กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 472

สรุปบท บทที่ 472.3 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 472.3 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 472.3 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บนภูเขาพีอวิ๋น

เหมาเสี่ยวตงเปิดปากพูดคุยกับทางสำนักศึกษาหลินลู่ เหล่าอาจารย์ที่มีชาติกำเนิดจากต้าสุยถึงได้พบกับองค์ชายเกาเซวียนที่มาขอศึกษาต่อที่นี่

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่พวกเขากลัวว่าจะหาหายนะมาสู่ตัว ผู้ที่กลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสำนักศึกษาซานหยาได้จะไม่มีความกล้าหาญและปณิธานแห่งบัณฑิตบ้างเลยหรือ? พวกเขากังวลว่าตัวเองจะสร้างความเดือดร้อนให้เกาเซวียนที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างหาก นั่นคือลูกหลานเกอหยางต้าสุยที่เสนอตัวมาเป็นตัวประกันที่นี่แทนพี่ชายเชียวนะ!

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้ว เหมาเสี่ยวตงถึงได้จากไป

บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่เป็นขอบเขตสิบเอ็ดผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัว

เกาเซวียนมองอาจารย์ผู้เฒ่าแต่ละคนที่มีความรู้สูงสุดของต้าสุยประสานมือโค้งคำนับตนเสร็จแล้ว แต่ละคนพอเงยหน้าขึ้นมาล้วนมีน้ำตาไหลอาบหน้า คนหนุ่มที่เดิมทีไม่รู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่จะเป็นความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไรก็เริ่มน้ำตารื้นเช่นกัน

เกาเซวียนมองบัณฑิตต้าสุยที่เส้นผมสีขาวโพลนเหล่านั้นแล้วก็ใช้สถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรุ่นหลังประสานมือโค้งคำนับพวกเขากลับคืนอย่างนอบน้อม

เหล่าอาจารย์แต่ละคนจัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึมรับการคารวะครั้งนี้

ที่จุดชมทัศนียภาพที่ถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘ศาลาไพศาล’ ของสำนักศึกษาหลินลู่ บัดนี้บรรพจารย์สกุลเกาเกอหยางที่มาอยู่ต้าหลีพร้อมกับเกาเซวียนก็ได้ปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเหมาเสี่ยวตงและเจียวเฒ่าเฉิงสุ่ยตง

บรรพบุรุษสกุลเกาพูดคุยแค่ไม่กี่ประโยคก็จากไป

เขาไม่ได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา แต่ปิดบังชื่อแซ่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั่วไปเท่านั้น ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาล้วนชอบฟังวิชาที่เขาสอน เพราะผู้เฒ่าจะเล่าเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากตำราและความรู้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้เห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นความลี้ลับมหัศจรรย์ของสำนักประพันธ์และพื้นที่มงคลกระดาษขาว เพียงแต่ว่าอาจารย์ของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่กลับไม่ค่อยชอบอาจารย์ผู้เฒ่าเกาที่ ‘ไม่ทำการทำงาน’ ผู้นี้เท่าไหร่นัก ด้วยรู้สึกว่าการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ของเขาไม่เข้มงวดมากพอ เลื่อนลอยและขอไปทีมากเกินไป ทว่าเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายยังไม่เคยเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์สอนหนังสือของต้าหลีที่อยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่จึงได้แต่เลิกคิดเล็กคิดน้อย

ในศาลาไพศาลเหลืออยู่แค่รองเจ้าขุนเขาสองท่านที่มาจากสำนักศึกษาต่างกัน เฉิงสุ่ยตงมองดูคล้ายกำลังพูดคุยเรื่องในวันวานกับเหมาเสี่ยวตงด้วยถ้อยคำที่ไร้ความยำเกรง

เจียวเฒ่าเล่าเรื่องมากมายของสำนักศึกษาให้เหมาเสี่ยวตงฟัง แล้วก็พูดถึงเฉินผิงอันของภูเขาลั่วพั่ว หนึ่งในนั้นคือพูดเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันมาขอร้องให้ชายหญิงต่างถิ่นคู่หนึ่งมาพักอยู่ในสำนักศึกษา ไม่ได้ฝากให้เว่ยป้อนำความมาบอกแก่สำนัก แต่มาเยือนด้วยตัวเอง ขอร้องให้เขาที่เป็นรองเจ้าขุนเขาช่วยเหลือ

เหมาเสี่ยวตงพูดหน้าเคร่ง “ในที่สุดก็พอจะเข้าใจหลักการการอยู่ร่วมโลกกับคนอื่นบ้างแล้ว”

เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

บนยอดเขาของภูเขาพีอวิ๋น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีทอดสายตามองไปไกล ชื่นชมทัศนียภาพของกลุ่มขุนเขาอยู่ด้วยกัน

พวกเขาก็คือหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตและนักพรตหญิงเรือนเตาซือหลิ่วป๋อฉี

