กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 470

สรุปบท บทที่ 470.2 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 470.2 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 470.2 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

แสงกระบี่ที่ส่องแสงพร่างพราวสาดสะท้อนให้ม่านฝนอึมครึมที่พาดผ่านระหว่างฟ้าดินเจิดจ้าราวกับเวลากลางวันนั้น ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ภูเขาเหมิงหลงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เซียนกระบี่ไม่ทราบนามที่ขี่กระบี่มาถึงผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นค่ายกลพิทักษ์ภูเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาไม่ได้หยุดชะงักหรือมีการลังเลใจใดๆ แสงกระบี่พลันขยายใหญ่แล้วส่องแสงสว่างจ้า นาทีนี้ แม้แต่ลวี่อวิ๋นไต้ก็ยังต้องหรี่ตาลงเพื่อหลบแสงกระบี่ที่ระเบิดพร่างพราวนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

หนึ่งกระบี่แหวกทะลุค่ายกลพิทักษ์ภูเขาที่ได้ทั้งป้องกันและจู่โจมของภูเขาเหมิงหลงเข้ามา ประหนึ่งมีดผ่าก้อนเต้าหู้ พุ่งมาเป็นเส้นตรง ชนเข้าที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอย่างจัง

กระบี่บินพิทักษ์ภูเขาหกเล่มที่เคยสร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่ภูเขาเหมิงหลงขัดขวางไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูเหมือนจะหวาดเกรงกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่โดยสัญชาตญาณ แต่ละเล่มถึงได้ส่ายแกว่ง ทำท่าจะร่วงมิร่วงแหล่

จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังจากขี่กระบี่แหวกค่ายกลมาแล้ว แสงยาวสีทองที่แผ่ลามจากขอบฟ้ามาถึงภูเขาเหมิงหลงเส้นนั้นกลับยังไม่สลายหายไป

ความยาวของปราณกระบี่นี้ ความโชติช่วงของปณิธานนี้ ช่างน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง

สายลมและสายฝนถูกหนึ่งคนหนึ่งกระบี่พัดหอบมาถึง ลมพายุพัดกระโชกแรงอยู่บนยอดเขา ปราณวิญญาณเหมือนเดือดพล่าน เป็นเหตุให้ทุกคนของภูเขาเหมิงหลงที่เว้นจากลวี่อวิ๋นไต้ซึ่งเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร ต่างก็จิตวิญญาณสั่นไหว หายใจไม่คล่องคอ ผู้ฝึกตนบางส่วนที่ขอบเขตไม่สูงพอก็ถึงขั้นเซถอยหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มที่อาศัยคุณสมบัติของผู้ฝึกกระบี่ถึงสามารถมายืนอยู่นอกศาลบรรพจารย์ผู้นั้นที่หากไม่ถูกอาจารย์แอบดึงชายแขนเสื้อไว้ เกรงว่าป่านนี้คงล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแล้ว

และเวลานี้เอง ภูเขาเหมิงหลงถึงได้มองเห็นรูปโฉมของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างชัดเจน สวมชุดสีเขียว เรือนกายสูงเพรียว อายุยังน้อย

เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นพลิ้วกายลงบนพื้น กระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งกลับเข้าฝักกระบี่ด้านหลัง ทุกอย่างนี้พลิ้วไหวดุจเมฆคล้อยดุจสายน้ำไหลริน เสร็จสิ้นในกระบวนท่าเดียว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินหน้ามาอย่างเชื่องช้า เขาชำเลืองตามองลวี่อวิ๋นไต้ที่ยังถือว่าคงความสุขุมเอาไว้ได้ รวมไปถึงลวี่ทิงเจียวที่สวมชุดขาวซึ่งกลอกตาลอกแลกไม่อยู่นิ่งผู้นั้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วันนี้มาเยือนภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้า ก็เพื่อจะบอกพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าคือผู้พิทักษ์มรรคาของจ้าวหลวนแห่งเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีของพวกเจ้า เข้าใจแล้วหรือยัง?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าแซ่หงที่ถือไม้เท้าไว้ในมือเวลาปกติก็เก็บตัวเงียบอย่างสันโดษ เขายอมรับชะตากรรมมานานแล้ว จึงมอบอำนาจทั้งหมดออกไป แต่ก็อาศัยสถานะอาจารย์อาของเจ้าประมุข ถึงได้มีชีวิตที่สงบสุขในช่วงบั้นปลาย ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลกใดๆ เวลานี้จึงรีบพยักหน้ารับ จะไปสนกับมารดามันทำไมว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ข้าแสร้งทำเป็นเข้าใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่เป็นอาจารย์กระบี่เชี่ยวชาญวิชาควบคุมกระบี่ปากคอแห้งผาก เห็นได้ชัดว่าเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาแล้ว ความมั่นใจและความหยิ่งทระนงที่แสดงออกว่า ‘แค่คนต่างถิ่นคนหนึ่งจะทำอะไรข้าได้’ ก่อนหน้านี้ เวลานี้หายวับไปไม่เหลืออยู่อีกเลย

