ตอน บทที่ 471.1 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ? จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 471.1 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ? คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ฟ้าเริ่มสว่าง ทางฝั่งประตูเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี จอมยุทธกลุ่มหนึ่งในยุทธภพที่เดินทางมาถึงที่นี่นั่งอยู่บนหลังม้ารอคอยให้ประตูเปิด หนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธจักรของแคว้นซูสุ่ย ฝ่ามือของเขากำลังลูบคลึงหยกมันแพะที่มีไว้ถือเล่นช้าๆ ด้วยอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าห่างไปไกลมีจอมยุทธพเนจรหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง สีหน้าอิดโรยคนหนึ่งกำลังเดินมา ทว่าสายตาของเขากลับไม่ขุ่นมัวแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าจึงคิดในใจว่าคนหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นคนฝึกยุทธคนหนึ่ง แต่ดูจากความตื้นลึกของฝีเท้า วิชาคงไม่ค่อยสูงส่งสักเท่าไหร่ สายตาของผู้เฒ่าจึงย้ายไปมองตามเด็กสาวหรือไม่ก็สตรีที่โตเต็มวัยคนอื่นแทน น่าเสียดายก็แต่สตรีบ้านป่าส่วนใหญ่มักมีผิวพรรณแห้งกระด้าง หน้าตาธรรมดา เขาจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หวังว่าหลังจากเข้าเมืองไปแล้ว สตรีของเมืองแยนจืออย่าได้เป็นเช่นนี้เลย
คนหนุ่มชุดเขียวมองไปทางนอกประตูที่มีกลุ่มคนมายืนออรวมตัวกัน จึงเลือกเดินไปทางร้านริมทางที่ขายอาหารเช้า ที่นั่นไม่มีเก้าอี้ให้นั่งทานอาหารแล้ว แต่เขาก็ยังสั่งปาท่องโก๋หนึ่งชิ้นและโจ๊กขาวหนึ่งถ้วย เมื่อรับอาหารมาแล้ว เจ้าของร้านนึกอยากจะเตือนสักคำว่าอย่าลืมเอาชามและตะเกียบมาคืน แต่พอชำเลืองตาไปเห็นกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น คำพูดก็กลับลงไปในท้องอีกครั้ง คนในยุทธภพ ควรต้องเกรงใจกันสักหน่อย จอมยุทธพเนจรหนุ่มจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ไปนั่งยองอยู่ข้างทาง กินปาท่องโก๋กับโจ๊ก ถือว่าจัดการอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายเสร็จไปหนึ่งมื้อ เพียงแต่เขากินช้ามาก รอจนคนหนุ่มสะพายกระบี่นำตะเกียบและชามไปคืนให้เจ้าของร้าน ทางประตูเมืองก็เปิดให้คนเข้าออกได้แล้ว เขาจึงยืนรออยู่ตรงข้างทาง
ผู้เฒ่าเก็บหยกงามที่ไม่ผ่านการแกะสลักในมือชิ้นนั้นลงไป อดหันไปชำเลืองตามองเด็กรุ่นหลังในยุทธภพคนนั้นอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะยิ้มอย่างนึกขำ ตอนที่ตนอายุเท่านี้ก็ไม่ได้มีชีวิตที่อับจนเช่นนี้แล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจสายตาสำรวจตรวจตราของผู้เฒ่า เขาเดินตามกระแสคนไปส่งมอบเอกสารผ่านด่านเข้าเมือง ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากขี่กระบี่กลับไปที่เรือนหลังนั้น แต่เป็นเพราะเขาหมดแรงแล้วจริงๆ เดินทางไปกลับเมืองแยนจือกับภูเขาเหมิงหลงมารอบหนึ่ง หากยังฝืนต่อไปก็คงไม่ใช่การตรากตรำฝึกท่าศพนั่งอะไรอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นศพศพหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแทน แม้ว่าท่านั่งนี้ ขอแค่นั่งได้ไหวก็จะช่วยบำรุงจิตวิญญาณ ทว่าหากจิตวิญญาณได้รับผลประโยชน์ แต่เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาบาดเจ็บ ส่งผลกระทบต่อพลังต้นกำเนิด น้ำเต็มปรี่ภาชนะจึงปริแตก จะกลายเป็นว่าส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
