เฉินผิงอันหันไปมองชุยตงซาน เอ่ยถาม “จะต้องไปแล้วใช่ไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ พูดหน้าม่อย “คลุมดาวห่มจันทร์ เดินทางทั้งกลางวันกลางคืน พอคิดถึงว่าอีกเดี๋ยวอาจารย์ก็ต้องเดินทางขึ้นเหนือ ลูกศิษย์ต้องไปทางใต้ หัวใจก็ขมวดรวมกันเป็นก้อนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าสองคนรอข้าสักเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบของสองอย่าง เสร็จธุระแล้ว เจ้าค่อยออกเดินทางไกลอีกครั้ง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
ชุยตงซานมองเผยเฉียน เผยเฉียนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันหยิบถุงผ้าแพรใบเล็กใบหนึ่งกับแกนเหมยชิ้นหนึ่งกลับมา หลังนั่งลงแล้วก็วางทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ เขาเปิดถุงออก เผยให้เห็นเมล็ดพันธ์สีเขียวมรกตที่ลักษณะภายนอกเป็นทรงกลมบางๆ เหมือนเหรียญเงิน แล้วจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่คือเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนที่เพื่อนรักคนหนึ่งของข้าซื้อมาจากถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีใบถงทวีป ไม่เคยมีโอกาสได้เอามาปลูกไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วเสียที ว่ากันว่าขอแค่เป็นสถานที่ที่ดินน้ำดีและหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ภายในสามปีห้าปีก็มีโอกาสที่จะเติบโตได้”
ชุยตงซานคีบเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนหนึ่งในนั้นขึ้นมา พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า “เป็นของดี ไม่ใช่เมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนของตระกูลเซียนทั่วไป แต่มาจากบรรพบุรุษต้นอวี๋ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของโลกต้นนั้น อาจารย์ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นี่ไม่ใช่ของหายากที่สามารถหาซื้อได้ในสำนักใบถง มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าสหายคนนั้นกลัวว่าอาจารย์จะไม่ยอมรับไว้ก็เลยหาข้ออ้างส่งเดช เมื่อเทียบกับเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนทั่วไปแล้ว ความเป็นไปได้ที่เมล็ดพันธ์พวกนี้จะให้กำเนิดภูตเงินอวี๋เฉียนกลับมีเยอะกว่ามาก ทั้งถุงนี้ ต่อให้โชคร้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องมีภูตทองโผล่ออกมาสักสองสามตัว ส่วนต้นอวี๋ต้นอื่นๆ นั้น หากเติบโตมีชีวิตแล้วก็สามารถช่วยรวมรวบและสร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาภูเขาแม่น้ำ เหมือนกับปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองที่อาจารย์จับได้ในปีนั้น ล้วนเป็นหนึ่งในของรักของตระกูลเซียนที่มีอักษรจง (สำนัก) ในชื่อ”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องที่ลู่ไถจะทำจริงๆ
เฉินผิงอันจึงปลอบใจตัวเองว่าในเมื่อรับพวกมันมาแล้วก็ควรหาที่พักพิงที่สบายให้พวกมัน จึงชี้ไปที่แกนเหมยชิ้นนั้น เผยเฉียนแย่งพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ๆ นี่คือของที่ไม้ไผ่ผอมแห้งชื่อว่าอู๋ยวนของจวนจื่อหยางคนนั้นให้หุ่นเชิดเจ้าของจวนนำมามอบให้อาจารย์ ภายหลังข้ากังวลว่าไม้ไผ่แห้งผู้นั้นจะไร้คุณธรรม จงใจเอาของไม่ดีมาหลอกอาจารย์ ข้าก็เลยแอบหยิบมันไปให้เว่ยป้อช่วยตรวจสอบ เขาบอกว่าหนึ่งปีให้หลังมันจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุหนึ่งพันปี อย่างน้อยที่สุดก็สูงได้ครึ่งหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘เหมยฤดูกาล’ ทุกๆ วันที่เป็นวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลจะต้องมีปราณวิญญาณมากมายแผ่ออกมา เหมาะให้ผู้ฝึกตนมานั่งหลอมลมปราณอยู่ใต้ต้นไม้มากที่สุด เว่ยป้อยังบอกอีกว่าแกนเหมยชิ้นนี้ สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีภูเขามั่นคงแล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นของขวัญที่แพงที่สุดในบรรดาของขวัญสี่ชิ้นที่จวนจื่อหยางมอบให้ในคราวนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเรามาปลูกพวกมันด้วยกัน”
ชุยตงซานชำเลืองตามองเผยเฉียน “เจ้าเลือกก่อน”
เผยเฉียนพูดอย่างมีความสุข “ต่อให้แกนเหมยจะดีแค่ไหนก็มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าข้าต้องเลือกเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียน ถูก…ไหม?”