ลูกศิษย์ที่นางภาคภูมิใจซึ่งเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน’ กับแขกผู้มาเยือนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังนางก็ยิ่งไม่มีแม้แต่ความกล้าจะสบตากับศัตรูตรงๆ ด้วยซ้ำ

ลวี่อวิ๋นไต้หรี่ตาลง ในใจเกิดข้อกังขา แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้าน่าสนใจไม่น้อย คนที่ไม่เข้าใจแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ คนที่เข้าใจกลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร…”

หยุดชะงักไปครู่ เฉินผิงอันกวาดสายตามองผ่านทุกคน “นี่ก็คือศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้ากระมัง?”

ในใจลวี่อวิ๋นไต้กำลังชั่งน้ำหนัก แต่สีหน้ากลับแสดงถึงความเดือดดาลรุนแรง “ผู้อาวุโสท่านนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ยังไม่ทันพูดกันให้ชัดเจน ก็คิดจะใช้อำนาจมากดข่มผู้อื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันหันหน้ามาน้อยๆ สีหน้าเช่นนี้ของลวี่อวิ๋นไต้ไม่อาจโกหกใครได้จริงๆ เฉินผิงอันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่แสร้งทำเป็นอ่อนนอกแข็งในนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่คิดจะยึดชิงเหตุผลว่าตัวเองมีคุณธรรมนั้นกลับเป็นเรื่องจริง คำพูดที่ลวี่อวิ๋นไต้อยากพูดจริงๆ แต่กลับไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา อันที่จริงก็คือตอนนี้บนภูเขาของแคว้นไฉ่อีอยู่ภายใต้การปกครองของต้าหลี เขาต้องการให้ตนชั่งน้ำหนักให้ดี ตอนนี้อาณาเขตเกินครึ่งของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่’ แต่จะกำเริบเสิบสานได้นานสักเท่าใด

เฉินผิงอันจึงพูดกับลวี่อวิ๋นไต้ด้วยภาษาทางการของต้าหลีว่า “ข้าเป็นคนของต้าหลี ดังนั้นที่พึ่งของพวกเจ้า หากโชคไม่ดีเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีพอดีล่ะก็ นั่นก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลเสมอไป แน่นอนว่าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับราชสำนักต้าหลีก็ถือว่าธรรมดาอย่างยิ่ง”

ลวี่ทิงเจียวสบถด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจ

คำพูดที่เสแสร้งนี้ ด้วยสันดานหญ้าบนยอดกำแพงของคนกลุ่มใหญ่บนภูเขาเหมิงหลงของตน จะยังมีสักกี่คนที่มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีร่วมกัน ผู้คนจะสมัครสมานสามัคคีกันอีกได้อย่างไร

ในเรื่องของการฝึกตน เขาลวี่ทิงเจียวเป็นเศษสวะอย่างแท้จริง คำเล่าลือที่ผู้คนภายนอกพูดกันไม่ใช่เรื่องเท็จเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงบิดาเขาก็จนใจกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน แต่เดิมทีปณิธานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนภูเขาอยู่แล้ว มันอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา จึงถอยมาเลือกในลำดับรอง หากให้เป็นเจ้าประมุขที่ไม่ต้องลงมือรบราฆ่าฟันกับคนอื่นด้วยตัวเอง ลวี่ทิงเจียวก็คิดว่าตนมีความสามารถเหลือเฟือ

คำพูดประโยคถัดมาของเฉินผิงอันถือว่าเปิดประตูแล้วเห็นภูเขา (เปรียบเปรยถึงการพูดตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม เข้าเรื่องเข้าเนื้อทันที) อย่างยิ่ง อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกก็คือผลักประตูเข้าไปก็เห็นภูเขาเหมิงหลงนั่นเอง “ในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของจ้าวหลวน ข้าเดินทางมาเยือนภูเขาเหมิงหลงครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้า จะถามพวกเจ้าสองพ่อลูกคำเดียวว่า วันหน้าพวกเจ้าคนหนึ่งจะยังละโมบในพรสวรรค์การฝึกตนของจ้าวหลวน ส่วนอีกคนหนึ่งจะยังน้ำลายสอในความงามของแม่นางน้อยอีกหรือไม่ พวกเจ้าแค่ตอบมาว่าใช่ หรือไม่ใช่ก็พอ”

