กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 471

จ้าวหลวนเอามือเท้าคางมองสองคนที่อยู่ในลานบ้าน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

เดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ตนก็ดี พี่ชายอย่างจ้าวซู่เซี่ยก็ช่าง หรือแม้แต่อาจารย์ก็เหมือนกัน แท้จริงแล้วล้วนต้องพบเจอเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจมากมาย

ยกตัวอย่างเช่นตนจะหวาดกลัวสายตาของคนนอกทั้งหลาย เพราะอันที่จริงนางเป็นคนที่ขี้ขลาดอย่างมาก ส่วนพี่ชายหากเห็นคนฝึกตนวัยเดียวกันก็มักจะอิจฉาแล้วก็ผิดหวัง อันที่จริงเขาปิดบังไว้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนอาจารย์ก็มักจะนั่งเหม่อเพียงลำพัง กลัดกลุ้มเรื่องการกินอยู่ เป็นทุกข์เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคนในตระกูลจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไม่ยอมคลาย

จ้าวหลวนรู้สึกว่าตนไม่ใช่แม่นางน้อยที่ไม่รู้ประสาอะไรอีกแล้ว

ทางฝั่งของลานบ้าน ท่านเฉินที่เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าในอดีตยังคงม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ถ่ายทอดวิชาหมัดให้แก่พี่ชาย ตอนที่เขาเดินท่าหมัดหรือออกกระบวนท่าหมัด แท้จริงแล้วสำหรับในใจของนางล้วนไม่แย่ไปกว่าการที่เขาขี่กระบี่เดินทางไกลก่อนหน้านี้เลย

แต่หลังจากที่ได้กลับมาพบกับท่านเฉินอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขายังเห็นนางเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง นางดีใจมาก แต่ก็เริ่มไม่ดีใจนิดๆ

ตอนบ่ายจ้าวซู่เซี่ยเป็นคนทำอาหาร เฉินผิงอันก็คอยช่วยอยู่ด้านข้าง

อาจารย์สั่งสอนท่านเฉินไปหนึ่งคำว่าวิญญูชนต้องอยู่ให้ห่างจากห้องครัว แต่เวลากินข้าว เขากลับกินไปไม่น้อย แล้วก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อยเช่นกัน ดื่มจนใบหน้าแดงก่ำ

ตอนบ่าย ท่านเฉินยังคงฝึกวิชาหมัด แสดงท่าหมัดให้พี่ชายดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

เมื่อเข้าใกล้ช่วงสนธยา

เฉินผิงอันมองสีทองฟ้าแล้วยิ้มกับจ้าวซู่เซี่ย “เอาล่ะ ถึงแค่นี้พอ จำไว้ว่า เดินนิ่งหกก้าวก็ไม่ควรทิ้งให้เสียเปล่า พยายามปล่อยหมัดให้ถึงห้าแสนหมัดให้ได้ ตามวิธีการที่ข้าบอกเจ้า ก่อนจะออกหมัดให้ตั้งท่าหมัดก่อน หากรู้สึกว่าความหมายยังไม่ถึงขั้น มีความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าออกหมัดก้าวเดินเด็ดขาด และเวลาที่ฝึกเดินจนเหนื่อยแล้ว ช่วงเวลาที่พักผ่อนก็ใช้คาถาที่ข้าสอนเจ้ามาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนโง่ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีฝึกหมัดที่โง่เง่าเช่นนี้แหละ สักวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง จู่ๆ เจ้าจะรู้สึกเข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน ต่อให้วันเวลาที่ว่านี้จะมาถึงช้า ก็ไม่ต้องร้อนใจไป”

เฉินผิงอันคลี่ชายแขนเสื้อลง ลูบให้เรียบเบาๆ จากนั้นก็ตบไหล่จ้าวซู่เซี่ย เอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าคงพูดแค่นี้แหละ”

