บนภูเขาพีอวิ๋น
เหมาเสี่ยวตงเปิดปากพูดคุยกับทางสำนักศึกษาหลินลู่ เหล่าอาจารย์ที่มีชาติกำเนิดจากต้าสุยถึงได้พบกับองค์ชายเกาเซวียนที่มาขอศึกษาต่อที่นี่
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่พวกเขากลัวว่าจะหาหายนะมาสู่ตัว ผู้ที่กลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสำนักศึกษาซานหยาได้จะไม่มีความกล้าหาญและปณิธานแห่งบัณฑิตบ้างเลยหรือ? พวกเขากังวลว่าตัวเองจะสร้างความเดือดร้อนให้เกาเซวียนที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างหาก นั่นคือลูกหลานเกอหยางต้าสุยที่เสนอตัวมาเป็นตัวประกันที่นี่แทนพี่ชายเชียวนะ!
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้ว เหมาเสี่ยวตงถึงได้จากไป
บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่เป็นขอบเขตสิบเอ็ดผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัว
เกาเซวียนมองอาจารย์ผู้เฒ่าแต่ละคนที่มีความรู้สูงสุดของต้าสุยประสานมือโค้งคำนับตนเสร็จแล้ว แต่ละคนพอเงยหน้าขึ้นมาล้วนมีน้ำตาไหลอาบหน้า คนหนุ่มที่เดิมทีไม่รู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่จะเป็นความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไรก็เริ่มน้ำตารื้นเช่นกัน
เกาเซวียนมองบัณฑิตต้าสุยที่เส้นผมสีขาวโพลนเหล่านั้นแล้วก็ใช้สถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรุ่นหลังประสานมือโค้งคำนับพวกเขากลับคืนอย่างนอบน้อม
เหล่าอาจารย์แต่ละคนจัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึมรับการคารวะครั้งนี้
ที่จุดชมทัศนียภาพที่ถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘ศาลาไพศาล’ ของสำนักศึกษาหลินลู่ บัดนี้บรรพจารย์สกุลเกาเกอหยางที่มาอยู่ต้าหลีพร้อมกับเกาเซวียนก็ได้ปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเหมาเสี่ยวตงและเจียวเฒ่าเฉิงสุ่ยตง
บรรพบุรุษสกุลเกาพูดคุยแค่ไม่กี่ประโยคก็จากไป
เขาไม่ได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แต่ปิดบังชื่อแซ่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั่วไปเท่านั้น ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาล้วนชอบฟังวิชาที่เขาสอน เพราะผู้เฒ่าจะเล่าเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากตำราและความรู้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้เห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นความลี้ลับมหัศจรรย์ของสำนักประพันธ์และพื้นที่มงคลกระดาษขาว เพียงแต่ว่าอาจารย์ของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่กลับไม่ค่อยชอบอาจารย์ผู้เฒ่าเกาที่ ‘ไม่ทำการทำงาน’ ผู้นี้เท่าไหร่นัก ด้วยรู้สึกว่าการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ของเขาไม่เข้มงวดมากพอ เลื่อนลอยและขอไปทีมากเกินไป ทว่าเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายยังไม่เคยเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์สอนหนังสือของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่จึงได้แต่เลิกคิดเล็กคิดน้อย
ในศาลาไพศาลเหลืออยู่แค่รองเจ้าขุนเขาสองท่านที่มาจากสำนักศึกษาต่างกัน เฉิงสุ่ยตงมองดูคล้ายกำลังพูดคุยเรื่องในวันวานกับเหมาเสี่ยวตงด้วยถ้อยคำที่ไร้ความยำเกรง
เจียวเฒ่าเล่าเรื่องมากมายของสำนักศึกษาให้เหมาเสี่ยวตงฟัง แล้วก็พูดถึงเฉินผิงอันของภูเขาลั่วพั่ว หนึ่งในนั้นคือพูดเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันมาขอร้องให้ชายหญิงต่างถิ่นคู่หนึ่งมาพักอยู่ในสำนักศึกษา ไม่ได้ฝากให้เว่ยป้อนำความมาบอกแก่สำนัก แต่มาเยือนด้วยตัวเอง ขอร้องให้เขาที่เป็นรองเจ้าขุนเขาช่วยเหลือ
เหมาเสี่ยวตงพูดหน้าเคร่ง “ในที่สุดก็พอจะเข้าใจหลักการการอยู่ร่วมโลกกับคนอื่นบ้างแล้ว”
เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
บนยอดเขาของภูเขาพีอวิ๋น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีทอดสายตามองไปไกล ชื่นชมทัศนียภาพของกลุ่มขุนเขาอยู่ด้วยกัน
พวกเขาก็คือหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตและนักพรตหญิงเรือนเตาซือหลิ่วป๋อฉี