ลวี่อวิ๋นไต้สีหน้าดำทะมึน

ชั่วชีวิตนี้เขาเกลียดการทำอะไรโผงผางตรงไปตรงมาอย่างนี้ที่สุด

ลวี่ทิงเจียวกำลังจะพูดจาเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีและหาเหตุผลข้ออ้างให้ภูเขาเหมิงหลงสักหน่อย

คิดไม่ถึงว่ามือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นกลับยิ้มพูดขึ้นมาก่อนว่า “จะเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หลักการเหตุผลและถ้อยคำที่สับปลับเจ้าเล่ห์ ทำนองว่าเจ้าลวี่อวิ๋นไต้แน่ใจว่าจ้าวหลวนคือหยกงามวัตถุดิบชั้นเลิศในการฝึกตน ภูเขาเหมิงหลงจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท ตั้งใจอบรมปลูกฝัง ไม่มีทางคิดร้ายกับนางเด็ดขาด หากนางไม่ยินดีขึ้นเขามาจริงๆ ก็จะไม่บังคับ ยิ่งไม่มีทางจับญาติของอู๋ซั่วเหวินมาเป็นตัวประกัน อีกทั้งถอยไปพูดกันหนึ่งก้าว สตรีงามเพียบพร้อมย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ ถึงอย่างไรตอนนี้ลวี่ทิงเจียวก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินจ้าวหลวนจริงๆ แล้วจะกล่าวโทษเอาผิดเขาได้อย่างไร อีกทั้งต้าหลียังมีกฎกำหนดไว้ว่าบนภูเขาไม่อาจก่อการวิวาทขึ้นก่อนโดยพลการ ไม่อย่างนั้นจะถูกซักไซ้เอาความผิด เรื่องสกปรกพวกนี้ ข้าล้วนเข้าใจดี พวกเจ้ามีเวลาว่างสามารถนำมาใช้สิ้นเปลืองไปกับพวกมันได้ แต่ข้ายุ่งมาก ดังนั้นตอนนี้ข้าจะถามเจ้าแค่คำถามก่อนหน้านั้น ตอบข้ามาว่าใช่หรือไม่ใช่”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมานวดคลึงข้างแก้มแล้วเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ไม่ได้ ความเคยชินที่ต้องพูดจ้อก่อนจะตีกันแบบนี้ จะฝึกให้ติดเป็นนิสัยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต่างจากหม่าขู่เสวียนในปีนั้นได้อย่างไร”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง

ก่อนจะพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”

เฉินผิงอันยื่นมือออกมา

เจี้ยนเซียนในฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝักเสียงดังเคร้งเหมือนเสียงครูดของโลหะ แล้วถูกเขานำมากำไว้ในมือ

จากนั้นก็โบกกระบี่ไปข้างหน้าอย่างสบายๆ

ลงมืออย่างเรียบง่าย ทว่าปราณกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ในเจี้ยนเซียนเล่มนั้นกลับไม่เรียบง่ายตามไปด้วย

ลวี่ทิงเจียวกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเซียนกระบี่คือผู้ปกป้องมรรคาของจ้าวหลวนผู้นั้น ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหมิงหลงของพวกข้า ไม่ว่าใครก็ตาม วันหน้าขอแค่ได้พบเจอจ้าวหลวน จะต้องเป็นฝ่ายหลีกทางหลบลี้ไปให้ไกล!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าคงจะปากยอมใจไม่ยอมอยู่เป็นแน่ คิดดูแล้วน่าจะยังมีท่าไม้ตายที่ยังไม่เอาออกมาใช้ แต่ไม่เป็นไร ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีสักสองสามวัน หากไม่ส่งคนก็ต้องส่งจดหมายมา สรุปก็คือต้องมีคำตอบที่แสดงความจริงใจให้แก่ข้า ไม่อย่างนั้นข้าอาจต้องกลับมาที่ภูเขาเหมิงหลงอีกครั้ง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองศาลบรรพจารย์ที่ยังซ่อมแซมได้แห่งนั้น สายตาของเขามืดดำ เป็นเหตุให้เจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังร้องอย่างเบิกบานอยู่ในฝัก ประหนึ่งมีเสียงมังกรสองตัวร้องสอดรับกัน แสงสีทองไหลรินออกมาจากในฝักกระบี่อย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่ประหนึ่งธารน้ำเส้นเล็กไหลริน ภาพเหตุการณ์นี้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่ายิ่งทำให้คนใจสั่นขวัญผวา

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สงบจิตใจให้มั่นคง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “อย่าถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า!”

