อันที่จริงเผยเฉียนยังไม่รู้สึกง่วง เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอันไล่ให้ไปนอน ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านเรือนของเฉินยวนจี ในเรือนยังคงมีเสียงออกหมัดจนอาภรณ์สะบัดดังทึบๆ ลอยมาให้ได้ยิน จูเหลี่ยนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน ยิ้มตาหยีมองมายังเฉินผิงอัน
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากัน ความสูงของร่างกายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีบุรุษทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปก็ตัวสูงอยู่แล้ว หนุ่มฉกรรจ์ของต้าหลีก็ยิ่งมีเรือนกายบึกบึนล่ำสัน แสดงให้เห็นถึงความมีพละกำลัง เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้น เสื้อเกราะและดาบศึกที่ต้าหลีสร้างขึ้นล้วนอิงตาม ‘แบบตระกูลเฉา’ และ ‘แบบตระกูลหยวน’ ต่างก็มีชื่อเสียงในด้านความหนัก หากไม่ใช่พลทหารของถิ่นทางเหนือก็ล้วนไม่อาจสวมใส่หรือพกพาได้
ตอนนี้เรือนกายของเฉินผิงอันสูงเพรียว จูเหลี่ยนก็เคยชินที่จะงอหลังค้อมเอว หากมองแค่ด้านหลังคนหนึ่งก็ราวกับฟ้า อีกคนหนึ่งราวกับดิน
เฉินผิงอันคิดว่าจะให้จูเหลี่ยนไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อนำเงินฝนธัญพืชซึ่งใช้ในการจัดงานพิธีการทางศาสนาสองลัทธิไปมอบให้กับพวกกู้ช่านเจิงเย่ จูเหลี่ยนไม่มีความเห็นต่าง ระหว่างนี้ต่งสุ่ยจิ่งก็จะติดตามไปด้วย แต่ต่งสุ่ยจิ่งจะหยุดอยู่แค่ที่นครน้ำบ่อ เพื่อไปพบปะกับกวนอี้หรานหลานชายสายตรงสกุลกวนอันเป็นเสาหลักของแคว้นเป็นการส่วนตัว จูเหลี่ยนก็ดี ต่งสุ่ยจิ่งก็ช่าง ล้วนเป็นคนที่ทำให้เฉินผิงอันวางใจให้ทำเรื่องต่างๆ คนทั้งสองเดินทางพร้อมกัน เฉินผิงอันจึงไม่จำเป็นต้องกำชับสั่งความอะไรเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้ากับจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนที่พอรับฟังแล้วก็ไม่ได้พูดจาปลงอนิจจังหรือทอดถอนใจใดๆ เพียงเอ่ยว่าเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว การกระทำของเขาก็เป็นเพียงแค่การจัดงานพิธีในเปลือกหอยเท่านั้น (เปรียบเปรยถึงการอยู่ในที่แคบๆ คล้ายสำนวนไทยว่ากบในกะลา) ตอนนี้มาอยู่ใต้หล้าไพศาลจึงไม่คิดถึงเรื่องการสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว เขาจูเหลี่ยนคงได้แต่ทำงานยิบย่อยประเภทกวาดหิมะหน้าประตูและน้ำค้างบนกระเบื้องเท่านั้น
พอมาถึงชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็บอกให้จูเหลี่ยนนั่งลงก่อน ส่วนตัวเองเริ่มเก็บสัมภาระข้าวของ วันมะรืนก็ต้องไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อขึ้นเรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่เดินทางไปกลับระหว่างนครมังกรเฒ่ากับอุตรกุรุทวีป จุดหมายก็คือ ‘สถานที่ชัยภูมิดี’ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพราะมีชื่อเสียงมากจนเฉินผิงอันเคยอ่านเจอจากในตำราเทพเซียนเล่มที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัว อีกทั้งความยาวยังไม่ใช่สั้นๆ ชื่อของสถานที่แห่งนั้นคือชายหาดโครงกระดูก คือซากปรักของสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป สำนักตระกูลเซียนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้มีชื่อว่าสำนักพีหมา (สวมผ้าป่าน/ผ้าที่ทอด้วยปอ หมายถึงการใส่ชุดไว้ทุกข์ของคนจีน) คือสำนักเบื้องล่างของสำนักใหญ่แห่งหนึ่งในแผ่นดินกลาง ในสำนักเลี้ยงทหารหยินขุนพลหยินไว้นับแสนตน เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นการคบค้าสมาคมกับภูตผีวัตถุหยิน ทว่าชื่อเสียงของสำนักพีหมากลับดีเยี่ยม ยามที่ลูกศิษย์ในสำนักลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ล้วนจะต้องนำวิญญาณอาฆาตชั่วร้ายที่สร้างหายนะให้กับโลกคนเป็นมาเป็นต้นทุน อีกทั้งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักพีหมา ในอดีตได้ย้ายจากแผ่นดินกลางมาที่ชายหาดโครงกระดูกพร้อมกับเพื่อนร่วมสำนักอีกสิบหกคน ก่อนที่จะเปิดขุนเขาก็ได้ตั้งกฎเหล็กไว้ข้อหนึ่งว่า ลูกศิษย์ในสำนัก หากลงภูเขาไปกำจัดภูตผี สยบปีศาจ ห้ามรีดไถเอาค่าตอบแทนใดๆ จากคนที่มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางชนชั้นสูง หรือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ตาม ห้ามรับไว้แม้แต่เงินอีแปะเดียว ผู้ที่ละเมิดกฎจะโดนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้วถูกขับไล่ออกจากสำนัก
