หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว
ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
คนแรกไม่ใช่เพียงแค่หลูป๋ายเซี่ยงที่กลับมา ด้านหลังเจ้าหมอนี่ยังมีตัวภาระตามก้นมาด้วยอีกสองคน
ตอนนั้นจูเหลี่ยนกำลังนั่งอาบแดดอยู่เป็นเพื่อนเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าประตูภูเขา
เจิ้งต้าเฟิงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหลูป๋ายเซี่ยง เขาจึงไปยกเก้าอี้มาให้ตัวเองแล้วนั่งลงด้านข้าง
พี่สาวน้องชายคู่นั้นที่ปฏิบัติต่ออาจารย์ของตนด้วยความ ‘เคารพดุจเทพเจ้า’ รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ตาเฒ่าสกปรกคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่ง เมื่อพบกับอาจารย์ของตนแล้วกลับไม่มีความเคารพยำเกรงเลยสักนิดงั้นหรือ?
เด็กหนุ่มยังดีหน่อย ทว่าเด็กสาวที่สะพายทวนไม้ไว้เอียงๆ ด้านหลังกลับมีสายตาเย็นชา นางที่เดิมทีก็ฉายประกายเฉียบคมอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งแผ่กลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้
หลูป๋ายเซี่ยงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ส่วนสองคนที่อยู่ข้างกายเขาก็ยิ่งไม่ถือสา
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก็ได้รู้ว่า ที่แท้หลูป๋ายเซี่ยงหยุดเดินทางอยู่ที่ภาคใต้ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้รวบรวมโจรบนหลังม้าที่อับจนหนทางกลุ่มหนึ่งไว้เป็นพวกก่อน ก็คือกลุ่มทหารม้ายอดฝีมือของแคว้นใต้อาณัติทางใต้สุดของราชวงศ์จูอิ๋งที่แคว้นล่มสลาย ภายหลังหลูป๋ายเซี่ยงก็นำพาพวกเขาไปยึดครองภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นเป็นรังเก่าของลัทธิมารในยุทธภพแห่งหนึ่ง ตัดขาดกับโลกภายนอก มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา ระหว่างนี้หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้รับคู่พี่สาวน้องชายสองคนไว้เป็นลูกศิษย์ในสำนัก เด็กสาวท่าทางองอาจที่สะพายทวนไม้เล่มยาวไว้บนหลังมีนามว่าหยวนเป่า น้องชายชื่อหยวนไหล นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ฐานกระดูกพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธดีเยี่ยม เพียงแต่เมื่อเทียบกับพี่สาวแล้วยังเป็นรองอยู่เยอะมาก
หลูป๋ายเซี่ยงเก็บพวกเขามาได้จากข้างทาง ก็เลยพามาเปิดหูเปิดตาที่ภูเขาลั่วพั่ว จะกลับคืนสู่ยุทธภพหรืออยู่ต่อบนภูเขาแห่งนี้ ก็ต้องดูว่าลูกศิษย์สองคนจะเลือกอย่างไร
พอหลูป๋ายเซี่ยงได้ยินว่าเฉินผิงอันเพิ่งจะออกจากภูเขาลั่วพั่ว เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
อดดื่มสุราอย่างเบิกบานใจไปมื้อหนึ่งเลย
หลูป๋ายเซี่ยงคิดว่าจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วสักหนึ่งเดือน
แน่นอนว่าบนภูเขาย่อมไม่ขาดเรือนพักอาศัย หากใช้คำพูดของจูเหลี่ยนก็คือตอนนี้มีบ้านโอ่อ่ากิจการใหญ่โตแล้ว
จูเหลี่ยนบอกให้หลูป๋ายเซี่ยงขึ้นภูเขาไปหาเรือนเอาเอง เขาจะอยู่คุยกับพี่ใหญ่เจิ้งต่อ
หลูป๋ายเซี่ยงจึงยิ้มและลุกขึ้นยืนบอกลา เจิ้งต้าเฟิงบอกกับหลูป๋ายเซี่ยงว่าหากมีเวลาก็มาดื่มเหล้าที่นี่ หลูป๋ายเซี่ยงตอบว่าแน่นอนอยู่แล้ว
