ในอดีตกลุ่มภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกไร้เงาผู้คน มีเพียงคนตัดฟืนที่จะมาเผาถ่านและช่างปั้นที่มาขุดดินเท่านั้นที่เข้าออกที่แห่งนี้ ตอนนี้จวนตระกูลเซียนแต่ละแห่งกลับยึดครองภูเขา และยิ่งมีท่าเรือตระกูลเซียนอย่างภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่ เฉินผิงอันจึงเห็นเด็กในพื้นที่ของเมืองเล็กพากันถือถ้วยข้าวมานั่งยองอยู่บนกำแพง แหงนหน้ารอดูเรือข้ามฟากบินผ่านไปไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว ทุกครั้งที่พบเห็นเรือข้ามฟากโดยบังเอิญ พวกเขาจะต้องหวีดร้องเสียงดัง ลิงโลดอย่างถึงที่สุด
บนเส้นทางภูเขาที่ย้อนกลับภูเขาลั่วพั่วในครั้งนี้ เฉินผิงอันกับเผยเฉียนได้เจอกับขบวนรถของเซียนซือกลุ่มหนึ่งที่จะไปเยือนยอดเขาอีไต้
การที่มาสร้างถ้ำสถิตลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ มีข้อหนึ่งที่ไม่ดี นั่นก็คือหร่วนฉงตั้งกฎไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนคนใดทะยานลมเดินทางไกลอย่างกำเริบเสิบสาน แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป หลังจากที่หร่วนฉงก่อตั้งสำนักกระบี่หลงเฉวียน ไม่ได้เป็นเพียงแค่อริยะที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่อีกต่อไป แต่เริ่มแตกกิ่งก้านสาขา ต้องมีการไปมาหาสู่กับเจ้าสำนักของสำนักต่างๆ จึงเริ่มมีการคลายกฎเล็กน้อย เขาให้ลูกศิษย์ที่เป็นเซียนดินโอสถทองอย่างต่งกู่รับผิดชอบเลือกเส้นทางในการทะยานลมสองสามเส้น จากนั้นก็ต้องมาขอป้ายห้อยเอวที่เป็น ‘ป้ายผ่านด่าน’ ลักษณะเป็นกระบี่เหล็กขนาดจิ๋วจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน จึงจะสามารถเข้าออกจากพื้นที่มงคลหลีจูได้อย่างเสรีกว่าเดิมเล็กน้อย เพียงแต่ว่ากองกำลังตระกูลเซียนหลายสิบกลุ่มที่ยังอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนจนถึงทุกวันนี้ คนที่ได้ครอบครองกระบี่เหล็กเล่มเล็กนั้นก็ยังมีน้อยนิดเพียงหยิบมือเดียว ไม่ใช่ว่าสำนักกระบี่หลงเฉวียนตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร แต่คนที่หลอมกระบี่ไม่ใช่หร่วนฉง แล้วก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของเขา แต่เป็นหร่วนซิ่วบุตรีโทนของเขา ความเร็วในการหลอมกระบี่ออกจากเตาของแม่นางหร่วนซิ่วผู้นั้นช้ามาก อืดอาดอย่างถึงที่สุด ปีหนึ่งถึงจะหลอมออกมาได้หนึ่งเล่ม เพียงแต่ว่าใครเล่าจะกล้าไปเร่งรัดนาง? ต่อให้หน้าหนาพอ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีความกล้ามากพอ ตอนนี้บนภูเขามีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่มา บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนหน่วยจานกานของต้าหลีที่หลางจงกองบวงสรวงแห่งกรมพิธีการต้าหลีเป็นผู้นำกลุ่มได้เดินทางลงใต้ไป ‘ใช้เหตุผล’ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน แม่นางซิ่วซิ่วก็แทบจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวสยบทุกอย่างให้ราบคาบ
ตอนนั้นสำนักตระกูลเซียนที่ควักเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเลือกสถานที่ตั้งเป็นยอดเขาอีไต้มีศาลบรรพจารย์ของสำนักตั้งอยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียงอันเป็นที่ตั้งของภูเขาเมฆาเรือง ถือว่าอยู่ลำดับล่างของกองกำลังลำดับสองบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นสถานการณ์ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ใคร่จะดี ใช่ว่าสำนักแห่งนี้ไม่อยากย้ายออก แต่เป็นเพราะตัดใจทิ้งเงินเทพเซียนที่ใช้บุกเบิกจวนก้อนนั้นไม่ลงจริงๆ ไม่อยากให้มันละลายหายไปกับสายน้ำทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งของศาลบรรพจารย์ที่เป็นเซียนดินโอสถทองซึ่งเหลือเพียงหนึ่งเดียวบนภูเขา ตอนนี้ก็ได้มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนยอดเขาอีไต้ ข้างกายมีเพียงแค่ศิษย์ลูกศิษย์หลานสิบกว่าคน รวมไปถึงบ่าวรับใช้บางส่วน ผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ไม่ปรองดองกับเจ้าขุนเขา ทางสำนักทำเช่นนี้ เดิมทีก็เพราะคิดอยากจะส่งบรรพจารย์ที่นิสัยดึงดันถือทิฐิท่านนี้ให้ออกไปจากสำนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาคอยไปวางมาดอยู่ในศาลบรรพจารย์ เป่าหนวดถลึงตา ทำเอาเหล่าเด็กรุ่นหลังของสำนักไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เฉินผิงอันเดินอย่างไม่รีบร้อน ทว่าฝีเท้าของขบวนรถม้ากลับไม่ช้า เขาจึงพาเผยเฉียนหลีกทางให้ คิดไม่ถึงว่าขบวนรถจะหยุดตามไปด้วย