หลิ่วชิงซานเอ่ย “ไปถึงเมืองหลวงต้าหลีและมหาสมุทรใหญ่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะนะ? พวกเรากลับไปพบท่านพ่อ กลับไปพบพี่ใหญ่ของข้าด้วยกัน”

หลิ่วป๋อฉีพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำเล็กน้อย

ตามคำสัญญาแรกเริ่มสุด วันที่เดินทางกลับไปถึงบ้านเกิด ก็คือวันที่พวกเขาสองคนจะแต่งงานกัน

ในสายตาของนาง บัณฑิตหลิ่วชิงซานก็คือภูเขาเขียวลูกหนึ่งที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งสี่ฤดูกาล ภูเขาเขียวที่มีชีวิตชีวากว้างใหญ่ไพศาล น้ำวสันตฤดูกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น

เขามีความรู้ความสามารถ เขาเป็นห่วงบ้านเมืองเป็นห่วงปวงประชา เขาปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ เขาคือปัญญาชนผู้งามสง่า…ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย

แต่ตนกลับเป็นผู้ฝึกตนที่หน้าตาธรรมดา รู้จักแต่การรบราเข่นฆ่า พูดจาไม่สุภาพอ่อนหวาน ดื่มชาเหมือนดื่มสุรา ไม่เป็นพิณ หมากล้อม พู่กันหรือวาดภาพ ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางจะมีแต่ข้อบกพร่อง

อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางท่องเที่ยวร่วมกันมานี้ นางเป็นกังวลตลอดเวลาว่าการจากลาในอนาคตที่จะเกิดขึ้น จะไม่ใช่วันที่หลิ่วชิงซานซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแก่ตายไป

แต่เป็นวันใดวันหนึ่งที่จู่ๆ หลิ่วชิงซานก็เบื่อหน่ายนาง รู้สึกว่าแท้จริงแล้วนางไม่มีค่าพอให้เขาชอบไปตลอดจนกระทั่งเส้นผมขาวโพลน

หลิ่วป๋อฉีกลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด

จนกระทั่งมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วประโยคนั้นของอาจารย์ผู้เฒ่าจูช่วยคลายปมในใจของนาง

‘ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม คาดว่าภูเขาเขียวคงมองข้าเช่นนี้ดุจเดียวกัน’ (ภูเขาเขียวภาษาจีนคือชิงซาน ตรงกับชื่อของหลิ่วชิงซาน)

ข้าหลิ่วป๋อฉีมองหลิ่วชิงซานอย่างไร ชื่นชอบหลิ่วชิงซานมากแค่ไหน หลิ่วชิงซานก็จะมองข้าเช่นนั้น แล้วก็จะชอบข้ามากเท่านั้น

แต่หลิ่วป๋อฉีก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง นางจึงปลุกความกล้าของตัวเอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังอดตื่นเต้นมากไม่ได้ นางกำด้ามดาบเทพเจ้าจิ้งดาบพกที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่น หันหน้ามาถาม “ชิงซาน ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าห้ามรู้สึกว่าข้าโง่ ยิ่งห้ามหัวเราะเยาะข้า…”

เพียงแต่ไม่รอให้หลิ่วป๋อฉีเอ่ยต่อ หลิ่วชิงซานก็กุมมือข้างที่กุมดาบของนางเอาไว้ด้วยสองมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าในสายตาของข้า เจ้างดงามแค่ไหน เป็นความงดงามที่แม้แต่ตัวเจ้าเองก็จินตนาการไม่ถึง”

หลิ่วป๋อฉีก้มหน้าลงน้อยๆ แพขนตาขยับไหวเบาๆ

หลิ่วชิงซานเอ่ยเสียงเบา “ต้องโทษข้า ข้าควรบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้ หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ผู้เฒ่าจูเอ่ยเตือน ปลุกให้คนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ข้าอาจจะบอกเจ้าช้ากว่านี้ อาจจะต้องรอให้กลับไปถึงสวนสิงโตเสียก่อน ถึงจะบอกความในใจให้เจ้าฟัง”

หลิ่วป๋อฉีเงยหน้า เมื่อปมในใจถูกคลายออก สายตาของนางก็ไม่เหลือความเขินอายอีกต่อไป มีเพียงริ้วแดงบางๆ ที่ยังคงค้างอยู่บนใบหน้าที่แสดงให้รู้ถึงคลื่นกระเพื่อมในหัวใจของนางก่อนหน้านี้

หลิ่วป๋อฉีเอ่ยเบาๆ “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจูต้องตกต่ำกลายมาเป็นคนเฝ้าบ้านให้เฉินผิงอัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

หลิ่วชิงซานหลุดหัวเราะพรืด

นึกอยากจะช่วยพูดแทนเฉินผิงอันสักสองสามประโยค เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้เฒ่าจูขึ้นมาได้

แค่ไม่ยอมถอยให้ในเรื่องที่เป็นความผิดมหันต์ก็พอแล้ว ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะยังต้องเอาหลักเหตุผลมาแย้งกับสตรีที่รักไปไย? เจ้าแต่งภรรยาเข้าบ้าน หรือคิดจะเป็นอาจารย์ที่รับลูกศิษย์เข้าสำนักกันแน่

