บนใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของหยางเหล่าโถวปรากฏเป็นรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก ทว่าปากกลับไม่ได้เอ่ยคำพูดดีๆ อะไรออกมา “ทิ้งยาสูบเอาไว้ ส่วนคนไสหัวไป เจ้าลูกกระต่าย อายุยังไม่มาก แต่ไม่ยอมสวมกางเกงเปิดก้นแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าเวลาขี้เยี่ยวจะลำบากหรือไร?”
หลี่ไหววิ่งตุปัดตุเป๋ไปอยู่ด้านหลังของผู้เฒ่า แล้วเงื้อฝ่ามือฟาดลงบนท้ายทอยของหยางเหล่าโถว “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง แน่จริงก็พูดจาเหลวไหลชวนให้ฟ้าผ่าพวกนี้ต่อหน้าท่านแม่ของข้าสิ? อยากโดนซ้อมหรือไง?”
หยางเหล่าโถวกลับไม่โกรธ เพียงแค่ยัดยาสูบลงกระบอกอย่างคล่องแคล่วแล้วเริ่มพ่นควันโขมง แต่จากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดทะมึน ถ่มน้ำลายดังเพ้ย ด่าว่า “กลับไปเมื่อไหร่ไปทุบป้ายของร้านนั้นทิ้งเลย ของห่วยแตกอะไรอย่างนี้ ไม่คู่ควรกับราคาเลยสักนิด”
หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าไม่กล้าหรอก สมบัติพิทักษ์ร้านราคาแปดเฉียนหนึ่งตำลึงแบบนั้น ข้าซื้อไม่ไหว ยังวางอยู่ในร้านนั่นแหละ ข้าเองก็อยากซื้อ แต่เขาไม่ขายนี่นา ข้าก็เลยพยายามอย่างสุดความสามารถ ซื้อไอ้ที่ถูกกว่ามาให้เจ้า ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนักอย่างไรเล่า พกยาสูบพวกนี้มา ข้าต้องเดินทางมาไกลแค่ไหน? ตาเฒ่าหยางที่ชอบอยู่ในโปงผ้าห่มไม่ขยับตัวอย่างเจ้า ไหนเลยจะรู้ว่าพันภูเขาหมื่นแม่น้ำนั้นยาวไกลเท่าไหร่กันแน่? ตาเฒ่าหยาง ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าจริงๆ นะ แต่เจ้าควรฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีเรี่ยวแรงออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเสียบ้าง วันๆ เอาแต่อุดอู้อยู่ในนี้ หากวันใดออกไปนอกบ้านแล้วเห็นหญิงชราที่ถูกใจขึ้นมา นั่นก็เยี่ยมไปเลย ฟืนแห้งไฟแรง ข้าคงจะได้ดื่มเหล้ามงคลจากเจ้าแล้วสินะ?”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองหลี่ไหว กำลังจะเปิดปากด่าคน
หลี่ไหวกลับใช้สองมืออุดหู โคลงศีรษะพูดว่า “ตะพาบเฒ่าหยางเหล่าชอบท่องคัมภีร์ นายท่านใหญ่หลี่ไหวไม่ฟังๆ”
ภาพนี้ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงที่มองดูอยู่หนังตาและมุมปากกระตุกสั่น
หลายปีมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงด่าทอของพี่สะใภ้และไม่ได้เห็นหลี่ไหวเดินฉี่ไปทั่ว
ซูเตี้ยนและสือหลิงซานก็ยิ่งใจสั่น เด็กหนุ่มยังกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางแข็งแรงมีชีวิตชีวาผู้นี้เป็นเทพเจ้าจากฝ่ายไหนกันแน่
ถึงอย่างไรตอนนี้สือหลิงซานก็รู้เพียงว่าในเมืองเล็ก ตัวเองมีเพียงศิษย์พี่ที่เป็นชายโสดขึ้นคานอย่างเจิ้งต้าเฟิงคนเดียว ส่วนหลี่เอ้อร์นั้น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทว่าเด็กหนุ่มชุดลัทธิขงจื๊อที่ไม่รู้ความเป็นมาผู้นี้ก็ช่างกล้าพูดเสียจริง
สือหลิงซานรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงไม่มีความกล้านี้
นี่ยังเป็นเพราะสือหลิงซานอายุน้อย ไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ของร้านยาในปีนั้นมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากกว่านี้
ปีนั้นตอนที่หลี่เอ้อร์ยังเป็นลูกจ้างอยู่ในร้านยา หลี่ไหวก็ชอบมาเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งอยู่ที่นี่ พอเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจก็งอแงลงไปชักดิ้นชักงอ จนร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน พอกลับบ้านไป ขอแค่ท่านแม่ของเขาเห็นเข้าก็จะต้องเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด ทั้งเสียดายเสื้อผ้า แล้วก็ยิ่งสงสารบุตรชายที่ตัวสกปรกมอมแมม จึงมักจะพาบุตรชายมาที่นี่แล้วร้องด่า ด่าฟ้าด่าดิน ไม่มีอะไรที่นางด่าไม่ได้ นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ตอนที่หลี่ไหวยังสวมกางเกงเปิดก้น ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากกลั้นฉี่ไม่อยู่ก็จะเดินฉี่ไปทั่วเรือนด้านหลังของหยางเหล่าโถว
