บนชั้นสอง ผู้เฒ่าชุยเฉิงยังคงเปลือยเท้าอยู่ดังเดิม เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่หลับตาพักผ่อน ตั้งกระบวนท่าหมัดแปลกตาที่เฉินผิงอันไม่เคยพบเห็นมาก่อน ฝ่ามือข้างหนึ่งกำเป็นหมัด อีกข้างหนึ่งแบออก หนึ่งอยู่สูง หนึ่งอยู่ต่ำ เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนท่ายืนของผู้เฒ่า เขาปลดงอบลง ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ปลดเจี้ยนเซียนลงด้วย ก่อนจะนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง
ชุยเฉิงลืมตาขึ้น ยังคงไม่เปลี่ยนท่า เอ่ยเนิบช้าว่า “วิชาหมัดใต้หล้านี้ล้วนหนีไม่พ้นแข็งแกร่งกับนุ่มนวล วิชาหมัดของข้าเรียกได้ว่าแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ปีนั้นที่เดินทางท่องเที่ยวไปสี่ทิศ เจอวิชาหมัดที่นุ่มนวลมาไม่น้อย แต่ไม่เคยมีวิชาหมัดไหนที่คู่ควรกับคำว่านุ่มนวลอย่างถึงที่สุดมาก่อน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “นอกจากตำราหมัดและกระบวนท่าแล้ว จิตใจก็ต้องสอดคล้องด้วย เมื่อเทียบกับวิชาหมัดของผู้อาวุโส หากไม่แข่งขันด้านความสูงต่ำของวิชาหมัด ความหนักเบาของปณิธานหมัดของทั้งสองฝ่าย คิดแต่จะฝึกให้ได้ถึงขอบเขตนุ่มนวลถึงขีดสุด น่าจะยิ่งยากเข้าไปอีก ลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่ฝึกตนอยู่บนภูเขายินดีเปลี่ยนมาฝึกหมัด ความเป็นได้ไปอาจมากกว่าหน่อย แต่กลับยากมากๆ ที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในยุทธภพจะทำได้ กระบวนท่าเริ่มจากล่างสู่บน ปณิธานเริ่มจากในสู่นอก หากสภาพจิตไปไม่ถึงก็อย่าหวังว่าจะเดินไปถึงยอดเขา”
ชุยเฉิงเก็บท่าหมัด พยักหน้ากล่าวว่า “พูดอย่างนี้นับว่าพอถูไถไปได้ ดูท่าแล้วความสามารถในการบรรลุสัจธรรมแห่งหมัดของเจ้าจะดีกว่าเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้นเล็กน้อย”
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว คิดจะได้ฟังประโยคยาวๆ จากผู้เฒ่าสักประโยคหนึ่ง ระดับความยากนั้น เกรงว่าคงพอๆ กับปีนั้นที่เจิ้งต้าเฟิงได้คุยกับหยางเหล่าโถวเกินสิบคำ
ชุยเฉิงขยับตัวนั่งลง จ้องมองไปยังคนหนุ่มนิ่งๆ
หลังกลับมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน ผ่านการป้อนหมัดอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ บวกกับการเดินทางท่องเที่ยวผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมารอบหนึ่ง จึงไม่ได้มีสภาพอิดโรยสองข้างแก้มซูบตอบเหมือนเดิมอีกแล้ว เพียงแต่ว่าสายตาคือจุดศูนย์รวมจิตวิญญาณของคน สายตาของคนหนุ่มค่อนข้างจะลึกล้ำไปสักหน่อย ประหนึ่งบ่อน้ำมืดลึก หากไม่ใช่บ่อน้ำแห้งขอดที่มีเพียงความมืดดำ ก็เป็นบ่อน้ำที่น้ำเปี่ยมล้นจนยากที่จะมองเห็นทะลุไปถึงก้นบ่อได้
ชุยเฉิงเอ่ยถาม “หากมอบโอกาสให้เจ้าอีกครั้ง กาลเวลาหมุนย้อนกลับ สภาพจิตใจไม่แปรเปลี่ยน เจ้าควรจะจัดการกู้ช่านอย่างไร? ฆ่าหรือว่ายังคงไม่ฆ่า?”
เฉินผิงอันตอบ “ยังคงไม่ฆ่า”
ชุยเฉิงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงไม่ฆ่า? ฆ่าไปก็ไม่ละอายใจต่อฟ้าดิน ความอึดอัดใจที่ต้องสังหารญาติใกล้ชิดกับมือของตัวเอง ต่อให้ต้องสะกดกลั้นไว้ในใจ แต่กลับมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทำให้ในอนาคตเจ้าสามารถออกหมัดได้หนักกว่าเดิม ออกกระบี่ได้เร็วกว่าเดิม คนเรามีเพียงในใจเจ็บแค้นรุนแรงเท่านั้น ถึงจะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ว่าในใจวางมีดทื่อไว้เล่มหนึ่งแล้วนำมาใช้ขัดปณิธานให้สึกหลอ สังหารกู้ช่าน ได้ทั้งหยุดความผิดพลาด อีกทั้งยังประหยัดแรงกายแรงใจ หลังจบเรื่องเจ้าก็สามารถชดเชยแก้ไขได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป งานพิธีการทางศาสนาของทั้งสองลัทธิ กู้ช่านจะทำได้ดียิ่งกว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ? เฉินผิงอัน! ข้าถามเจ้า ทำไมคนอื่นทำชั่ว คนอื่นถึงตายภายใต้หมัดใต้กระบี่ของเจ้าได้ แต่กู้ช่านที่มีพระคุณกับเจ้าเพราะข้าวหนึ่งชาม ตำราหนึ่งเล่ม ถึงตายไม่ได้?”