พูดมาถึงช่วงสุดท้าย เผยเฉียนแอบมองไปทางอาจารย์ พอเห็นว่าอาจารย์พยักหน้าให้เบาๆ นางถึงได้หันไปพูดกับชุยตงซานอย่างหนักแน่น “แกนเหมยที่ล้ำค่าขนาดนี้ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน! แต่ตกลงกันไว้ก่อนว่า วันหน้าเมื่อมันเติบโตเป็นต้นเหมยใหญ่เมื่อไหร่ ยังคงเป็นของอาจารย์ หากข้าจะพาพี่หญิงเป่าผิงปีนขึ้นไปเล่นด้วยกัน เจ้าห้ามขัดขวางข้าเด็ดขาด”
ชุยตงซานถอนหายใจ
มีแต่ความฉลาดเฉลียวและไหวพริบอยู่ทั่วทั้งตัวจริงๆ พูดจาแต่ละทีแฝงความนัยทั้งในและนอกคำพูดไปหมด
แล้วก็โชคดีที่มาเจอกับอาจารย์ของตน ถึงได้เป็นหนึ่งสิ่งที่กำราบหนึ่งสิ่ง สามารถกำราบเจ้าถ่านดำก้อนนี้ได้พอดี หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น จูเหลี่ยนไม่ได้ แม้แต่ท่านปู่ของเขาก็ยังไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว่ยป้อที่เป็นคนนอกของภูเขาลั่วพั่วเลย
อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วนั้นใหญ่มาก
ในฐานะประตูใหญ่ทางทิศใต้ของถ้ำสวรรค์หลีจูจึงโอ่อ่าน่าเกรงขาม สูงตระหง่านเสียดชั้นเมฆ
เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวทางทิศเหนือของภูเขาลั่วพั่วสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ทางทิศใต้มากกว่า
ทางฝั่งของทิศใต้ที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ด้านล่างเรือนไม้ไผ่ นับตั้งแต่ประตูภูเขาที่มีเจิ้งต้าเฟิงเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ขึ้นมา ชุยตงซานเลือกสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่อยู่ติดกันสองแห่ง แล้วแยกกันปลูกเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนกับแกนเหมย
หลังจากทำงานใหญ่สำเร็จ เผยเฉียนก็ใช้ปลายจอบปักพื้นดิน เจ้าถ่านดำน้อยที่ออกแรงไปไม่น้อยเหงื่อท่วมเต็มศีรษะ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชุดของชุยตงซานยังคงเป็นสีขาวสะอาด ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด หากจะว่ากันถึงความงดงามของเนื้อหนังมังสาบุรุษ เกรงว่าคงมีเพียงเว่ยป้อและลู่ไถเท่านั้น แน่นอนว่ายังมีเฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนของแผ่นดินกลางอีกคนหนึ่งที่พอจะทัดเทียมกับชุยตงซานได้
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “ปลูกไม้สิบปี ปลูกคนร้อยปี พวกเรามาช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”
ชุยตงซานปฏิบัติตาม ‘พิธีการยิบย่อย’ อีกครั้งด้วยการประสานมือคำนับพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ศิษย์ขอลา อาจารย์ออกเดินทางไกล ขอให้มีจุดหมายที่จะไป”
หลังจากชุยตงซานยืดตัวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่เตรียมไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้วออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมอบสิ่งใดให้เจ้า อย่าได้รังเกียจ ไม้ไผ่มาจากต้นไผ่เขียวทั่วไปตามป่าเขา ไม่มีค่าพอแม้แต่เหรียญเดียว แม้ข้าจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า และคำถามคำถามนั้น สามปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็คอยคิดหาคำตอบอยู่เสมอ แม้จะยังยากมากอยู่ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเจ้าเรียกข้าอย่างนี้แล้ว เรียกมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะมีมาดของอาจารย์เสียบ้าง จึงขอมอบแผ่นไม้ไผ่แผ่นนี้ให้เจ้า ถือเป็นของขวัญจากลาเล็กๆ”
ชุยตงซานรับแผ่นไม้ไผ่ที่ออกเป็นสีเหลืองแผ่นนั้นมา ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรสลักอยู่
ตัวอักษรด้านหน้าถูกสลักมานานหลายปีแล้ว ‘บรรลุหลักการเหตุผลมีก่อนหลัง อริยะไม่มีอาจารย์ที่แน่นอน หลักการเหตุผลที่ได้ยินได้ฟังจึงมีช้ามีเร็ว’
ส่วนตัวอักษรด้านหลัง มีความเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันไปหยิบของในเรือนไม้ไผ่ได้จุดตะเกียงขึ้นแล้วหยิบมีดแกะสลักออกมาสลักลงไปใหม่ ถึงแม้จะค่อนข้างรีบเร่ง แต่ตัวอักษรกลับยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย ‘สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม’
เผยเฉียนกระแอมสองทีให้ลำคอชุ่มชื้น แล้วเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ชุยตงซาน ในฐานะศิษย์พี่หญิงใหญ่ จำเป็นต้องเตือนเจ้าสักประโยคแล้ว เจ้าห้ามไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาด อันที่จริงอาจารย์รักแผ่นไม้ไผ่พวกนี้มากที่สุดแล้ว!”
ชุยตงซานเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อช้าๆ “ความคาดหวังของอาจารย์ ศิษย์เห็นเป็นสำคัญ จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ ศิษย์เองก็มีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะ หยิบพัดพับไม้ไผ่ลักษณะโบราณเล่มหนึ่งออกมา ตัวพัดเรียบง่ายแต่ลื่นวาวเหมือนเนื้อหยก ชุยตงซานประคองไว้ด้วยสองมือ “วัตถุชิ้นนี้เคยเป็นสมบัติที่รักของคนที่ประลองหมากล้อมแล้วแพ้จนเสียกระบี่บิน ‘ใบไม้ร่วงสีทอง’ ให้กับข้า เมื่อหุบพัดหลายครั้งจะสามารถรวบรวมลมวสันตฤดู บีบหนึ่งครั้งเกิดกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ร่วง หน้าพัดขาวสะอาดไร้ตัวอักษร เหมาะสมกับเวลาที่อาจารย์เดินทางไกลอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้วใช้ดับร้อนยามอยู่ในฤดูร้อนมากที่สุด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!