มือกระบี่หนุ่มสวมชุดเขียวสะพายกระบี่เดินทางมาเยือนแคว้นไฉ่อีในครั้งนี้ยังคงเดินผ่านเทือกเขาเล็กเตี้ยที่คุ้นเคยแถบนั้น เมื่อเทียบกับการเดินทางพร้อมกับจางซานเฟิงในปีนั้น ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งภูตผีที่พลังชีวิตขาดสะบั้นแห่งนี้ ตอนนี้จะไม่เหลือกลิ่นอายของความอึมครึมน่าสะพรึงกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่พูดว่าเป็นสถานที่งดงามแห่งภูเขาสายน้ำที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอะไร แต่ถึงอย่างไรภูเขาก็เขียว สายน้ำก็ใส ดีกว่าในอดีตเยอะมาก เดินไปข้างหน้าโดยอาศัยความทรงจำมาตลอดทาง ในที่สุดท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่งก็มาถึงเรือนเก่าแก่ที่คุ้นเคย ยังคงมีสิงโตหินสองตัวทำหน้าที่เฝ้าประตู อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะตอนนี้มีกลอนคู่แขวนไว้ แล้วก็มีภาพเทพทวารบาลสีสันแปะอยู่
หลังจากเคาะประตูก็ยืนรอด้วยความอดทน
หญิงชราอายุมากคนหนึ่งเดินค้อมเอว ในมือถือโคมไฟดวงหนึ่งมาเปิดประตูใหญ่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะกินแรงอยู่มาก แล้วจึงได้เห็นคนหนุ่มที่ปลดงอบลง คลี่ยิ้มเจิดจ้าเต็มใบหน้า ตัวของเขาสูงมาก เพียงแต่ว่าค่อนข้างผอม อีกทั้งยังสะพายกระบี่ มองดูแล้วเหมือนจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่ท่องเที่ยวจนมาถึงที่นี่
หญิงชราสีหน้าซีดขาว กลางดึกแบบนี้ ใครเห็นเข้าก็น่าตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย
นางพยายามจะไม่ทำให้แขกผู้มาเยือนตกใจ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้จวนก็ไม่เพียงแต่ผ่านหายนะด่านยากมาได้แล้ว ยังได้รับโชคดีหลังจากโชคร้าย จึงไม่จำเป็นต้องจงใจทำให้คนธรรมดาตกใจกลัวจนเผ่นหนีไปอีก หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย
หญิงชราเอ่ยถามเสียงเบา “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าจะมาค้างแรมหรือ?”
คนหนุ่มยิ้มตอบ “ไม่เพียงแต่จะมาค้างแรม ยังจะขอเหล้าดื่ม และขอเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวเป็นอาหารแกล้มเหล้าด้วย”
หญิงชราอึ้งตะลึง จากนั้นน้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อขึ้นมาคลอดวงตา ถามเสียงสั่นว่า “ใช่คุณชายเฉินหรือไม่?”
ผู้ที่มาเยือนก็คือเฉินผิงอันที่เดินทางลงใต้มาเพียงลำพัง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านยายยังสบายดีหรือไม่?”
หญิงชรารีบคว้ามือเฉินผิงอันมากุมไว้ ราวกับกลัวว่าผู้มีพระคุณใหญ่จะแค่มาให้เห็นหน้าแล้วก็จากไป มือข้างที่ถือโคมไฟยกขึ้นเบาๆ นางใช้หลังมือที่ผิวพรรณแห้งกร้านเช็ดน้ำตา พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ นี่ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของข้า หากคุณชายเฉินยังไม่มาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จะยังเข้าครัวทำอาหารให้ผู้มีพระคุณกินไหวได้อย่างไร เหล้า มี ล้วนเป็นเหล้าที่คุณชายเฉินเหลือทิ้งไว้ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็เหลือเอาไว้ทุกปี ไม่ว่าจะดื่มแค่ไหนก็ล้วนมีมากพอให้ดื่ม…”
เฉินผิงอันเอางอบหนีบไว้ใต้รักแร้ ใช้สองมือกุมมือของหญิงชราเบาๆ พูดอย่างละอายใจว่า “ท่านยาย เป็นข้าที่มาช้าไป”
หญิงชรารีบหันไปตะโกนเรียก “นายท่าน ฮูหยิน คุณชายเฉินมาแล้ว มาแล้วจริงๆ”
หยางหว่างสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บุรุษที่ปีนั้นยอมกลายเป็นผีชางโดยไม่เสียดายเพื่อต่อชีวิตให้ภรรยา กับสตรีแต่งงานแล้วที่สีหน้าสดใสคนหนึ่งพากันสาวเท้าเดินเร็วๆ มาที่หน้าประตู
สองสามีภรรยาพอพบเฉินผิงอันก็ทำท่าจะลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับ
ถ้อยคำนับพันนับหมื่น ล้วนไม่อาจตอบแทนพระคุณยิ่งใหญ่ของปีนั้นได้หมด
เฉินผิงอันคิดจะห้ามปรามคนทั้งสอง แต่กลับถูกหญิงชราจับมือไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เฉินผิงอันรับพิธียิ่งใหญ่นี้