น้ำเสียงและคำพูดของผู้เฒ่ายิ่งนานก็ยิ่งรุนแรง ถึงท้ายที่สุด พลังอำนาจของชุยเฉิงก็ปานประหนึ่งขุนเขาที่กดทับลงมา จุดที่ประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งๆ ที่ไม่มีปณิธานหมัดใดๆ อยู่บนร่างของชุยเฉิง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเลย ตอนนี้เขาไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ กลับเหมือนอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักศึกษาที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อนั่งอยู่อย่างสำรวมเสียมากกว่า
“ไม่ละอายใจต่อฟ้าดิน? แม้แต่เฉินผิงอันของตรอกหนีผิงก็ยังไม่ใช่แล้ว แล้วยังคู่ควรพกกระบี่ท่องไปทั่วหล้า เพื่อพูดจากับฟ้าดินแห่งนี้แทนนางอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปากคล้ายกำลังเย้ยหยัน “สังหารญาติตัวเองเพื่อผดุงคุณธรรมที่ทะเลสาบซูเจี่ยน? สังหารกู้ช่านไปแล้วก็จากมา ยากนักหรือ? ยากสิ แต่ยากเท่าสามปีที่ข้าเสียเวลาอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนงั้นหรือ? เปล่าเลย การเลือกของข้า สุดท้ายแล้วทำให้วิถีทางโลกของทะเลสาบซูเจี่ยนเปลี่ยนเป็นดีขึ้นบ้างหรือไม่? ใช่ หลังจากที่กู้ช่านมีชีวิตอยู่ต่อ ชดใช้ผลจากการกระทำชั่วร้ายที่เขาติดค้างเอาไว้ สันดานของเขาจะเปลี่ยนยาก สุดท้ายแล้วยังคงทำเรื่องชั่วช้า เป็นเหตุให้ยังกลายเป็นเรื่องร้ายเรื่องหนึ่งต่อวิถีทางโลกในอนาคตหรือไม่? ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ากำลังมองดูอยู่ ต่อให้ข้าเดินทางไกลไปถึงอุตรกุรุทวีป ทว่าก็ยังมีเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่ยังมองดู หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสีย หลิ่วเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว กวนอี้หรานแห่งนครน้ำบ่อก็ล้วนกำลังมองดูอยู่”
ผู้เฒ่ายังคงไม่พอใจกับคำตอบนี้ เรียกได้ว่ายิ่งเกิดโทสะ จึงถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล หมัดสองข้างวางไว้บนหัวเข่า เรือนกายโน้มเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย หรี่ตาพูดเสียงหนัก “ยากหรือไม่ยาก ควรจะปฏิบัติต่อกู้ช่านอย่างไร นั่นมันเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ข้าจะถามจิตดั้งเดิมของเจ้าอีกครั้ง! สรุปแล้วมีความต่างระหว่างคนใกล้ชิดกับห่างเหินหรือไม่? วันนี้เจ้าไม่ฆ่ากู้ช่าน วันหน้าเผยเฉียน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงแห่งภูเขาลั่วพั่ว หลี่เป่าผิง หลี่ไหวแห่งสำนักศึกษา หรือข้าชุยเฉิงที่กระทำเรื่องชั่วร้าย เจ้าเฉินผิงอันจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที”
ชุยเฉิงถามอีก “ถ้าอย่างนั้นข้อสงสัยของเจ้าในตอนนี้ คืออะไร?”
“หลังจากพูดคุยกับเว่ยป้อแล้วก็ลดลงไปเรื่องหนึ่ง”
เฉินผิงอันตอบอีกว่า “ดังนั้นตอนนี้จึงคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด ทำอย่างไรถึงจะฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนกระบี่”
ชุยเฉิงยังคงส่ายหน้า “เด็กเล็กสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ไม่มีทางได้ดิบได้ดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักร้อยปีพันปี ถึงเวลานั้นค่อยมาดูกันว่าใครกันแน่ที่ถูกต้อง?”
ชุยเฉิงชำเลืองตามองประตูห้องที่เฉินผิงอันไม่ได้ปิดลงคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา แล้วเอ่ยเย้ยหยันว่า “ดูจากท่าทางการเดินเข้าประตูมาของเจ้า ไม่เหมือนว่าจะมีความกล้าพอให้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้เลย”
เฉินผิงอันตบท้อง “คำพูดวางโตบางอย่าง ถึงเวลาเข้าจริงๆ หากไม่พูดก็ไม่สบายใจ”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับ “คงจะคันผิวหนังสินะ”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าใช่คนดีไหม?”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับ “ใช่”
นอกจากจะผดุงคุณธรรมเพื่อความถูกต้องแล้ว ยังมีเมตตากับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แน่นอนว่าต้องถือว่าเป็นคนดี
เฉินผิงอันถามอีก “รู้สึกว่าข้าคืออริยะผู้มีคุณธรรมหรือไม่?”