จ้าวซู่เซี่ยเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก

จ้าวหลวนลุกขึ้นยืนแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าจะไปคุยธุระกับท่านอู๋สักเล็กน้อย จากนั้นก็จะไปแล้ว”

ไปหาอู๋ซั่วเหวินที่กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง เฉินผิงอันก็ถอนหายใจ คิดว่าจะพูดทุกอย่างไปตามความจริง พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ถ้อยคำที่ตระเตรียมมาเป็นอย่างดีล้วนไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย “ท่านอู๋ หลวนหลวนคือลูกศิษย์ของท่าน ตามหลักแล้วข้าไม่ควรจะเจ้ากี้เจ้าการ แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการฝึกตนของจ้าวหลวน การที่ผู้ฝึกลมปราณได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในเร็ววันถือเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นข้าจึงเตรียมเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง…”

อู๋ซั่วเหวินเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจพูดต่อว่า “และยังมียันต์อีกสองสามแผ่น ถือเป็นของขวัญจากลา แน่นอนว่ายังมี ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่คัดลอกมาเองอีกหนึ่งฉบับ รวมไปถึงกระบี่อาคมที่ซื้อมาจากร้านตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง มีชื่อว่าฉวีหวง แน่นอนว่าเป็นของเลียนแบบ ระดับขั้นไม่ถือว่าสูง ข้าจะมอบให้ซู่เซี่ยทั้งหมด ไว้ให้เป็นเครื่องป้องกันกาย เพียงแต่เรื่องการฝึกกระบี่ของซู่เซี่ย ข้าหวังว่าท่านอู๋จะช่วยดูให้ข้าหน่อย หากรู้สึกว่ายามใดเขาพอจะฝึกวิชาหมัดจนประสบความสำเร็จนิดๆ แล้ว ค่อยมอบ ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ และเลียนแบบฉวีหวงให้แก่จ้าวซู่เซี่ย บอกตามตรง หากท่านอู๋ยอมตกลง ข้าก็อยากจะรับซู่เซี่ยไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ วันหน้าหากมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งซู่เซี่ยยังยินดี และท่านอู๋เองก็ไม่คัดค้าน ข้ากับซู่เซี่ยค่อยกลายมาเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอย่างเป็นทางการ”

อู๋ซั่วเหวินผายมือบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันนั่งลง รอจนเฉินผิงอันนั่งลงแล้ว เขาถึงได้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม กังวลว่าข้าจะกลัวเสียหน้า? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูแคลนน้ำหนักของซู่เซี่ยและหลวนหลวนในใจข้าเกินไปหน่อยกระมัง?”

อู๋ซั่วเหวินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ซู่เซี่ยยังดีหน่อย ไม่จำเป็นต้องให้ข้าทำอะไรมากมาย และในความเป็นจริงแล้วข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเจ้ายินดีรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ รอไปอีกสักหลายๆ ปี ค่อยตัดสินใจว่าจะรับเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการหรือไม่ แน่นอนว่านี่คือความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าของเขาซู่เซี่ย ข้าไม่มีความเห็นต่างใดๆ แต่บอกตามตรง การนำพาแม่หนูหลวนหลวนฝึกตน ก็ยากลำบากสำหรับข้ามากจริงๆ เงินอีแปะเดียวก็ทำให้วีรบุรุษล้มคว่ำได้ ก็คือหลักการนี้นี่เอง หาใช่ว่าต้องการจะขอความดีความชอบจากเจ้า หรือร้องทุกข์ให้เจ้าฟังไม่ หลายปีที่ผ่านมานี้ เพื่อไม่ให้ถ่วงรั้งการฝึกตนของหลวนหลวน ลำพังเพียงแค่ไปยืมเงินจากเพื่อนบนภูเขาก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว”