เฉินผิงอันจึงได้แต่ปล่อยให้พวกเขาทำไป
หยางหว่างและอิงอิงผู้เป็นภรรยาลุกขึ้นยืนแล้ว
หญิงชราถึงได้ยอมปล่อยมือ
หยางหว่างและภรรยาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
เด็กหนุ่มในอดีตผู้นั้น ดูเหมือนว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา ตอนนี้ได้กลายมาเป็นคุณชายหนุ่มคนหนึ่งแล้ว เพียงแต่มองดูแล้วจะผอมและอิดโรยอยู่บ้าง ทว่ากลับเหมือนเซียนกระบี่สมชื่อมากกว่าเดิม ดีจริงๆ
คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในเรือน เฉินผิงอันย่อมช่วยปิดประตูใหญ่ให้หญิงชรา หยางหว่างและภรรยาก็ยิ่งยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ หญิงชราที่ถูกแย่งหน้าที่อดบ่นไม่ได้ บอกว่างานที่ใช้แรงไม่กี่ชั่งนี้ ไหนเลยต้องรบกวนคุณชายเฉินด้วย
หญิงชราบอกว่าจะไปก่อไฟทำอาหารมื้อดึกที่ห้องครัว เฉินผิงอันบอกว่าดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ทว่าหญิงชรากลับไม่ยอมตอบรับ สตรีแต่งงานแล้วจึงบอกว่านางเองก็จะไปทำกับแกล้มจานเล็กๆ ด้วยตัวเองเหมือนกัน ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับคุณชายเฉินอย่างถูไถไปก่อน
หยางหว่างพาเฉินผิงอันไปนั่งในห้องโถงที่คุ้นเคย ตลอดทางก็เล่าถึงเหตุการณ์ในปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันจากไป
ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
หยางหว่างที่ปีนั้นเกือบจะตกสู่วิถีมาร ตอนนี้ได้กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนอีกครั้ง แม้จะบอกว่าหลังจากถูกถ่วงรั้งอยู่บนมหามรรคาย่อมถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพร แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นที่เป็นผีชางซึ่งจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผีแล้ว ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ ต้องรู้ว่าเดิมทีหยางหว่างที่อยู่ในสำนักโองการเทพเคยถูกมองเป็นว่าที่เซียนดินโอสถทอง ถูกสำนักอบรมปลูกฝังให้ความสำคัญ ภายหลังเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น เพื่อด่านความรัก เขาเป็นฝ่ายสละทิ้งมหามรรคา สิ่งที่ได้มาและสูญเสียไประหว่างเรื่องราวในครั้งนี้ จะหวานหรือขม หยางหว่างล้วนรู้ชัดเจนดีอยู่กับใจตัวเอง เพียงแต่เขาไม่เคยเสียใจภายหลังก็เท่านั้น
ส่วนภรรยาที่เดิมทีถูก ‘กักขัง’ ไว้บนหอซิ่วโหลวก็ยิ่งได้กลับคืนมามีรูปโฉมเดิม อีกทั้งบนเส้นทางของการฝึกตนยังโชคดีกว่าสามีอย่างหยางหว่าง นางยังฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกหนึ่งขั้น ดังนั้นตอนนี้จึงสามารถนำร่างเดิมทิ้งไว้ในหอซิ่วโหลวของเรือนด้านหลัง แล้วใช้จิตหยินออกมาท่องยามราตรี หรือต่อให้ออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่เป็นปัญหา แทบไม่แตกต่างอะไรไปจากสตรีแต่งงานแล้วทั่วไปในโลกมนุษย์ ไม่ต้องถูกพายุลมกรดในฟ้าดินพัดกัดกินอยู่ทุกค่ำเช้า ไม่ต้องทนทรมานกับจิตวิญญาณที่กระเพื่อมสั่นสะเทือนอีกต่อไป
หยางหว่างถามถึงนักพรตหนุ่มจางซานเฟิงและมือดาบเคราดกสวีหย่วนเสีย เฉินผิงอันก็เล่าให้เขาฟังไปทีละเรื่อง
เฉินผิงอันเองก็ถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของเจ้าเมืองแยนจือและทายาทขุนนางอย่างหลิวเกาหวา หยางหว่างจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ฟัง บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนเจ้าเมืองหลิวได้เลื่อนขั้นจึงไปรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการมณฑลชิงโจวแคว้นไฉ่อี กลายไปเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน นอกจากนี้บุตรสาวของเขาก็กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักโองการเทพแล้ว การที่เจ้าเมืองหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการมณฑลก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย
