สุดก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายคือเฉินผิงอัน

นักพรตตาบอดดีใจอย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันจึงยิ้มถามว่าพวกเขากินข้าวกันมาหรือยัง พอได้ยินว่ายังไม่ได้กินจึงพาพวกเขาไปยังร้านอาหารที่ตอนนี้กิจการดีที่สุดในเมืองเล็กทันที

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!