แต่วันหน้าหากใช้ท่าศพนั่งขี่กระบี่เดินทางไกลก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว
ทว่าอยู่ในแจกันสมบัติทวีปสามารถทำเช่นนี้ หากไปถึงอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆอาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ที่นั่น หากไม่ชอบขี้หน้าใครขึ้นมา แค่อ้างเหตุผลที่มองดูเหมือนเหลวไหลไร้สาระ ก็สามารถทำให้สองฝ่ายลงมือต่อยตีกันจนน้ำสมองกระจุยกระจายได้แล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้ตรงไปที่เรือนพักของอวี๋เวิงเซียนเซิงในทันที แต่ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองมาก่อนรอบหนึ่ง แต่พอสอบถามถึงได้รู้ว่าเจ้าพ่อศาลเทพอภิบาลเมืองได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เจ้าพ่อเสิ่นร่างทองอีกต่อไป เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ไม่ถือว่าราชสำนักแคว้นไฉ่อีข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน เมืองแยนจือเป็นสถานที่สำคัญ หลังจากร่างทองของเสิ่นเวินสูญสลายไปจึงจำเป็นต้องให้เทพอภิบาลเมืองคนใหม่มาสืบทอดตำแหน่งเทพรับผิดชอบตรวจตราดูแลภูเขาแม่น้ำของเมืองต่อ
เฉินผิงอันจึงไม่ได้เข้าไป แต่เดินตามเส้นทางที่เคยผ่านในปีนั้นไปยังศาลเทพเจ้าแห่งผืนดินที่ยังคงเงียบสงัดแห่งนั้น เนื่องจากศาลเล็กเกินไปจึงไม่มีคนเฝ้าศาล ต่อให้มาจุดธูปขอพรที่นี่ก็ยังต้องนำธูปมาเอง ปีนั้นตนก็ได้บอกลาเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแยนจือเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่
เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนหยิบธูปสามดอกมาจากในวัตถุจื่อจื่อ กลิ่นธูปหอมสดชื่น เป็นของบนภูเขาอย่างแท้จริง อย่าว่าแต่จุดธูปไล่ยุงเลย ต่อให้กำจัดเสนียดจัญไรอัปมงคลในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังทำได้
ปีนั้นตอนอยู่ที่ศาลเทพวารีของแคว้นชิงหลวน ครึ่งทางก่อนจะไปถึงสวนสิงโต คนเชิญธูปผู้นั้นตามกลุ่มของตนมาเพื่อนำกระบอกธูปที่ทำจากไม้ไผ่กระบอกหนึ่งซึ่งคนเฝ้าศาลเป็นผู้มอบให้มามอบต่อให้กับตน ภายหลังลองมานับดู ด้านในบรรจุธูปน้ำหายากไว้ถึงยี่สิบสี่ก้าน ลงเขามาครั้งนี้ ธูปน้ำส่วนใหญ่เขาล้วนทิ้งไว้บนภูเขาลั่วพั่ว แต่นำกระบอกธูปมาด้วย ด้านในบรรจุธูปไว้แค่สามดอก เผื่อไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น คิดไม่ถึงว่าจะได้ออกเอามาใช้ตอนนี้ เรื่องของการจุดธูปกราบไหว้นั้น ระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำจะมีข้อห้ามบางอย่าง แต่สถานที่อย่างศาลเทพอภิบาลเมือง ศาลบุ๋นหรือศาลบู๊ จะใช้ธูปภูเขาหรือธูปน้ำล้วนไม่มีปัญหา
เฉินผิงอันใช้มือหมุนหัวธูปเบาๆ ไฟก็ติดขึ้นเอง
เฉินผิงอันยืนนิ่ง ยกธูปขึ้นเหนือศีรษะ เอ่ยถ้อยคำบางอย่างอยู่ในใจ