เด็กสาวหยวนเป่าแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ
เด็กหนุ่มหยวนไหลรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ตอนที่เดินขึ้นเขา หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ครั้งนี้มาเยือนพื้นที่มงคลหลีจูที่ร่วงลงมาหยั่งรากอยู่กับพื้นดิน ความคิดที่ขยายไปหลังจากได้พบเห็นและได้ยินสิ่งต่างๆ มา แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เด็กทั้งสองจะเทียบเคียงได้
เด็กสาวสีหน้าคร่ำเครียด ทั่วร่างสาดประกายคมกริบ
เด็กหนุ่มหวาดกลัวพี่สาวที่เป็นคนเด็ดขาดดุดันผู้นี้มาโดยตลอด เขาถึงขั้นไม่กล้าเดินเคียงไหล่ไปกับนาง อาจารย์เดินอยู่หน้าสุด พี่สาวเดินตามหลัง เขาอยู่รั้งท้าย
หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้นชื่อว่าจูเหลี่ยน ตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง”
เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองน่าจะฟังผิดไป
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยต่อวา “ส่วนชายฉกรรจ์หลังค่อมที่เจ้ารู้สึกว่ามองเจ้าอย่างหื่นกามผู้นั้น ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง ตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักเขาในร้านยาของนครมังกรเฒ่า เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ขาดอีกแค่ก้าวเดียว หรือควรบอกว่าครึ่งก้าว อีกนิดเดียวก็จะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว”
หยวนเป่าเม้มปากแน่น
หลูป๋ายเซี่ยงพกดาบแคบไว้ตรงเอว สวมชุดสีขาว เดินขึ้นเขาพลางพูดช้าๆ ต่อไปว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้ากลัวพวกเขา ยามที่อยู่กับพวกเขา อาจารย์เองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าอะไร เรื่องของการเดินสู่ยอดเขาของวิถีวรยุทธนั้น อาจารย์ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าเข้าใจในเรื่องหนึ่ง นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันหน้าหากคิดจะพูดจาแข็งกระด้างก็ต้องมีความสามารถที่มากพอ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตัวตลก ขายหน้าตัวเอง ไม่เป็นไร แต่หากขายหน้าอาจารย์ ครั้งสองครั้งยังดี แต่หากผ่านไปสามครั้ง ข้าก็จะสอนให้เจ้ารู้ว่าควรทำตัวเป็นลูกศิษย์อย่างไร”
หยวนเป่าเลิกคิ้วขึ้น “อาจารย์วางใจได้! สักวันหนึ่งอาจารย์จะต้องคิดว่าปีนั้นรับหยวนเป่าเป็นลูกศิษย์เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว!”
หยวนไหลแอบหัวเราะ
พี่สาวของเขาชอบเอาชนะคะคานเป็นที่สุดมาตั้งแต่เด็กแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงพลันหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมา หลุบตาลงมองเด็กสาว “เรื่องอื่นๆ ล้วนพูดง่าย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำให้ขึ้นใจ วันหน้าหากเจอคนที่ชื่อเฉินผิงอัน จำไว้ว่าต้องมีมารยาทกับเขาให้มาก”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของหยวนเป่า นางพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว!”
