กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 484

สรุปบท บทที่ 484.3 ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 484.3 ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 484.3 ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว

ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

คนแรกไม่ใช่เพียงแค่หลูป๋ายเซี่ยงที่กลับมา ด้านหลังเจ้าหมอนี่ยังมีตัวภาระตามก้นมาด้วยอีกสองคน

ตอนนั้นจูเหลี่ยนกำลังนั่งอาบแดดอยู่เป็นเพื่อนเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าประตูภูเขา

เจิ้งต้าเฟิงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหลูป๋ายเซี่ยง เขาจึงไปยกเก้าอี้มาให้ตัวเองแล้วนั่งลงด้านข้าง

พี่สาวน้องชายคู่นั้นที่ปฏิบัติต่ออาจารย์ของตนด้วยความ ‘เคารพดุจเทพเจ้า’ รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

ตาเฒ่าสกปรกคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่ง เมื่อพบกับอาจารย์ของตนแล้วกลับไม่มีความเคารพยำเกรงเลยสักนิดงั้นหรือ?

เด็กหนุ่มยังดีหน่อย ทว่าเด็กสาวที่สะพายทวนไม้ไว้เอียงๆ ด้านหลังกลับมีสายตาเย็นชา นางที่เดิมทีก็ฉายประกายเฉียบคมอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งแผ่กลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้

หลูป๋ายเซี่ยงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ส่วนสองคนที่อยู่ข้างกายเขาก็ยิ่งไม่ถือสา

หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก็ได้รู้ว่า ที่แท้หลูป๋ายเซี่ยงหยุดเดินทางอยู่ที่ภาคใต้ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้รวบรวมโจรบนหลังม้าที่อับจนหนทางกลุ่มหนึ่งไว้เป็นพวกก่อน ก็คือกลุ่มทหารม้ายอดฝีมือของแคว้นใต้อาณัติทางใต้สุดของราชวงศ์จูอิ๋งที่แคว้นล่มสลาย ภายหลังหลูป๋ายเซี่ยงก็นำพาพวกเขาไปยึดครองภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นเป็นรังเก่าของลัทธิมารในยุทธภพแห่งหนึ่ง ตัดขาดกับโลกภายนอก มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา ระหว่างนี้หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้รับคู่พี่สาวน้องชายสองคนไว้เป็นลูกศิษย์ในสำนัก เด็กสาวท่าทางองอาจที่สะพายทวนไม้เล่มยาวไว้บนหลังมีนามว่าหยวนเป่า น้องชายชื่อหยวนไหล นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ฐานกระดูกพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธดีเยี่ยม เพียงแต่เมื่อเทียบกับพี่สาวแล้วยังเป็นรองอยู่เยอะมาก

หลูป๋ายเซี่ยงเก็บพวกเขามาได้จากข้างทาง ก็เลยพามาเปิดหูเปิดตาที่ภูเขาลั่วพั่ว จะกลับคืนสู่ยุทธภพหรืออยู่ต่อบนภูเขาแห่งนี้ ก็ต้องดูว่าลูกศิษย์สองคนจะเลือกอย่างไร

พอหลูป๋ายเซี่ยงได้ยินว่าเฉินผิงอันเพิ่งจะออกจากภูเขาลั่วพั่ว เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

อดดื่มสุราอย่างเบิกบานใจไปมื้อหนึ่งเลย

หลูป๋ายเซี่ยงคิดว่าจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วสักหนึ่งเดือน

แน่นอนว่าบนภูเขาย่อมไม่ขาดเรือนพักอาศัย หากใช้คำพูดของจูเหลี่ยนก็คือตอนนี้มีบ้านโอ่อ่ากิจการใหญ่โตแล้ว

จูเหลี่ยนบอกให้หลูป๋ายเซี่ยงขึ้นภูเขาไปหาเรือนเอาเอง เขาจะอยู่คุยกับพี่ใหญ่เจิ้งต่อ

หลูป๋ายเซี่ยงจึงยิ้มและลุกขึ้นยืนบอกลา เจิ้งต้าเฟิงบอกกับหลูป๋ายเซี่ยงว่าหากมีเวลาก็มาดื่มเหล้าที่นี่ หลูป๋ายเซี่ยงตอบว่าแน่นอนอยู่แล้ว

เด็กสาวหยวนเป่าแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ

เด็กหนุ่มหยวนไหลรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

ตอนที่เดินขึ้นเขา หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ครั้งนี้มาเยือนพื้นที่มงคลหลีจูที่ร่วงลงมาหยั่งรากอยู่กับพื้นดิน ความคิดที่ขยายไปหลังจากได้พบเห็นและได้ยินสิ่งต่างๆ มา แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เด็กทั้งสองจะเทียบเคียงได้