สุดท้ายนำธูปสามดอกปักลงในกระถางทองแดง หลับตานิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงได้หมุนตัวจากไป
กลับไปถึงนอกเรือนในตรอกเล็กแห่งนั้น เฉินผิงอันก็เคาะประตูอีกครั้ง
คราวนี้คนที่เปิดประตูไม่ใช่จ้าวซู่เซี่ย แต่เป็นจ้าวหลวน พอเห็นเฉินผิงอัน ในดวงตาที่หม่นหมองของแม่นางน้อยคล้ายว่ากำลังเอ่ยเอื้อนถ้อยคำ
อู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงและจ้าวซู่เซี่ยยืนอยู่ตรงผนังบังตาในเรือน
เฉินผิงอันอยู่กับเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมานานเกินไป เดิมทีจึงคิดว่าแค่ลูบหัวอีกฝ่ายก็จะรับมือกับเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้ แต่จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถึงอย่างไรหลวนหลวนก็มีอายุและรูปร่างเป็นเด็กสาวแล้ว จึงได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ผู้ฝึกตนของภูเขาเหมิงหลงถือว่ายังมีเหตุผลกันอยู่บ้าง หลวนหลวน วันหน้าเจ้าก็ฝึกตนอย่างสบายใจอยู่ข้างกายอาจารย์ได้แล้ว”
จ้าวซู่เซี่ยแอบกำหมัดแสดงถึงความยินดีในใจ
จริงดังคาด ท่านเฉินที่สอนวิชาหมัดให้กับตน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!
แม้ว่าอู๋ซั่วเหวินจะมีแต่ข้อสงสัยเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะถามอะไรต่อหน้าเด็กทั้งสอง จึงเพียงแค่ผงกศีรษะคลี่ยิ้มให้เฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องโถงของเรือนด้านหลังพร้อมกัน
คราวนี้จ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนยังคงดื่มชาเพื่อใช้บำรุงจิตวิญญาณอย่างช้าๆ
แต่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายหยิบเหล้าอีกาครวญสองไหออกมา มอบให้ตัวเองและอวี๋เวิงเซียนเซิงคนละกา
อู๋ซั่วเหวินกล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้หลวนหลวนและซู่เซี่ยอายุน้อยเกินไป ดื่มเหล้าไม่ได้”
อู๋ซั่วเหวินดื่มแค่หนึ่งอึกก็ตัดใจดื่มไม่ลงอีก เขายิ้มกล่าวว่า “เก็บไว้ ข้าจะเก็บไว้ก่อน วันหน้ารอให้เด็กทั้งสองโตขึ้นอีกหน่อย ดื่มเหล้ากลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อไหร่ ข้าค่อยเอาออกมาอีกครั้ง”
เฉินผิงอันรีบเอาเหล้าอีกาครวญออกมาอีกกา ลุกขึ้นยืนแล้ววางลงตรงหน้าอู๋ซั่วเหวิน กล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านอู๋มีความสามารถในการหลอกดื่มเหล้าไม่น้อยเลยจริงๆ เชิญดื่มได้ตามสบาย ข้ายังมีสุราเหลืออีก”
อู๋ซั่วเหวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขาดื่มเหล้าของเฉินผิงอันได้คล่องคอยิ่งนัก “คุณชายเฉิน อย่าใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชนสิ”
อู๋ซั่วเหวินอืมรับหนึ่งที “บนเส้นทางของการฝึกตน จะปล่อยให้เรื่องทางโลกถ่วงรั้งไว้นานเกินไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่คำกล่าวในเชิงลบ แต่แท้จริงแล้วคือสัจธรรม”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นพลางพูดกับจ้าวซู่เซี่ยว่า “ไป ไปที่ลานกัน ข้าจะสอนคาถาหลอมลมปราณบทหนึ่งให้เจ้า สอนท่ายืนนิ่งและท่าหมัดอีกหนึ่งท่า คงมีแค่สามอย่างนี้ อย่าได้รังเกียจว่าน้อยเกินไปเลย”