ชุยเฉิงชำเลืองตามองคนหนุ่ม “เหมือน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกห้อง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นดูท่าคนฉลาดบนโลกใบนี้จะมีมากจริงๆ”
ชุยเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างเบิกบานเป็นที่สุด ราวกับกำลังรอคอยประโยคนี้ของเฉินผิงอันอยู่
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “นักพรตเฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าวางแผนทำทุกวิถีทางเพื่อกรอกเส้นสายความรู้ให้แก่ข้า และข้าก็ยังเคยตั้งใจไปศึกษาศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธ รวมไปถึงความรู้อันเป็นรากฐานสายใหญ่ๆ หลายสายของลัทธิขงจื๊อ แน่นอนว่าเพื่อให้คลี่คลายสถานการณ์ไปได้ ก็เคยนึกถึงทฤษฎีคุณความชอบของราชครูชุยฉาน การคิดเรื่องเหล่านี้เปลืองแรงข้าอย่างมาก ข้ากล้าพูดแค่ว่าพอจะกระจ่างแจ้งบ้างในบางอย่าง แต่ก็ยังต้องพูดว่ามีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ทว่าระหว่างขั้นตอนนี้ข้ามีความคิดที่ประหลาดมากอย่างหนึ่ง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ดึงแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เอามาวางไว้บนพื้นด้านหน้า ชี้นิ้ววาดเบาๆ ลงบนตำแหน่งตรงกลางของแผ่นไม้ไผ่ “หากบอกว่าตลอดทั้งฟ้าดินก็คือ ‘หนึ่ง’ อย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นสรุปว่าวิถีทางโลกนั้นดีหรือร้ายกันแน่ สามารถพูดได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความคิดดีและความคิดชั่ว การทำดีและการทำชั่วของทุกคนที่นำมารวมกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ชักคะเย่อกันเอง? หากวันใดฝ่ายหนึ่งชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว ก็จะพลิกฟ้าพลิกดิน เปลี่ยนมาเป็นการดำรงอยู่อีกอย่างหนึ่งแทน? ดีเลว คุณธรรม ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไป ก็เหมือนกับตอนนั้นที่วิถีแห่งเทพล่มสลาย สรวงสวรรค์พังภินท์ หลังจากได้รับโชควาสนาใหญ่ที่ทำให้คงความเป็นอมตะมิเสื่อมสลายเคียงข้างฟ้าดินแล้ว เดิมทีก็เป็นการตัดขาดจากโลกีย์วิสัยโดยสิ้นเชิง คนไม่ใช่คนอีกต่อไป ฟ้าดินก็ยิ่งแปรเปลี่ยน แล้วเกี่ยวอะไรกับ ‘ข้า’ ที่เหนือล้ำนอกโลกมานานแล้ว?”
ชุยเฉิงชี้ไปที่แผ่นไม้ไผ่เล็กบางเบื้องหน้าเฉินผิงอันแผ่นนั้น “บางทีคำตอบอาจจะมีอยู่นานแล้ว ไยต้องถามคนอื่น?”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมอง บนแผ่นไม้ไผ่สีออกเหลืองเขียนประโยคหนึ่งที่เขาเป็นผู้สลักด้วยตัวเอง ‘ความแข็งแกร่งอ่อนแอในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นอยู่ที่กำลังมากน้อย ชัยชนะและความพ่ายแพ้ในช่วงเวลายาวนานนั้นอยู่ที่หลักการเหตุผล’
เฉินผิงอันพึมพำ “แต่คนธรรมดาล่างภูเขาคนหนึ่ง หรือต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา จะมีสักกี่คนที่สามารถมองเห็น ‘กาลเวลาอันยาวนาน’ นี้ ทำไมการเป็นคนดีถึงได้ยากขนาดนั้น แล้วทำไมการใช้หลักการเหตุผลต้องจ่ายค่าตอบแทน เหตุใดชีวิตนี้ถึงรันทดจนได้แต่ต้องฝากความหวังไว้ที่ชาติหน้า เหตุใดการใช้หลักการเหตุผลยังต้องอาศัยสถานะ อำนาจ ม้าเหล็ก ตบะ หมัดและกระบี่”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “คิดแล้วก็ไม่เข้าใจหรือ?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบคำถาม
ชุยเฉิงลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปยังด้านบน “คิดไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามคนที่อาจจะเข้าใจแล้ว ยกตัวอย่างซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น ซิ่วไฉเฒ่าอาศัยความรู้เต็มท้องที่เขาพูดเองว่าไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ แต่ก็สามารถเชื้อเชิญให้มรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธมานั่งลงได้ เจ้าเฉินผิงอันมีสองหมัดหนึ่งกระบี่ ไม่สู้ลองทำดูเล่า”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!