เด็กสาวสีหน้าคร่ำเครียด ทั่วร่างสาดประกายคมกริบ

เด็กหนุ่มหวาดกลัวพี่สาวที่เป็นคนเด็ดขาดดุดันผู้นี้มาโดยตลอด เขาถึงขั้นไม่กล้าเดินเคียงไหล่ไปกับนาง อาจารย์เดินอยู่หน้าสุด พี่สาวเดินตามหลัง เขาอยู่รั้งท้าย

หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้นชื่อว่าจูเหลี่ยน ตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง”

เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองน่าจะฟังผิดไป

หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยต่อวา “ส่วนชายฉกรรจ์หลังค่อมที่เจ้ารู้สึกว่ามองเจ้าอย่างหื่นกามผู้นั้น ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง ตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักเขาในร้านยาของนครมังกรเฒ่า เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ขาดอีกแค่ก้าวเดียว หรือควรบอกว่าครึ่งก้าว อีกนิดเดียวก็จะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว”

หยวนเป่าเม้มปากแน่น

หลูป๋ายเซี่ยงพกดาบแคบไว้ตรงเอว สวมชุดสีขาว เดินขึ้นเขาพลางพูดช้าๆ ต่อไปว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้ากลัวพวกเขา ยามที่อยู่กับพวกเขา อาจารย์เองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าอะไร เรื่องของการเดินสู่ยอดเขาของวิถีวรยุทธนั้น อาจารย์ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าเข้าใจในเรื่องหนึ่ง นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันหน้าหากคิดจะพูดจาแข็งกระด้างก็ต้องมีความสามารถที่มากพอ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตัวตลก ขายหน้าตัวเอง ไม่เป็นไร แต่หากขายหน้าอาจารย์ ครั้งสองครั้งยังดี แต่หากผ่านไปสามครั้ง ข้าก็จะสอนให้เจ้ารู้ว่าควรทำตัวเป็นลูกศิษย์อย่างไร”

หยวนเป่าเลิกคิ้วขึ้น “อาจารย์วางใจได้! สักวันหนึ่งอาจารย์จะต้องคิดว่าปีนั้นรับหยวนเป่าเป็นลูกศิษย์เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว!”

หยวนไหลแอบหัวเราะ

พี่สาวของเขาชอบเอาชนะคะคานเป็นที่สุดมาตั้งแต่เด็กแล้ว

หลูป๋ายเซี่ยงพลันหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมา หลุบตาลงมองเด็กสาว “เรื่องอื่นๆ ล้วนพูดง่าย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำให้ขึ้นใจ วันหน้าหากเจอคนที่ชื่อเฉินผิงอัน จำไว้ว่าต้องมีมารยาทกับเขาให้มาก”

เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของหยวนเป่า นางพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว!”

หลังจากสามอาจารย์และศิษย์อย่างพวกหลูป๋ายเซี่ยงมาพักอยู่บนภูเขา เนื่องจากเจ้าของภูเขาลั่วพั่วไม่อยู่ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการบันทึกชื่อของหยวนเป่าหยวนไหลลงในทำเนียบวงศ์ตระกูลของ ‘ศาลบรรพจารย์’ จึงได้แต่วางไว้ชั่วคราวก่อน

ในเรื่องนี้ทั้งหลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็คิดเหมือนกัน ตนรับตัวคนพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ต้องบันทึกชื่อไว้ในนามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่จำเป็นต้องปรึกษากันอีก

จากนั้นก็มีสามอาจารย์และศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนที่ภูเขา

นั่นคือผู้เฒ่าตาบอด เด็กหนุ่มขาเป๋แบกธงผ้า รวมไปถึงเด็กสาวหน้ากลมที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์น้อย

แต่พวกเขาสามคนไปที่ร้านในตรอกฉีหลงมาก่อน จากนั้นเผยเฉียนก็นำทางพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน