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อต้องห้าม เพราะไม่ว่าจะเป็นคาถาวิชาหมัด หรือคาถาของการฝึกตน ต่อให้เป็นคนร่วมสำนักก็ไม่สามารถร่วมรับฟังอย่างส่งเดชได้ อู๋ซั่วเหวินจึงคิดจะพาจ้าวหลวนจากไป แต่แม่นางน้อยที่แต่ไหนแต่ไรมาว่าง่ายรู้ความมาโดยตลอดกลับไม่ยอมไปกับเขาเสียนี่
อาจารย์ผู้เฒ่ามึนงงไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันเองก็สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ในห้อง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ฟังอยู่ข้างๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าขอพูดมากสักคำ อย่าเอาไปแพร่งพรายข้างนอกเด็ดขาด แค่พวกเราสี่คนรับรู้กันก็พอ”
อู๋ซั่วเหวินถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วจากไปเพียงลำพัง
จ้าวหลวนยกสองมือเท้าคาง นั่งอยู่ตรงประตูที่ไร้ธรณี เอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ท่านแค่บอกคาถาแก่พี่ชายของข้าก็พอแล้ว ข้าจะไม่แอบฟัง แค่จะดูพวกท่านฝึกวิชาหมัดกันเท่านั้น”
เฉินผิงอันเป็นกังวลจริงๆ ว่าคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุดจะขัดแย้งกับวิชาลับในการฝึกตนตอนนี้ของจ้าวหลวน ดังนั้นจึงใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธถ่ายทอดคาถาแก่จ้าวซู่เซี่ย พูดซ้ำอยู่สามรอบ จนกระทั่งจ้าวซู่เซี่ยพยักหน้าบอกว่าตนเองจำได้แล้ว เฉินผิงอันถึงได้เริ่มสอนท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูให้กับเด็กหนุ่ม รวมไปถึงท่าหมัดใหม่ที่เกิดจากการผสานรวมท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของจ้งชิว ท่าวานรของจูเหลี่ยน บวกกับท่าเดินนิ่งหกก้าว ล้วนเป็นพื้นฐานในการเรียนวรยุทธ ไม่ว่าจะตั้งใจฝึกฝนแค่ไหนก็ไม่เกินไป เชื่อว่ามีท่านอู๋คอยจับตามองอยู่ด้านข้าง จ้าวซู่เซี่ยคงไม่ถึงขั้นฝึกวรยุทธจนร่างกายบาดเจ็บ
เฉินผิงอันไม่เพียงแต่แสดงท่ายืนนิ่งและท่าหมัดด้วยตัวเอง ยังอธิบายให้จ้าวซู่เซี่ยฟังอย่างละเอียดด้วยความอดทน ถอดบทเรียนไปทีละขั้น อธิบายชัดเจนทุกประโยค จากนั้นก็ค่อยสรุปรวม พูดถึงจุดประสงค์ของทั้งวิชาหมัดและกระบวนท่าหมัดโดยรวมอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงขยายไปถึงความลี้ลับมหัศจรรย์แต่ละแบบ พูดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่อง หากมีจุดใดที่จ้าวซู่เซี่ยไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นการประมือด้วยวิชาหมัด เขาก็จะอธิบายขั้นตอนนั้นให้ฟังซ้ำอีกรอบ
แน่นอนว่าจ้าวซู่เซี่ยไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าอย่างไรก็ดีว่าเจิงเย่อยู่ไม่น้อย
เจ้าทึ่มเจิงเย่ผู้นั้น ถึงขนาดทำให้คนที่ความอดทนดีเลิศอย่างเฉินผิงอันอดยกมือเกาหัวไม่ไหว นึกอยากจะใช้วิธีป้อนหมัดของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่กับเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจหรือ? หมัดเดียวสติปัญญาเปิดโล่ง! ยังไม่พอ? ถ้าอย่างนั้นก็สองหมัด!
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!