เฉินผิงอันไปเยือนเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อี ส่งมอบเอกสารผ่านด่านที่หน้าประตูเมือง เป็นเอกสารสำมะโนครัวใหม่เอี่ยมที่เว่ยป้อทำมาให้ แน่นอนว่าในสำมะโนครัวยังเป็นคนสกุลของเขตการปกครองหลงเฉวียน
สอบถามไปตลอดทาง จนกระทั่งรู้ที่พักของอวี๋เวิงเซียนเซิง
ที่นั่นคือตรอกเล็กเงียบสงบที่มีเพียงเสียงสายฝน
เฉินผิงอันเคาะประตู
เพียงไม่นานก็มีเด็กหนุ่มร่างผอมสูงท่าทางเงียบขรึมเดินออกมา พอเห็นเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มก็มีท่าทางลังเลใจ คล้ายไม่แน่ใจในตัวตนของเฉินผิงอันสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “จ้าวซู่เซี่ย”
เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ท่านเฉิน!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ มองประเมินเด็กหนุ่มร่างผอมสูงก็เห็นว่าปณิธานหมัดของอีกฝ่ายมีไม่มาก แต่กลับบริสุทธิ์ ตอนนี้น่าจะยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม แต่ยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขอบเขตอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธที่ทำให้คนมองออกแค่เพียงปราดเดียวเหมือนอย่างเฉินยวนจี แต่เฉินผิงอันกลับชอบ ‘ความหมาย’ บนตัวของจ้าวซู่เซี่ยนี้มากกว่า ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ จ้าวซู่เซี่ย ‘แอบเรียน’ ท่าเดินนิ่งหกก้าวไปจากเขา จะหมั่นฝึกฝนอยู่ไม่ขาด
เด็กหนุ่มก็คือจ้าวซู่เซี่ยที่ปีนั้นถือมีดผ่าฟืนปกป้องเด็กหญิงไว้สุดชีวิต
จ้าวซู่เซี่ยปิดประตู พาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือนด้านหลังด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “ปีนั้นสอนท่าหมัดนั้นให้เจ้า ฝึกครบหนึ่งแสนรอบแล้วหรือยัง?”
จ้าวซูเซี่ยเกาหัว เอ่ยอย่างเขินอายเล็กน้อย “ตามคำบอกของท่านเฉินในปีนั้น หนึ่งรอบถือเป็นหนึ่งหมัด ตลอดหลายปีมานี้ข้าไม่กล้าแอบอู้ แต่ก็เดินได้ช้ามากจริงๆ เพิ่งจะฝึกไปได้หนึ่งแสนหกหมื่นสามพันกว่าหมัดเท่านั้น”
เฉินผิงอันถาม “เคยประมือกับศัตรูแล้วหรือยัง? หรือมียอดฝีมือคอยชี้แนะให้หรือไม่”
จ้าวซู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคย”
เฉินผิงอันโล่งอก หากจ้าวซู่เซี่ยเคยผ่านการขัดเกลาที่ตัดสินเป็นตายมาก่อน ปณิธานหมัดจะถูกขัดเกลาจนไม่มีเหลี่ยมคม ยามออกหมัดจะยิ่งคล่องแคล่วและยิ่งนานก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปีมานี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะฝึกได้แค่หนึ่งแสนหกหมื่นหมัด แต่หากไม่เคย นั่นก็แสดงว่าเขาเพียงแต่ออกหมัดไปอย่างเชื่องช้า เหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวัน แน่นอนว่าย่อมยากที่จะฝึกเดินท่าหมัดนี้ได้รวดเร็ว แต่ความช้าเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่กังวลใจ มีปณิธานหมัดอยู่ติดตัว ก็เหมือนกับสุราถ้วยนั้นที่ท่านยายยื่นส่งมาให้ ขอแค่ถือไว้นิ่งๆ ไม่ว่าอย่างไรสุราที่อยู่ด้านในก็ไม่หนีไปไหนสักหยดเดียว ปณิธานหมัดก็เช่นเดียวกัน แต่หากความคิดจิตใจเกิดเกียจคร้าน ปณิธานหมัดก็จะเบาและล่องลอย ประดุจสุราที่สาดกระเซ็นไปสี่ทิศโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย วันหน้าก็ยากที่จะข้ามผ่านด่านใหญ่ของขอบเขตสามไปได้ การฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธ เปลี่ยนจากขอบเขตหลอมเรือนกายเป็นหลอมลมปราณนั้น ยากอย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันเคยเผชิญกับความยากลำบากอย่างสุดแสนมาก่อน