เฉินผิงอันหันตัวกลับ ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างเหมือนกลุ่มควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่พุ่งออกไปจากยอดเขาแล้วร่วงดิ่งลง เจี้ยนเซียนพุ่งออกจากฝัก จากนั้นก็ทะยานตัวขึ้นสูง พุ่งแหวกทะลุชั้นเมฆออกไป

ในสายตาของผู้ฝึกตนภูเขาเหมิงหลง ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นใช้วิธีการใด กระบี่บินแต่ละเล่มของค่ายกลพิทักษ์ภูเขาที่เชี่ยวชาญการโจมตีกลับพากันร่วงลงมาระเนระนาด สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุด

บุรุษแปลกหน้าชุดเขียวที่ใช้หนึ่งกระบี่แหวกผ่าค่ายกลพิทักษ์ภูเขาเหมิงหลงผู้นี้ ขี่กระบี่มาเยือน แล้วก็ขี่กระบี่กลับไป

……

เซียนกระบี่จากไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งปราณกระบี่เสียดแทงกระดูกให้ล้อมวนอยู่บริเวณโดยรอบยอดเขานอกศาลบรรพจารย์

คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามนั่งแปะลงกับพื้น เหงื่อแตกท่วมร่าง

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตรีบพุ่งเข้าไปประคองเขาขึ้นมา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นที่ยังไม่จางหายไปเช่นกัน แต่ก็ยังคงปลอบใจลูกศิษย์ที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากด้วยเสียงที่ถูกกดให้แผ่วต่ำว่า “อย่าให้จิตแห่งกระบี่ถูกทำร้าย อย่าให้จิตวิญญาณวุ่นวายสับสน รีบปลอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นให้ดี ไม่อย่างนั้นบนมหามรรคาต่อจากนี้เจ้าจะเจอแต่อุปสรรค…แต่หากสามารถสยบความตระหนกลนและความผวาพรั่นพรึงนั้นเอาไว้ได้ กลับจะกลายเป็นเรื่องดี แม้ว่าอาจารย์จะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ก็เคยได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่ปราบมารในใจ เดิมทีก็เป็นวิธีที่ใช้ขัดเกลากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่ง นับแต่โบราณมาก็มีคำกล่าวที่ว่ากลึงกระบี่ริมทะเลสาบหัวใจ…”

ลูกศิษย์สายตาเลื่อนลอย ยังดีที่อาจารย์ช่วยตักเตือน เขาถึงได้คืนสติกลับมาอย่างมึนงง ตอนนี้เขายังไม่ไปสนใจภาพเหตุการณ์ประหลาดในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่เอาไว้บำรุงกระบี่บิน ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มรีบท่องคาถาที่ถ่ายทอดมาจากศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงอยู่ในใจ โคจรปราณวิญญาณ พยายามทำให้จิตใจของตัวเองสงบได้มากที่สุด

ไม่มีใครสนใจอาจารย์และศิษย์สองคนนี้แล้ว

เพราะทุกคนต่างไปมุงล้อมอยู่รอบกายเจ้าประมุขอย่างลวี่อวิ๋นไต้ ลวี่อวิ๋นไต้สีหน้าซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงรากฐานของเรือนกายและจิตวิญญาณ ตั้งใจบำรุงแค่ไม่กี่ปีก็สามารถกลับคืนสู่จุดสุงสุดได้อีกครั้ง นี่ก็คือความโชคดีในความโชคร้าย หากเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกรก็ถูกคนเล่นงานให้ขอบเขตถดถอยกลับไปที่ชมมหาสมุทร บวกกับที่ศาลบรรพจารย์ถูกฟันออกเป็นสองท่อน นี่จะส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตอย่างที่มองไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นภูเขาเหมิงหลงก็คงต้องขวัญหนีกระเจิดกระเจิงกันจริงๆ แล้ว

ลวี่อวิ๋นไต้โบกมือ “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมาปรึกษากับพวกเจ้าที่ศาลบรรพจารย์…ที่จวนอู้อ่ายของข้า”

ทุกคนจึงพากันจากไปด้วยความคิดที่แตกต่างหลากหลาย

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!