อาณาบริเวณของวัดร้างค่อนข้างใหญ่ เป็นเหตุให้กองไฟห่างจากประตูใหญ่มาพอสมควร
มีสตรีเรือนกายสะโอดสะองสวมชุดกระโปรงสีสันสดใสสามนาง คนหนึ่งคือดรุณีน้อยอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีที่ดวงตาเป็นรูปผลซิ่ง ใบหน้าทรงกลม อีกคนหนึ่งคือสตรีร่างสูงเพรียวยาวที่รวบผมมัดเป็นมวย อายุประมาณยี่สิบปี และยังมีสตรีโตเต็มวัยอีกคนหนึ่งที่เรือนกายอวบอิ่มมวยผมหลวมๆ คล้าย ‘พวงดอกไม้’ พวกนางเล่นสนุกหยอกล้อกัน ทำให้ทัศนียภาพบางจุดบนร่างของสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามคนหนึ่งในนั้นสั่นกระเพื่อมรุนแรงเป็นพิเศษ เวลานี้กำลังพากันหัวเราะคิกคัก ‘พลิ้วกายเข้ามา’ ในวัดโบราณประหนึ่งผีเสื้อโบยบิน จากนั้นก็เห็นคนหนุ่มที่กำลังเบิกตากว้าง พวกนางพลันเกิดขลาดกลัว หยุดเท้าลงอย่างเขินอาย ยืนรวมตัวเกาะกลุ่มกัน ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ผลักดันกันให้ขยับเข้าไปใกล้กองไฟและบัณฑิต
สตรีโตเต็มวัยเหมือนใจจะกล้าหน่อย นางนั่งยองลง ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น สายตาจับจ้องมองคนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา
สตรีร่างสูงโปร่งยืนอยู่ด้านข้าง มองมาด้วยสายตาเย็นชา คล้ายจะกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าคนหนุ่มผู้นี้จะใช่อันธพาลเสเพลที่อันตรายหรือไม่
เด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งขี้อายที่สุด นางยืนหันข้าง สิบนิ้วของสองมือสอดประสานกัน ก้มหน้าลงต่ำจ้องมองปลายรองเท้าปักลายบุปผาที่โผล่พ้นมาจากชายกระโปรง
สตรีโตเต็มวัยพลันอึ้งตะลึง
เพราะว่าจู่ๆ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็หัวเราะ คล้ายจะขึงหน้าทำสีหน้า ‘จริงจังแบบเสแสร้ง’ ต่อไปไม่ไหว
สตรีเรือนร่างอวบอิ่มที่นั่งอยู่ผู้นั้น นางถึงขั้นดึงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอกขาวโพลนตั้งตระหง่านโดยตรง แล้วโบกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงหวานเลี่ยนว่า “คุณชายร้อนหรือไม่? อยู่ดีๆ ข้าน้อยก็รู้สึกเสื้อผ้าที่สวมใส่หนาเกินไปเสียแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นมือไปใกล้กองไฟอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มกล่าวว่า “หากรู้สึกร้อน แล้วจะยังต้องผิงไฟอีกหรือ?”
สตรีอึ้งงันพูดไม่ออก แต่จากนั้นนางก็ชม้อยชม้ายชายตา หัวเราะคิกคักดุจกิ่งบุปผาสั่นไหว “คุณชายช่างเข้าใจพูดตลกเสียจริง คิดดูแล้วคงจะเป็นบุรุษที่ชวนรักชวนฝันมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ขำให้นานอีกหน่อย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ สตรีงดงามโตเต็มวัยที่เย้ายวนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ก็หัวเราะขำได้แค่ครู่เดียว เพราะเพียงไม่นานนางก็ขำไม่ออกอีก เพียงแต่ไม่ยินดีจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ จึงเลียมุมปาก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คุณชายหน้าตาหล่อเหลาจริงๆ มองแล้วสบายตา พูดจาก็ไพเราะน่าฟัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่?”
เฉินผิงอันยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม “ท่านป้าก็ช่างเข้าใจพูดตลกเสียจริง”
สีหน้าของสตรีแข็งค้างโดยพลัน
เฉินผิงอันที่จงใจกลับมาเยือนสถานที่เก่าด้วยใบหน้านี้มองประเมินคนทั้งสามอีกรอบ สุดท้ายมองไปยังเด็กสาวที่ขี้ขลาดที่สุดคนนั้นแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พอเถอะ ข้ารู้รากฐานของพวกเจ้าดี ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”
ในบรรดาสตรีทั้งสามคน สตรีร่างอวบอิ่มมึนงงและขุ่นเคือง ใช้ผ้าเช็ดหน้าปกปิดทัศนียภาพตรงหน้าอก สตรีร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วมุ่น ส่วนเด็กสาวคนนั้นทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงทำท่าเขินอายของตัวเองต่อไป
เฉินผิงอันโยนกิ่งไม้หนึ่งกิ่งใส่เข้าไปในกองเพลิง ยังคงยิ้มมองเด็กสาวที่สวมรองเท้าปักลายบุปผาผู้นั้น ไม่รู้จริงๆ ว่านางความจำไม่ดี หรือรักความสะอาดมากจริงๆ เพราะไม่ว่าจะรองเท้าก็ดี หรือกระโปรงก็ช่าง ล้วนยังคงไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนทั้งที่เดินมาบนทางภูเขาแท้ๆ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “จำไม่ได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยทวนความจำให้เจ้าเองก็แล้วกัน เมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน มีคนต่างถิ่นสี่คนมานั่งอยู่ตรงจุดที่ข้านั่งตอนนี้ คนหนึ่งคือจอมยุทธเคราดก คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม คนหนึ่งคือบัณฑิตผู้สุภาพ คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มยากจน…อืม ภายหลังพวกเราก็พบกันอีกครั้งที่หมู่บ้านวารีกระบี่”
เด็กสาวที่ดวงตาเป็นรูปผลซิ่งไม่ยืนหันข้างอีกต่อไป นางหันมาเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน ปิดปากหัวเราะ “จะจำไม่ได้ได้อย่างไร ครั้งนั้นต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของพวกเจ้าและตะพาบเฒ่าซ่ง ทุกวันนี้พอข้าน้อยนึกถึงเรื่องอนาถในครั้งนั้นขึ้นมา หัวใจดวงเล็กๆ ก็ยังเจ็บปวดรวดร้าวไม่หาย บุรุษหน้าไม่อายอย่างพวกเจ้า แต่ละคนช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย สาวใช้สองคนที่น่าสงสารของข้า นึกจะฆ่าก็ฆ่าทิ้งเสียอย่างนั้น หากข้ามองไม่ผิด คุณชายคงจะเป็นเด็กหนุ่มที่ปีนั้นลงมือบดขยี้บุปผางามอย่างอำมหิตที่สุดผู้นั้นกระมัง? โอ้โห ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อเหลาจริงๆ ไม่ทราบว่าเดินทางมาเยือนครั้งนี้ มีจุดประสงค์อันใด?”