สือหลิงซานที่สับสนมึนงงเริ่มรู้สึกเลอะเลือน ราวกับว่าถูกศิษย์พี่คนนี้เอาดินเหลืองมาป้ายหน้าอย่างไรอย่างนั้น

สือหลิงซานหันหน้ากลับไปมองในร้าน ศิษย์พี่หญิงยืนอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน กำลังเขย่งเท้าเอื้อมไปหยิบของในชั้นวางยาสมุนไพร ในร้านมีสมุนไพรบางอย่างที่สามารถกินได้โดยตรงเลย

พอศิษย์พี่หญิงเขย่งเท้า เอวยืดขึ้น เรือนร่างก็ยิ่งอรชรเข้าไปอีก

สือหลิงซานหันหน้ากลับมาโดยเร็ว นั่งแปะกลับไปที่ขั้นบันไดอีกครั้ง

ชื่อจริงของศิษย์พี่หญิงคือซูเตี้ยน ชื่อเล่นคือแยนจือ ว่ากันว่าในอดีตความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศิษย์พี่หญิงก็คือเปิดร้านเล็กๆ ขายเครื่องประทินโฉมแห่งหนึ่ง ชื่อของนางได้ท่านอาเป็นคนตั้งให้ ชื่อเล่นก็เป็นท่านอานางที่เรียก เป็นชื่อที่ตั้งอย่างไม่เอาใจใส่เสียเลย

และเวลานี้เองก็มีเด็กหนุ่มสะพายห่อสัมภาระคนหนึ่งวิ่งมาจากทางฝั่งของเมืองเล็ก

เจิ้งต้าเฟิงลูบหน้าตัวเอง จบกัน ต้องมาเจอกับเจ้าลูกกระต่ายที่ใจจืดใจดำมาตั้งแต่เด็กผู้นี้อีกแล้ว ย้อนนึกถึงในอดีต กี่ครั้งกันที่เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาต้องถูกพี่สะใภ้ว่าร้ายใส่ความอย่างอยุติธรรม?

หลี่ไหววิ่งมาถึงหน้าประตูร้านก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “โอ้โหแหะ นี่ไม่ใช่ต้าเฟิงหรอกหรือ มานั่งอาบแดดหรือไร เมียเจ้าล่ะ บอกพวกอาซ้อว่าอย่ามัวไปแอบอยู่เลย รีบออกมาพบข้าเถอะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแต่งเมียได้ตั้งเจ็ดแปดคน ได้ดิบได้ดีนักล่ะ!”

พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องแทงใจดำกันเสียนี่

เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไปไกลๆ เลย!”

หลี่ไหวหัวเราะร่าพลางวิ่งเข้าไปในร้านยา เขาวิ่งตรงไปที่เรือนด้านหลัง ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “ตาเฒ่าหยาง ตาเฒ่าหยาง เจ้าเดาดูสิว่าข้าเอาอะไรมา?!”

หยางเหล่าโถวที่นั่งอยู่ในเรือนด้านหลังเงยหน้าขึ้นมองหลี่ไหว

หลี่ไหวปลดห่อสัมภาระนั่นลงจากหลัง แล้วก็วิ่งฉิวเข้าไปในห้องหลักที่ทั้งเจิ้งต้าเฟิง ซูเตี้ยนและสือหลิงซานต่างก็มองเป็นพื้นที่ต้องห้ามโดยตรง จากนั้นก็โยนห่อสัมภาระลงบนเตียงของหยางเหล่าโถวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วถึงได้ออกจากห้อง วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว หยิบโถใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “ยาสูบชั้นเยี่ยมที่ซื้อมาจากร้านร้อยปีของเมืองหลวงต้าสุย! หนึ่งตำลึงต้องจ่ายถึงแปดเฉียนเชียวนะ ยอมหรือไม่?! ต้องถามว่าเจ้ากลัวหรือไม่ดีกว่า วันหน้าเวลาสูบยาจะต้องคิดถึงความดีของข้า พ่อข้า แม่ข้า พี่สาวข้าก็ห้ามลืมเด็ดขาดเชียว!”

เด็กหนุ่มยื่นโถยาสูบใบนั้นส่งไปให้ เขาชูมือสองข้างขึ้น ยื่นนิ้วออกมาแปดนิ้วแล้วแกว่งส่ายให้ดู

เจิ้งต้าเฟิงยกม้านั่งมานั่งในเรือนด้านหลัง รอชมงิ้ว

สือหลิงซานก็ตามมาด้วย สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเจ้าเด็กนี่โผล่มาจากไหน เหตุใดถึงไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ หากกับแค่เจิ้งต้าเฟิงก็ช่างเถิด แต่นี่แม้แต่กับอาจารย์ของตนก็ยังไร้ความเคารพยำเกรงด้วย

ซูเตี้ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมายืนอยู่ตรงผ้าม่านไม้ไผ่เช่นกัน

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!