ปีนั้นตัวจูลู่เองก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้ ต้องอาศัยยาของร้านยาตระกูลหยางถึงจะฝ่าทะลุขอบเขตมาอย่างถูไถ ส่วนลูกศิษย์หญิงคนใหม่ที่หยางเหล่าโถวรับไว้นั้น ล้วนผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ทว่าสตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นเดียวกันสองคนนี้ กลับมีเส้นทางอนาคตในการเรียนวรยุทธที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จ้าวซู่เซี่ยพาเฉินผิงอันมาถึงเรือนด้านหลังที่เงียบสงบ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อและเด็กสาวหน้าตางามพิสุทธิ์คนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้ชายคา
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกล่าว “ท่านเฉินมาแล้ว!”
เฉินผิงอันปลดงอบลง กุมหมัดยิ้มเอ่ยว่า “คารวะอวี๋เวิงเซียนเซิง”
จากนั้นก็หันไปมองจ้าวหลวนที่อายุเพิ่งจะถือได้ว่าเป็นเด็กสาว “หลวนหลวน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ชายชราลัทธิขงจื๊อที่เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแทบจำเฉินผิงอันไม่ได้
อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน
แม้จะบอกว่าจากลากันมานานหลายปี แต่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อก็ยังยากที่จะนำบุรุษเรือนกายสูงเพรียว หน้าตาสุภาพอ่อนเยาว์ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมกับภาพของเด็กหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ในความทรงจำคนนั้นได้
กลับเป็น ‘หลวนหลวน’ ของในปีนั้นที่น้ำตาอาบหน้า ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ เรียกเสียงสั่นๆ ว่าท่านเฉินหนึ่งคำ
สำหรับเฉินผิงอัน
ไม่ว่านางจะซาบซึ้งหรือคิดถึงเขามากเท่าไหร่ก็ล้วนไม่เกินไป
ตลอดหลายปีมานี้นางจึงคิดถึงเขาคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตนจะเจอกับความน่าเบื่อหน่าย ความทุกข์ ความลำบาก ความอยุติธรรมหรือดีใจ นางก็จะต้องคิดถึงคนผู้นั้นของปีนั้นอยู่เสมอ
พี่ชายจ้าวซู่เซี่ยมักจะชอบเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อนาง เมื่อนางอายุมากขึ้นก็ยิ่งเก็บงำความคิดไว้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การล้อเลียนของพี่ชายเกินขอบเขต
จ้าวซู่เซี่ยมีนิสัยสุขุม ก็มีเพียงเวลาอยู่กับหลวนหลวนที่ไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ผู้นี้เท่านั้นที่ถึงจะไม่เคยปิดบังอารมณ์ใดๆ
คนทั้งสี่นั่งลงพร้อมกัน การกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่เรือนโบราณหลังนั้น ทุกคนดื่มเหล้า แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ทุกคนดื่มชา
ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ที่ถูกฟูมฟักอยู่ในน้ำชาก็เพื่อการฝึกตนของจ้าวหลวน สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไหร่ การก้าวเดินราบรื่นเท่าไหร่ การกินอยู่ก็ยิ่งต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากเท่านั้น
อวี๋เวิงเซียนเซิงที่ปีนั้นร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารในเมืองแยนจือมีแซ่อู๋ นามว่าซั่วเหวิน คือผู้ฝึกตนเฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางกล้าฝากฝังจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนไว้กับเขา
ดูจากการที่ชายชราลัทธิขงจื๊อปฏิบัติต่อหลวนหลวนและจ้าวซู่เซี่ยแล้วก็มองออกว่า เขาไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ
อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอันก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ยิ่งประสบการณ์ในการท่องยุทธภพเพิ่มพูนขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจความชั่วร้ายของจิตใจคนได้ดีขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขารู้ว่าการกระทำความดีในปีนั้น อันที่จริงแล้วไม่แน่ว่าอาจสร้างเป็นการปัญหาที่ไม่เล็กให้แก่ชายชราลัทธิขงจื๊อ
เพียงแต่เมื่อก้าวขึ้นเขาเริ่มฝึกตน
ทุกคนมักไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ
ไม่อยู่ในยุทธภพก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายที่อาจเกี่ยวพันไปถึงการช่วงชิงและการงัดข้อกันในเรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ไม่อยู่บนภูเขา ต่อให้ไม่ถือว่าโชคดี เพราะชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางได้เห็นภาพอันงดงามตระการตาบนเส้นทางของการพิสูจน์ความเป็นอมตะ ไม่มีทางได้รับอิสระเสรีของการมีชีวิตยืนยาว แต่เหตุใดนั่นจะไม่ใช่ความโชคดีที่มั่นคงอีกอย่างหนึ่ง
อีกทั้งยิ่งพรสวรรค์ของจ้าวหลวนดีเท่าไหร่ นี่ก็หมายความว่าภาระที่ชายชราลัทธิขงจื๊อต้องแบกอยู่บนบ่าและในหัวใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนของจ้าวหลวน? ทำอย่างไรถึงจะสามารถหาวิชาลับตระกูลเซียนที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันมาให้จ้าวหลวนได้? ทำอย่างถึงจะรับประกันได้ว่าจ้าวหลวนจะสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้มกังวลกับเงินเทพเซียนที่ต้องเสียไป?
เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย
มีเพียงได้เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้ ได้เห็นคนสารพัดรูปแบบ ได้พบเจอเรื่องราวหลากหลายแล้วเท่านั้น ถึงจะรู้อย่างแท้จริงว่าการเป็น ‘คนดี’ คนหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย และนั่นถึงจะทำให้เข้าใจความยากลำบากนานัปการบนโลกใบนี้เหมือนเผชิญมากับตัวเองได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นก่อนจะเข้ามาในแคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันจึงไปที่แคว้นกู่อวี๋มาก่อนรอบหนึ่ง ไปหาภูตต้นอวี๋ที่ผูกปมแค้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่ในอดีตอย่างใต้เท้าราชครูแคว้นกู่อวี๋ผู้นั้น
เพราะกังวลว่าภูตที่อยู่ในตำแหน่งสูงผู้นี้จะยังไปหาเรื่องจวนโบราณ นักฆ่าที่มาลอบฆ่าในแคว้นซูสุ่ยปีนั้น เฉินผิงอันยังคงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อไปถึงสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงซึ่งเป็นถิ่นของอีกฝ่าย ก็ง่ายดายมาก เฉินผิงอันไปหาเขาถึงบ้าน พบหน้ากันก็ต่อยให้อีกฝ่ายล้มคว่ำด้วยสามหมัด
ต่อยจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บไม่เบา อย่างน้อยตบะที่มุมานะฝึกฝนมาสามสิบปีก็ไหลหายไปกับสายน้ำ
จากนั้นก็ถามเขาว่าจะยังตามตอแยไม่เลิกราอีกหรือไม่ หากแน่จริงก็ส่งนักฆ่ามาลอบฆ่าตนได้เลย
ราชครูแคว้นกู่อวี๋ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของบัณฑิต ตอนนั้นเลือดสดท่วมหน้า ล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก เขาตอบว่าไม่กล้า
ถึงอย่างไรตอนนั้นกระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งก็จ่ออยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา ส่วนอีกเล่มปลายกระบี่ก็ทิ่มตรงกับหัวใจ
เฉินผิงอันถึงได้จากมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!