นางเอาสองมือไพล่หลัง เดินอ้อมกองไฟไปครึ่งวง คอยรักษาระยะห่างกับเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา “ทำไม คงไม่ใช่ว่าคุณชายไม่ได้ไร้เดียงสาไม่รู้ความเหมือนตอนเป็นเด็กหนุ่ม แต่เริ่มได้รู้จักรสชาติของสตรีมาบ้างแล้ว ชิมสตรีในโลกมนุษย์มาจนเอียน ก็เลยอยากหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ คิดจะมาลองดูความสามารถบนเตียงของผีงามอย่างพวกเราหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันโบกมือ “มิกล้า ข้ารู้ดีว่าฮูหยินชอบกินหัวใจผัดเผ็ด ให้ดีที่สุดคือต้องเป็นหัวใจของผู้ฝึกตน เพราะไม่มีกลิ่นคาวแบบคนธรรมดาสามัญ”
เฉินผิงอันมองไปทางประตูวัดร้างแวบหนึ่ง “ดูท่าหลังจากถูกผู้อาวุโสซ่งตวัดกระบี่สังหารภูตผีใต้อาณัติของเจ้าไปไม่น้อยในรวดเดียว เจ้าตอนนี้จึงไม่มีบารมีอำนาจเหมือนในอดีตอีกแล้ว”
เด็กสาวที่มีดวงตารูปผลซิ่งเบ้ปาก ยื่นรองเท้าปักลายบุปผาข้างหนึ่งออกมาเขี่ยกองไฟเบาๆ “ว่ามาเถอะ เจ้าล่อให้พวกเราปรากฏตัวครั้งนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันถาม “หลังจากศึกที่หมู่บ้านวารีกระบี่ผ่านพ้นไป สี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ไอ้ที่ตายก็ตาย ไอ้ที่หนีไปได้ก็หนีไป แล้วก็ยังมี…ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้มานานแล้ว แต่ทางฝั่งของแคว้นไฉ่อีนั่น ข้าได้ยินมาว่าเพียงไม่นานต่อมาก็มีสี่พิฆาตซูสุ่ยปรากฎขึ้นอีก หนึ่งในนั้นยังเป็นกลุ่มอิทธิพลเก่าบนภูเขาที่ได้เลื่อนตำแหน่งด้วย?”
นางทรุดตัวลงนั่งยอง ถอนหายใจ “ตายไปแล้วสองคน ไร้ชะตาจะได้เสพสุข ล้วนถูกผู้ฝึกตนของต้าหลีที่เรียกตัวเองว่าเลขาธิการฝ่ายบู๊อะไรนั่นสังหารทิ้ง ยังเหลืออีกคน แรกเริ่มสุดก็ไปทำงานเบ็ดเตล็ด ถูกคนจับมาเล่นสนุกหาความบันเทิง เลยตกใจขวัญหนีจนเกือบจะต้องย้ายถิ่นฐาน ข้าต้องพูดกล่อมเขาว่าอย่าย้ายไปไหนเลย คนย้ายถิ่นมีชีวิตรอด แต่ผีที่มีชีวิตรอดจะยังเป็นผีได้อีกหรือ โชคดีที่เขายอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของข้า เขาร่ำรวยได้ดิบได้ดีแล้ว แต่ข้ากลับต้องเสียใจจนไส้เขียว เมื่อหลายปีก่อนเกิดสงครามวุ่นวาย อยู่ดีๆ ไอ้หมอนั่นก็รุ่งเรืองขึ้นมา จึงรวบรวมพวกผีร้ายมาเป็นพรรคพวก สร้างกองกำลังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังไม่เคยไปหาเรื่องซวยใส่ตัวกับพวกคนเถื่อนต้าหลี ชีวิตแต่ละวันช่างมีความสุข แล้วยังได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักที่ทำให้ข้าอิจฉาตาร้อนนัก ไม่เพียงแต่ไม่พูดถึงฉายาสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยอะไรอีก แม้แต่ข้าก็ยังเกือบถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้นลักพาตัวไปเป็นฮูหยินรังโจร วิถีทางโลกใบนี้นี่นะ คนมีชีวิตอยู่ยาก ผีก็เป็นกันยาก สรุปแล้วควรต้องเป็นอะไรกันแน่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!