แม้แต่น้ำเต้าตันที่ต่อให้เอาไม้แปดท่อนตีก้นก็ยังไม่ยอมผายลม (เปรียบเปรยถึงคนที่เงียบขรึม พูดไม่เก่ง) อย่างหลี่เอ้อร์ก็ยังรู้สึกผิดต่ออาจารย์ ต้องเปิดปากขอโทษอาจารย์ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพียงแต่ว่าหยางเหล่าโถวไม่เคยถือสาก็เท่านั้น หลี่เอ้อร์จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย อย่างมากสุดหยางเหล่าโถวก็จะหยิบกระบอกยาสูบมาตีเจ้าลูกกระต่าย เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นทีหนึ่ง หลี่ไหวเองก็แปลก หากสะดุดล้มหรือทำให้ตัวเองเจ็บตัวจะต้องร้องไห้จนแผ่นดินแตกแยกภูเขาสะเทือน แต่หากถูกหยางเหล่าโถวด่าหรือหยิบกระบอกยาสูบมา ‘ตี’ เขากลับไม่เคยจดจำความแค้น ยังหัวเราะชอบอกชอบใจ แน่นอนว่าหากเล่นจนตัวเองเหนื่อยแล้วถึงจะยอมหยุดแต่โดยดี ไปยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งอยู่ด้านข้าง เอามือเท้าคางมองหยางเหล่าโถวนั่งพ่นควัน มองทีก็มองได้เป็นครึ่งๆ วัน
หลี่ไหวนั่งยองอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว พูดเบาๆ อยู่ข้างหูผู้เฒ่า “ตาเฒ่าหยาง เจ้ามีสมบัติสืบทอดที่มีมูลค่ามอบให้ข้าสักสองสามชิ้นบ้างไหม? ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเจ้าไม่คิดจะแต่งงานมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยกให้ข้าเถอะ จะยกให้ช้าหรือเร็วก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ส่วนที่เก็บไว้ให้เจ้ามีอยู่สองสามชิ้นจริง แต่เอาไว้ค่อยพูดกันวันหน้า”
หลี่ไหวถอนหายใจเฮือกๆ “อย่าช้าเกินไปนะ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าวันใดพี่สาวข้าต้องแต่งงานมีสามี บ้านของเรายากจน ไม่แน่ว่านางอาจจะถูกว่าที่แม่สามีดูแคลน ข้าคงต้องอาศัยเจ้ามากอบกู้ศักดิ์ศรีแล้ว”
หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก
หลี่ไหวหันขวับกลับมา “ตาเฒ่าหยาง วันหน้าสูบยาให้น้อยๆ หน่อยเถอะ อายุตั้งปูนนี้แล้ว ไม่รู้จักรักษาสุขภาพซะบ้าง ต้องกินอาหารรสจืดให้มาก ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆ วันๆ เอาแต่อุดอู้รอความตายอยู่ในนี้ ข้าว่าดูจากร่างกายเจ้าแล้วก็ยังแข็งแรงดี ปีนเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรก็น่าจะไม่มีปัญหา เอาเถอะ คุยกับเจ้านี่น่าเบื่อที่สุดเลย ไปล่ะ ในห่อสัมภาระล้วนเป็นเสื้อผ้า รองเท้าผ้าที่ซื้อมาใหม่ เปลี่ยนใส่ซะด้วยล่ะ”
หลี่ไหวนึกจะไปก็ไป
แน่นอนว่ายังไม่ลืมด่าเจิ้งต้าเฟิงไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยลาสือหลิงซานและซูเตี้ยน
ใครใกล้ชิดใครห่างเหิน แสดงให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่ง เพียงแค่ว่าสลับตำแหน่งกันก็เท่านั้น
……
วัดร้างห่างจากหมู่บ้านวารีกระบี่แคว้นซูสุ่ยไปประมาณระยะทางภูเขาเจ็ดร้อยลี้
ปีนั้นเดินเท้า แน่นอนว่าย่อมช้า เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่เดินทางก็เร็วอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้ตรงไปที่หมู่บ้าน หรือแม้แต่เมืองเล็กที่เจริญรุ่งเรืองก็ไม่ได้ไป ยังอยู่ห่างอีกประมาณร้อยกว่าลี้ เฉินผิงอันก็บังคับกระบี่ให้ลดระดับลงบนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง ก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำที่อยู่เบื้องหน้าก่อน จึงพอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง ไม่เพียงแค่ภูเขาเขียวน้ำใสเท่านั้น ยังมีไอเมฆไอหมอกล่องลอยบางเบา ประหนึ่งมีผ้าคลุมบางๆ ปกคลุมยอดเขาหนึ่งในนั้นเอาไว้ เฉินผิงอันเพิ่งจะพลิ้วกายลงบนยอดเขาและเก็บกระบี่กลับเข้าฝักก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าจะเป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ปรากฏตัว ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน เรียกเขาคำหนึ่งว่าเซียนซือ
เฉินผิงอันปลดงอบลง รีบกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มกล่าวว่า “ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ท่านเทพแห่งผืนดินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ประเพณีนิยมของบ้านเกิดอย่างเขตการปกครองหลงเฉวียน หลังจากที่ญาติตายไปจะต้องเลือกภูเขาที่ตั้งสุสานแล้วเริ่มทำการขุดหลุมฝังศพ ซึ่งนี่จำเป็นต้องใช้ก้อนหินวางทับกระดาษเงินแล้วนำไปวางตรงตำแหน่งที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วบนภูเขา ถือว่าเป็นการเช่าภูเขาจากเทพแห่งผืนดิน นับตั้งแต่ยกโลงไปจนเอาโลงลงดิน ระหว่างทางที่เดินไปจะต้องโปรยกระดาษเงิน ตามคำบอกของคนเฒ่าคนแก่ในอดีต นี่ก็คือการใช้เงินซื้อทางนำพาญาติที่ตายไปให้สามารถผ่านด่านประตูผีและผ่านเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองได้อย่างราบรื่นโดยผ่านทางเทพแห่งผืนดิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!