ดังนั้นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกจึงมีชื่อเรียกที่งดงามอีกอย่างหนึ่งในอุตรกุรุทวีปว่า ‘เซียนซือน้อย’
รัศมีหนึ่งพันลี้โดยรอบสำนักพีหมา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผีฝ่ายธรรมะที่มาลงหลักปักฐาน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าพอไปถึงชายหาดโครงกระดูกจะต้องไปเดินเล่นอยู่สักหลายๆ วัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการยึดครองเกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อสร้างสำนักที่เหมาะสมให้ผู้ฝึกตนผีฝึกตนก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เฉินผิงอันพะวงถึงตลอดเวลา แต่กลับยังไม่อาจทำให้สำเร็จได้
จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันหยิบชุดอาคมจินหลี่ที่พับเป็นระเบียบออกมาแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับคิดจะเก็บมันลงไป ไม่นำไปอุตรกุรุทวีปด้วย
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองพัดพับที่เฉินผิงอันวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้น เป็นพัดที่ชุยตงซานมอบให้ จูเหลี่ยนใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าต้องเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงยิ้มกล่าวว่า “นายน้อย จินหลี่บวกกับพัดพับ ก็เหมือนโฉมสะคราญงามล่มเมืองในวัยที่เหมาะสมคนหนึ่ง กับกระจกแก้วบานหนึ่งที่ยามส่องก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ชัดเจนทุกซอกทุกมุมซึ่งเหมาะสมเข้าคู่กันอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันนั่งลงด้านหลังโต๊ะหนังสือ คิดคำนวณเงินเทพเซียนอย่างละเอียดพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าไปฝึกกระบี่ที่อุตรกุรุทวีป ไม่ได้เป็นเที่ยวเล่นตามภูเขาแม่น้ำสักหน่อย อีกอย่างต่างก็พูดกันว่าที่อุตรกุรุทวีปนั้น หากเห็นใครไม่ถูกชะตาก็ต่อยตีฆ่าแกงกันแล้ว หากข้ากล้าไปท่องยุทธภพทั้งแบบนี้จะไม่กลายเป็นว่าเลียนแบบเผยเฉียนที่แปะยันต์ไว้บนหน้าผาก แล้วเขียนคำว่า ‘อยากโดนเตะ’ ไว้บนแผ่นยันต์หรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “นายน้อย ต่อให้เป็นยุทธภพที่วุ่นวายแค่ไหนก็ไม่มีทางมีแค่การรบราฆ่าฟันกันอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังมีสุนทรียะ มีรสนิยมกันไม่ใช่หรือ? เก็บจินหลี่ไว้กับตัวเถอะ อาจจะต้องได้ใช้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เปลืองที่สักเท่าไหร่”
แต่แล้วแสงสว่างก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวของจูเหลี่ยน จึงยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม หรือนายน้อยคิดจะมอบวัตถุชิ้นนี้ให้ใคร ‘ยืม’ ใช้อย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อยากจะหาโอกาสไหว้วานให้คนนำไปส่งที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป มอบให้หลิวเสี้ยนหยาง”
จูเหลี่ยนถาม “ผ่านทางสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยที่มาสร้างโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็กน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันคีบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ลักษณะของมันเหมือนเงินหยกเหลือง ทั้งด้านตรงและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรสลักเอาไว้ ไม่เหมือนกับตัวอักษร ‘ออกเหมยเข้าร้อนจัด’ และ ‘อสนีกัมปนาทฟาดฟ้า’ ที่สลักไว้บนเงินร้อนน้อยเหรียญที่เหวยเว่ยหนึ่งในผีสาวของสี่พิฆาตเอาออกมาฟาดเคราะห์ แต่ทั้งด้านตรงและด้านหลังสลักคำว่า ‘เก้ามังกรพ่นน้ำ’ ‘แสงเทพแปดส่วน’ เนื้อหาที่สลักลงบนเงินร้อนน้อยมักจะเป็นเช่นนี้ มีมากมายหลากหลาย ไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน ไม่เหมือนเงินเกล็ดหิมะที่ทั่วหล้าใช้เพียงชนิดเดียว แน่นอนว่านี่ก็คือความร้ายกาจของสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป ส่วนที่มาของเงินร้อนน้อยก็กระจัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ เป็นเหตุให้เวลานำเงินร้อนน้อยทุกชนิดที่ได้รับความนิยมมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเกล็ดหิมะจึงค่อนข้างจะมีความผันผวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!