นักพรตเฒ่าตาบอดยังรู้สึกกระวนกระวายใจ พอได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาก็คิดว่าเรื่องที่จะมาขอพึ่งพาอีกฝ่ายคงไม่ค่อยน่าจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่แล้ว แต่พอเจอกับพ่อบ้านจูของภูเขาลั่วพั่วก็สบายใจขึ้นเยอะมาก หลังพูดคุยกันจบ นักพรตตาบอดก็รู้สึกตกตะลึง ดูเหมือนว่าตนจะได้ทั้งหน้าตาและได้ทั้งงาน ตอนนี้เขายังไม่ถือว่าเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว แต่ใช้สถานะของแขกที่อยู่ว่างงานมารับเงินเดือนของผู้ฝึกตนตระกูลเซียน มีที่พักอยู่ในร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง ส่วนลูกศิษย์คู่นั้นของผู้เฒ่า รอจนเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ถึงจะได้รับสถานะของแขก แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ทางภูเขาลั่วพั่วก็จะช่วยในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองแก่คนทั้งสอง สามารถเบิกเงินเทพเซียนล่วงหน้ามาให้เด็กทั้งสองได้ก้อนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนพูดคุยกันได้

เป็นทั้งการคบหากันฉันท์มิตร แล้วก็เป็นทั้งการทำการค้า ไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองความสัมพันธ์

ประเด็นสำคัญคือผู้เฒ่าตาบอดอย่างเขายังถึงขั้นมองเห็นเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพรใต้ฝ่าเท้าตัวเองแล้ว

นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตาบอดรู้สึกสบายไปทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนได้ดื่มน้ำเย็นๆ ถ้วยใหญ่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว

หลังลงมาจากภูเขาลั่วพั่ว ตอนเดินยังรู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่ไม่หาย

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรจูเหลี่ยนผู้ดูแลภูเขาลั่วพั่วคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง ยืนกรานจะเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูภูเขาให้ได้

เผยเฉียนยังคงติดตามอาจารย์และศิษย์สามคนไปจากภูเขาลั่วพั่ว การเดินทางไปกลับครั้งนี้ นางไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่นางได้เจอเสี่ยวป๋ายอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน ได้พูดคุยกันอีกครั้ง ดียิ่งนัก

เวลานี้เผยเฉียนหันหน้ากลับไปก็เห็นว่าพ่อครัวผู้เฒ่ากำลังเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นภูเขาไปช้าๆ

เผยเฉียนเกาหัว เหนือหอเรือนสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบหัวใจของพ่อครัวผู้เฒ่า ดูเหมือนจะมีเด็กหนุ่มโฉมหน้าพร่าเลือนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ในตำรามีคำหนึ่งบอกว่าอย่างไรแล้วนะ ภูษาถูกลมพัด (อีไต้ตังเฟิง ประโยคที่แท้จริงต้องเป็นอู๋ไต้ตังเฟิง ซึ่งพูดถึงอู๋เต้าจื่อจิตรกรในยุคราชวงศ์ถังที่ถนัดวาดพระพุทธรูป ชอบตวัดพู่กันเป็นวงจึงคล้ายเสื้อผ้าเวลาที่ถูกลมพัด เผยเฉียนจึงเข้าใจว่าเป็นคำว่าอีไต้ตังเฟิงซึ่งแปลว่าภูษาถูกลมพัด) เอาเป็นว่าความหมายประมาณนั้นนั่นแหละ

……

พื้นที่มงคลดอกบัว เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน

ในตรอกแห่งนั้นมีฝนตกลงมาเป็นสายพาให้บรรยากาศอึมครึม

เด็กหนุ่มชุดเขียวเรือนกายสูงเพรียวใบหน้างดงามดุจหยกกางร่มกระดาษน้ำมันคันเก่าเดินช้าๆ อยู่ในตรอก

วันนี้เขาต้องไปยืมตำราหายากที่หาไม่ได้จากที่ใดๆ ก็ตามในใต้หล้าแห่งนี้จากจ้งชิวที่เป็นทั้งอาจารย์ของตนและเป็นทั้งราชครูของแคว้น

เรื่องการสอบเคอจวี่ อาจารย์จ้งได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า จะติดสามอันดับแรกของการสอบหน้าพระที่นั่งหรือไม่ ยังต้องดูที่ชะตาฟ้ากำหนด ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย ทั้งราชสำนักและฮ่องเต้ต่างก็ต้องพิจารณาในข้อนี้ ส่วนลำดับต้นๆ ของอันดับรองลงมานั้นย่อมไม่ยากอย่างแน่นอน

ดังนั้นตอนนี้ความคิดส่วนใหญ่ของเขาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการสอบเคอจวี่ทั้งหมด แต่เริ่มหันไปเปิดอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดโบราณที่ถูกฝุ่นเกาะมานาน

หลังจากอาจารย์จ้งพูดเปิดใจกับเขาแล้วก็ปล่อยให้เขาเปิดตำราส่วนตัวได้ตามใจชอบ

ตรงมุมเลี้ยวของตรอกมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งที่ไม่เจอกันหลายปีเดินมา