ส่วนหลิวเกาหวานั้น หลายปีมานี้ยังเคยมาเยี่ยมที่จวนอยู่สองครั้ง เมื่อเทียบกับความเสเพลในอดีต ชอบอาศัยข้ออ้างว่าอยากจะท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสวยน้ำใส ไม่ยินดีจะไปสอบชิงตำแหน่งขุนนางแล้ว ทุกวันนี้ก็ถือว่าสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ เพียงแต่ว่าผลการสอบระดับแคว้นก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก จึงยังมีสถานะเป็นแค่จวี่เหริน ดังนั้นครั้งที่สองที่มาเยือนจวนจึงดื่มเหล้าดับทุกข์ไปไม่น้อย บ่นให้ฟังว่า บิดาของเขายื่นคำขาดแล้วว่า หากยังสอบไม่ติดจิ้นซื่อจะให้เขาแต่งภรรยาเข้าบ้านก็พอ
เฉินผิงอันยังถามถึงเรื่องของผู้ฝึกตนอย่างอวี๋เวิงเซียนเซิง หยางหว่างบอกว่าบังเอิญยิ่งนัก อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองหลวง ตอนนี้อยู่ในเมืองแยนจือ อีกทั้งยังได้ยินมาว่าเขารับลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งที่ชื่อจ้าวหลวนมา พรสวรรค์ของนางดีเยี่ยม แต่ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย ท่านผู้เฒ่าก็มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจเหมือนกัน ว่ากันว่าแคว้นแยนจือมีผู้นำเซียนซือบนภูเขาท่านหนึ่งที่ถูกชะตากับจ้าวหลวน หวังว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะมอบศิษย์ของตนไปให้เขา หากตกลงจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ และยังยินดีจะเชื้อเชิญอวี๋เวิงเซียนเซิงให้ไปเป็นผู้ถวายงานของสำนักด้วย เพียงแต่อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้ตอบรับ
เฉินผิงอันฟังเงียบๆ มาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เซียนซือท่านนี้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แล้วมีขอบเขตอะไร?”
แม้หยางหว่างจะเป็นผีชางมานานหลายปี รากฐานจิตวิญญาณและรากฐานในการฝึกตนล้วนถูกทำร้าย แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักโองการเทพ บวกกับที่ทุกวันนี้ไม่มีภาระใดๆ อีกแล้ว จึงเป็นเหตุให้ยามที่พูดถึงเหล่าผู้นำเซียนซือของแคว้นไฉ่อี ยังคงสามารถพูดคุยได้อย่างผ่อนคลายไร้ความยำเกรง เขายิ้มตอบว่า “คงเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนได้เลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร ดังนั้นจึงหลงระเริงลำพองใจ ทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็ร้อนเป็นไฟกันไปหมด อีกทั้งยังรับลูกศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนักมาอย่างบ้าคลั่ง มีทั้งดีและไม่ดี สำนักที่เดิมทียังถือว่ามีชื่อเสียงไม่เลว กลับสู้ในอดีตไม่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปลองสืบหาข่าวเพิ่มอีกสักหน่อย”
หยางหว่างยิ้มกล่าว “คำพูดเหล่านี้ของข้า เดิมทีก็ได้ยินจากคนอื่นมาอีกที ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้”
สุราและกับแกล้มถูกยกขึ้นโต๊ะ
สุราคือสุราหมักเองที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจไปมาก อาหารก็ครบทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ
สตรีแต่งงานแล้วและหญิงชราต่างก็พากันนั่งลง ในจวนแห่งนี้ไม่มีระเบียบที่คร่ำครึอะไรมากมาย
บางทีอาจเป็นเพราะอยากให้เฉินผิงอันดื่มเยอะๆ หน่อย หญิงชราจึงเอาจอกเหล้าพิเศษของแคว้นไฉ่อีให้กับนายท่านและฮูหยินของตัวเอง มีเพียงของเฉินผิงอันเท่านั้นที่ใช้ถ้วยเหล้าใบใหญ่
หยางหว่างลุกขึ้นยืนดื่มคารวะเฉินผิงอันอย่างนอบน้อมอีกครั้ง อิงอิงภรรยาของเขาและหญิงชราก็ลุกขึ้นตามไปด้วย
เฉินผิงอันที่มือหนึ่งถือถ้วยเหล้าจึงได้แต่ลุกขึ้นตาม กล่าวอย่างจนใจว่า “หากยังทำแบบนี้อีก คราวหน้าข้าคงไม่กล้ามาเป็นแขกแล้วจริงๆ”
หลังจากกระดกเหล้าดื่มจนหมด หยางหว่างก็พูดหยอกล้อว่า “รอให้คุณชายเฉินมาคราวหน้าค่อยว่ากัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!