ขบวนรถมีรถม้าสองคัน มีคนยี่สิบกว่าคน ผู้ที่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาอีไต้มีแค่สามคนเท่านั้น ที่เหลือล้วนเป็นนักการและข้ารับใช้ของบนยอดเขา
มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งและผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามสองคนแยกกันเดินลงมาจากรถม้า สตรีคนหนึ่งในนั้นกอดลูกจิ้งจอกขาวที่ขดตัวอย่างเกียจคร้านไว้ในอ้อมอก
ผู้ฝึกตนหนุ่มคือหนึ่งในผู้สืบทอดของบรรพจารย์แห่งยอดเขาอีไต้ เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เป็นฝ่ายทักทายก่อนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าคือซ่งหยวนแห่งยอดเขาอีไต้ ก่อนหน้านี้อาจารย์พาข้าไปเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ข้ายืนค่อนไปทางด้านหลัง บางทีเจ้าขุนเขาเฉินอาจจำไม่ได้”
คำพูดประโยคนี้กล่าวได้อย่างลื่นไหลน่าฟัง ไม่ชวนให้คนดูแคลนแม้แต่น้อย
อันที่จริงเฉินผิงอันจำซ่งหยวนได้ เดิมทีเขาก็ความจำดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่คนประเภทที่จมูกเชิดขึ้นฟ้า ขนาดชุ่ยอิ๋งแห่งหอชิงฝูของปีนั้นยังจำได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนดินโอสถทองที่ได้อยู่บนยอดเขาข้างเคียงเลย ในความเป็นจริงแล้ววันนั้นที่เซียนดินยอดเขาอีไต้มาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ซ่งหยวนไม่เพียงแต่ไม่ได้ยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง กลับกันคือศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงของเขาต่างหากที่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนซ่งหยวนนั้นยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย จึงได้รับความรักและเอ็นดูมากสุด ขนาดฮ่องเต้ยังรักบุตรชายคนเล็ก ก็คือหลักการเดียวกันนี้
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มถามว่า “เซียนซือเสี่ยวซ่งเพิ่งกลับมาจากด้านนอกหรือ?”
ซ่งหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บนยอดเขาอี้ไต้ก็มีอาจารย์อาที่แซ่ซ่งเหมือนกัน ดังนั้นการที่เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วท่านนี้เรียกเขาว่าเซียนซือเสี่ยวซ่ง (เสี่ยวแปลว่าน้อย เล็ก เซี่ยวซ่งก็คือซ่งน้อย/ซ่งเล็ก) ตั้งแต่คำแรกที่เปิดปาก ก็ถือว่ามีความพิถีพิถันและชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง
ซ่งหยวนพยักหน้ารับ “ข้ากับศิษย์น้องหลิวเพิ่งกลับมาจากการร่วมงานพิธีที่ภูเขาเมฆาเรือง ตอนนั้นก็มีสหายคนหนึ่งที่เข้าร่วมงานพิธีเหมือนกัน ได้ยินมาว่าพื้นที่มงคลหลีจูของพวกเราคือสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดีซึ่งปลูกฝังให้เกิดอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากของทวีป จึงอยากจะมาเที่ยวชมเขตการปกครองหลงเฉวียนของพวกเรา ก็เลยกลับมาพร้อมข้าและศิษย์น้องหลิวด้วย”
ซ่งหยวนก้าวถอยหลังเล็กๆ สองก้าวอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ครั้นจึงผายมือไปทางผู้ฝึกตนหญิงสองคนนั้น “จะแนะนำให้เจ้าขุนเขาเฉินได้รู้จัก ผู้นี้คือศิษย์น้องหลิว คือหลานสาวที่อาจารย์ของข้ารักและเอ็นดูมากที่สุด เจ้าขุนเขาเฉินเรียกนางว่ารุ่นอวิ๋นก็แล้วกัน ส่วนผู้นี้คือเทพธิดาโจวจากอารามชิงเหมยแห่งทะเลสาบหนันถัง เป็นสหายสนิทของศิษย์น้องหลิวของข้า พวกเราเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนของสกุลเฉิน คิดว่าจะไปเที่ยวชมสำนักศึกษาหลินลู่บนยอดเขาพีอวิ๋น แล้วค่อยกลับไปที่ยอดเขาอีไต้”
เฉินผิงอันเรียกพวกนางว่าแม่นางหลิว เทพธิดาโจว จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ถ่วงเวลาการเดินทางของเซียนซือเสี่ยวซ่งแล้ว”
ซ่งหยวนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้จงใจชวนคุยต่อ พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ผู้ฝึกตนบนยอดเขา ขอแค่เลื่อนขั้นไปถึงตระกูลเซียนห้าขอบเขตกลางที่ถือว่าอยู่กึ่งกลางภูเขา ส่วนใหญ่ก็ล้วนมีจิตใจที่เย็นชาไร้ความปรารถนา ไม่ยินดีจะสัมผัสกับเรื่องราวทางโลกมากนัก ในเมื่อเฉินผิงอันไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว ซ่งหยวนจึงไม่เปิดปากพูด ต่อให้ซ่งหยวนจะรู้ว่าเทพธิดาโจวจากอารามชิงเหมยที่อยู่ข้างกายจะส่งสายตาให้เขา ซ่งหยวนก็แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!