ลู่ไถเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “รู้หรือไม่ว่าต่อให้บินทะยานที่บ้านเกิดของพวกเจ้าก็ยังคงมีอันตรายมากอยู่ดี”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “ดังนั้นในอนาคตวันใดวันหนึ่ง หากข้าล้มเหลวเหมือนพวกอดีตปราชญ์ทั้งหลาย ยังต้องรบกวนให้ท่านลู่ช่วยนำความประโยคหนึ่งไปบอกแทนข้า บอกว่า ‘ตลอดหลายปีมานี้ เฉาฉิงหล่างมีชีวิตที่ดีมาก เพียงแค่ค่อนข้างจะคิดถึงท่านเฉิน’

ลู่ไถถอนหายใจ เขาหุบพัดแล้วเคาะลงบนหัวของเฉาฉิงหล่างดังโป้ก “แน่จริงก็ไปพูดกับเขาเองสิ!”

เฉาฉิงหล่างมือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งลูบหัว กล่าวอย่างจนใจว่า “นี่ก็สู้ท่านอาจารย์ไม่ได้อีกแล้ว”

……

หลังจากจอดที่ตำหนักฉางชุน เรือข้ามฟากชายหาดโครงกระดูกก็ลอยขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง

อีกฝ่ายยังคงไม่ปรากฏตัว

เฉินผิงอันก็ไม่รีบร้อน

ยังคงฝึกหมัดต่อไป

ในขณะที่เรือข้ามฟากกำลังจะขับพ้นไปจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันเก็บท่าหมัด เดินไปเปิดประตู ตรงระเบียงด้านนอกมีสตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังร่างเล็กอรชร รวมไปถึงฮ่องเต้หนุ่มที่ไม่ได้สวมชุดคลุมมังกร กับคนอีกคนหนึ่งที่เฉินผิงอันคุ้นเคยมากกว่า จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ผู้ชอบพาดกระบี่ไว้ด้านหลังแนวขวาง สวี่รั่ว

เฉินผิงอันเปิดประตู ไม่ได้ยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้าประตู เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกับทั้งสามคน

เขาเดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้างโต๊ะ แต่ก็ไม่ได้นั่งลงก่อน

หลังจากคนทั้งสามเดินเข้ามาในห้องแล้ว สตรีผู้นั้นก็เดินตรงมาที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ยิ้มพลางผายมือออกมา “คุณชายเฉินเชิญนั่ง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

สวี่รั่วยิ้มเอ่ยเบาๆ “เฉินผิงอัน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

เฉินผิงอันถึงได้กุมหมัดคารวะ “ท่านสวี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

บรรยากาศในห้องเล็กๆ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดยิ่ง

สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะเสียงหวาน “พวกเราทำอย่างนี้ก็แล้วกัน นั่งลงให้หมด พูดไปพูดมาก็ยังเป็นคนกันเอง พวกเราก็อย่ามัวเกรงใจกันอยู่เลย”

เพียงแต่ว่าเมื่อคนทั้งสี่นั่งลง บรรยากาศกลับเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด

สวี่รั่วเริ่มหลับตาพักผ่อน

ซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีที่ตอนนี้เท่ากับว่าได้ครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก็เอาแต่มองประเมินไปรอบด้าน เขาเพิ่งเคยขึ้นเรือข้ามทวีปเป็นครั้งแรก มองแรกๆ ก็รู้สึกแปลกใหม่ แต่พอมองอีกก็มีแค่เท่านั้น

ส่วนสตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่เปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นไทเฮา (แม่ของฮ่องเต้) ต้าหลีนั้นกำลังคลี่ยิ้มหันมามองบุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ประโยคแรกที่เปิดปากก็คือถ้อยคำตีสนิทที่แฝงไว้ด้วยนัยยะ “หลายปีที่มู่เอ๋อร์ของข้าอยู่ในตรอกหนีผิง โชคดีที่ได้ท่านเฉินช่วยดูแล”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ยังดี”

ตั้งแต่สีหน้าไปจนถึงถ้อยคำล้วนรัดกุมแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่เล็ดรอด ไม่ถือว่าไร้ความเคารพยำเกรง แต่ก็ไม่มีความนอบน้อมเลยแม้แต่นิดเดียว

เพียงแต่เฉินผิงอันกลับด่าอีกฝ่ายในใจว่าดีกะมารดาเจ้าน่ะสิ

มุมปากของสวี่รั่วกระตุกเบาๆ แต่ไม่นานก็ถูกเขากดลง แวบเดียวก็จางหาย ไม่มีใครทันสังเกตเห็น

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!