หลิ่วชิงซานเอ่ย “ไปถึงเมืองหลวงต้าหลีและมหาสมุทรใหญ่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะนะ? พวกเรากลับไปพบท่านพ่อ กลับไปพบพี่ใหญ่ของข้าด้วยกัน”
หลิ่วป๋อฉีพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำเล็กน้อย
ตามคำสัญญาแรกเริ่มสุด วันที่เดินทางกลับไปถึงบ้านเกิด ก็คือวันที่พวกเขาสองคนจะแต่งงานกัน
ในสายตาของนาง บัณฑิตหลิ่วชิงซานก็คือภูเขาเขียวลูกหนึ่งที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ภูเขาเขียวที่มีชีวิตชีวากว้างใหญ่ไพศาล น้ำวสันตฤดูกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
เขามีความรู้ความสามารถ เขาเป็นห่วงบ้านเมืองเป็นห่วงปวงประชา เขาปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ เขาคือปัญญาชนผู้งามสง่า…ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
แต่ตนกลับเป็นผู้ฝึกตนที่หน้าตาธรรมดา รู้จักแต่การรบราเข่นฆ่า พูดจาไม่สุภาพอ่อนหวาน ดื่มชาเหมือนดื่มสุรา ไม่เป็นพิณ หมากล้อม พู่กันหรือวาดภาพ ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางจะมีแต่ข้อบกพร่อง
อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางท่องเที่ยวร่วมกันมานี้ นางเป็นกังวลตลอดเวลาว่าการจากลาในอนาคตที่จะเกิดขึ้น จะไม่ใช่วันที่หลิ่วชิงซานซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแก่ตายไป
แต่เป็นวันใดวันหนึ่งที่จู่ๆ หลิ่วชิงซานก็เบื่อหน่ายนาง รู้สึกว่าแท้จริงแล้วนางไม่มีค่าพอให้เขาชอบไปตลอดจนกระทั่งเส้นผมขาวโพลน
หลิ่วป๋อฉีกลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด
จนกระทั่งมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วประโยคนั้นของอาจารย์ผู้เฒ่าจูช่วยคลายปมในใจของนาง
‘ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม คาดว่าภูเขาเขียวคงมองข้าเช่นนี้ดุจเดียวกัน’ (ภูเขาเขียวภาษาจีนคือชิงซาน ตรงกับชื่อของหลิ่วชิงซาน)
ข้าหลิ่วป๋อฉีมองหลิ่วชิงซานอย่างไร ชื่นชอบหลิ่วชิงซานมากแค่ไหน หลิ่วชิงซานก็จะมองข้าเช่นนั้น แล้วก็จะชอบข้ามากเท่านั้น
แต่หลิ่วป๋อฉีก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง นางจึงปลุกความกล้าของตัวเอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังอดตื่นเต้นมากไม่ได้ นางกำด้ามดาบเทพเจ้าจิ้งดาบพกที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่น หันหน้ามาถาม “ชิงซาน ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าห้ามรู้สึกว่าข้าโง่ ยิ่งห้ามหัวเราะเยาะข้า…”
เพียงแต่ไม่รอให้หลิ่วป๋อฉีเอ่ยต่อ หลิ่วชิงซานก็กุมมือข้างที่กุมดาบของนางเอาไว้ด้วยสองมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าในสายตาของข้า เจ้างดงามแค่ไหน เป็นความงดงามที่แม้แต่ตัวเจ้าเองก็จินตนาการไม่ถึง”
หลิ่วป๋อฉีก้มหน้าลงน้อยๆ แพขนตาขยับไหวเบาๆ
หลิ่วชิงซานเอ่ยเสียงเบา “ต้องโทษข้า ข้าควรบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้ หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ผู้เฒ่าจูเอ่ยเตือน ปลุกให้คนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ข้าอาจจะบอกเจ้าช้ากว่านี้ อาจจะต้องรอให้กลับไปถึงสวนสิงโตเสียก่อน ถึงจะบอกความในใจให้เจ้าฟัง”
หลิ่วป๋อฉีเงยหน้า เมื่อปมในใจถูกคลายออก สายตาของนางก็ไม่เหลือความเขินอายอีกต่อไป มีเพียงริ้วแดงบางๆ ที่ยังคงค้างอยู่บนใบหน้าที่แสดงให้รู้ถึงคลื่นกระเพื่อมในหัวใจของนางก่อนหน้านี้
หลิ่วป๋อฉีเอ่ยเบาๆ “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจูต้องตกต่ำกลายมาเป็นคนเฝ้าบ้านให้เฉินผิงอัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
หลิ่วชิงซานหลุดหัวเราะพรืด
นึกอยากจะช่วยพูดแทนเฉินผิงอันสักสองสามประโยค เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้เฒ่าจูขึ้นมาได้
แค่ไม่ยอมถอยให้ในเรื่องที่เป็นความผิดมหันต์ก็พอแล้ว ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะยังต้องเอาหลักเหตุผลมาแย้งกับสตรีที่รักไปไย? เจ้าแต่งภรรยาเข้าบ้าน หรือคิดจะเป็นอาจารย์ที่รับลูกศิษย์เข้าสำนักกันแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!