อาจารย์ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ “พูดเรื่องน่าอับอายในครอบครัวเหล่านี้กับเจ้า ก็จะทำให้เจ้ามอบเงินเทพเซียนให้กับพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ได้อย่างสบายใจแล้วใช่ไหม? ให้มากหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าแก่ปูนนี้แล้ว ไม่มีปัญญาจะไปรบราฆ่าฟันกับใครอีกแล้ว แต่หากจะแบกเงินเทพเซียนไว้บนตัว กลับไม่ใช่เรื่องยาก”

เฉินผิงอันหยิบ ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง กระบี่ฉวีหวง และยันต์กระดาษสีทองสามแผ่นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ จากนั้นก็ควักเงินเทพเซียนกำหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะหนังสือเบาๆ

แรกเริ่มอู๋ซั่วเหวินยังลูบหนวดยิ้ม แต่พอเห็นเงินเทพเซียนเหล่านั้นอย่างชัดเจน เขากลับเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าเปิดโรงรับเงินบนภูเขาหรือไร? เงินร้อนน้อยก็แล้วไปเถิด เหตุใดยังต้องมีเงินฝนธัญพืชอีกตั้งสามเหรียญ?!”

เฉินผิงอันทำหน้าอึ้งตะลึง “นี่ยังรังเกียจว่าน้อยไปอีกหรือ? ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็กแล้วจริงๆ นะ”

อู๋ซั่วเหวินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะ ‘เล่นแง่’ เช่นนี้ ผู้เฒ่าเลือกเงินฝนธัญพืชสามเหรียญออกมา พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เอากลับไป นี่ไม่จำเป็นจริงๆ ในอนาคตเมื่อหลวนหลวนเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต เจ้าจะมอบให้นางมากกว่านี้ ข้าก็ไม่ขัดขวาง แต่ตอนนี้ไม่ได้”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ยืนกราน

เฉินผิงอันเก็บเงินฝนธัญพืชสามเหรียญที่เดิมทีคิดไว้ว่าจะนำมาเป็นสมบัติก้นกรุในการลงภูเขาครั้งนี้กลับไป กุมหมัดแล้วเอ่ยลา “ท่านอู๋ไม่ต้องไปส่งแล้ว”

อู๋ซั่วเหวินลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ไปส่งถึงหน้าประตู มารยาทเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องมีอยู่บ้าง”

ออกจากห้อง มาที่ลานบ้าน จ้าวหลวนถืองอบของเฉินผิงอันรอไว้อยู่แล้ว

จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกล่าว “ข้ากับหลวนหลวนจะไปส่งท่านเฉินถึงที่หน้าประตูเมือง”

เฉินผิงอันรับงอบมา แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าจะรีบออกเดินทางให้เร็วสักหน่อย”

จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว

จ้าวหลวนกล่าวอย่างขลาดๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปส่งถึงหน้าประตู”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

อู๋ซั่วเหวินเดินกลับเข้าไปในห้อง มองสิ่งของและเงินเทพเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม รู้สึกถึงเพียงความเหลือเชื่อ แต่พออาจารย์ผู้เฒ่าเห็นยันต์สีทองสามแผ่นนั้นก็พลันโล่งใจ

ยังคงเป็นคนเดิมของในปีนั้น เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นคนหนุ่มก็เท่านั้น

อู๋ซั่วเหวินลูบหนวดยิ้ม “พึ่งใบบุญของหลวนหลวน ในที่สุดชีวิตนี้ก็ได้เห็นเงินฝนธัญพืชมากกว่าหนึ่งเหรียญแล้ว”

ด้านนอกเรือน

เฉินผิงอันสวมงอบ เตรียมจะขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านวารีกระบี่ของแคว้นซูสุ่ย ที่นั่น เขายังติดค้างหม้อไฟใครคนหนึ่งไว้หนึ่งมื้อ

จ้าวซู่เซี่ยยังดีหน่อย เพราะเขาไม่ได้แสดงความเสียใจออกมาสำหรับการจากลาในครั้งนี้

เขาคอยพูดคุยกับเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา

แต่แม่นางน้อยกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!