หลังจากสามอาจารย์และศิษย์อย่างพวกหลูป๋ายเซี่ยงมาพักอยู่บนภูเขา เนื่องจากเจ้าของภูเขาลั่วพั่วไม่อยู่ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการบันทึกชื่อของหยวนเป่าหยวนไหลลงในทำเนียบวงศ์ตระกูลของ ‘ศาลบรรพจารย์’ จึงได้แต่วางไว้ชั่วคราวก่อน
ในเรื่องนี้ทั้งหลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็คิดเหมือนกัน ตนรับตัวคนพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ต้องบันทึกชื่อไว้ในนามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่จำเป็นต้องปรึกษากันอีก
จากนั้นก็มีสามอาจารย์และศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนที่ภูเขา
นั่นคือผู้เฒ่าตาบอด เด็กหนุ่มขาเป๋แบกธงผ้า รวมไปถึงเด็กสาวหน้ากลมที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์น้อย
แต่พวกเขาสามคนไปที่ร้านในตรอกฉีหลงมาก่อน จากนั้นเผยเฉียนก็นำทางพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
นักพรตเฒ่าตาบอดยังรู้สึกกระวนกระวายใจ พอได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาก็คิดว่าเรื่องที่จะมาขอพึ่งพาอีกฝ่ายคงไม่ค่อยน่าจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่แล้ว แต่พอเจอกับพ่อบ้านจูของภูเขาลั่วพั่วก็สบายใจขึ้นเยอะมาก หลังพูดคุยกันจบ นักพรตตาบอดก็รู้สึกตกตะลึง ดูเหมือนว่าตนจะได้ทั้งหน้าตาและได้ทั้งงาน ตอนนี้เขายังไม่ถือว่าเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว แต่ใช้สถานะของแขกที่อยู่ว่างงานมารับเงินเดือนของผู้ฝึกตนตระกูลเซียน มีที่พักอยู่ในร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง ส่วนลูกศิษย์คู่นั้นของผู้เฒ่า รอจนเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ถึงจะได้รับสถานะของแขก แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ทางภูเขาลั่วพั่วก็จะช่วยในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองแก่คนทั้งสอง สามารถเบิกเงินเทพเซียนล่วงหน้ามาให้เด็กทั้งสองได้ก้อนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนพูดคุยกันได้
เป็นทั้งการคบหากันฉันท์มิตร แล้วก็เป็นทั้งการทำการค้า ไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองความสัมพันธ์
ประเด็นสำคัญคือผู้เฒ่าตาบอดอย่างเขายังถึงขั้นมองเห็นเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพรใต้ฝ่าเท้าตัวเองแล้ว
นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตาบอดรู้สึกสบายไปทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนได้ดื่มน้ำเย็นๆ ถ้วยใหญ่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว
หลังลงมาจากภูเขาลั่วพั่ว ตอนเดินยังรู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่ไม่หาย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรจูเหลี่ยนผู้ดูแลภูเขาลั่วพั่วคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง ยืนกรานจะเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูภูเขาให้ได้
เผยเฉียนยังคงติดตามอาจารย์และศิษย์สามคนไปจากภูเขาลั่วพั่ว การเดินทางไปกลับครั้งนี้ นางไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่นางได้เจอเสี่ยวป๋ายอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน ได้พูดคุยกันอีกครั้ง ดียิ่งนัก
เวลานี้เผยเฉียนหันหน้ากลับไปก็เห็นว่าพ่อครัวผู้เฒ่ากำลังเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นภูเขาไปช้าๆ
เผยเฉียนเกาหัว เหนือหอเรือนสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบหัวใจของพ่อครัวผู้เฒ่า ดูเหมือนจะมีเด็กหนุ่มโฉมหน้าพร่าเลือนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ในตำรามีคำหนึ่งบอกว่าอย่างไรแล้วนะ ภูษาถูกลมพัด (อีไต้ตังเฟิง ประโยคที่แท้จริงต้องเป็นอู๋ไต้ตังเฟิง ซึ่งพูดถึงอู๋เต้าจื่อจิตรกรในยุคราชวงศ์ถังที่ถนัดวาดพระพุทธรูป ชอบตวัดพู่กันเป็นวงจึงคล้ายเสื้อผ้าเวลาที่ถูกลมพัด เผยเฉียนจึงเข้าใจว่าเป็นคำว่าอีไต้ตังเฟิงซึ่งแปลว่าภูษาถูกลมพัด) เอาเป็นว่าความหมายประมาณนั้นนั่นแหละ
……
พื้นที่มงคลดอกบัว เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ในตรอกแห่งนั้นมีฝนตกลงมาเป็นสายพาให้บรรยากาศอึมครึม
เด็กหนุ่มชุดเขียวเรือนกายสูงเพรียวใบหน้างดงามดุจหยกกางร่มกระดาษน้ำมันคันเก่าเดินช้าๆ อยู่ในตรอก
วันนี้เขาต้องไปยืมตำราหายากที่หาไม่ได้จากที่ใดๆ ก็ตามในใต้หล้าแห่งนี้จากจ้งชิวที่เป็นทั้งอาจารย์ของตนและเป็นทั้งราชครูของแคว้น
เรื่องการสอบเคอจวี่ อาจารย์จ้งได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า จะติดสามอันดับแรกของการสอบหน้าพระที่นั่งหรือไม่ ยังต้องดูที่ชะตาฟ้ากำหนด ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย ทั้งราชสำนักและฮ่องเต้ต่างก็ต้องพิจารณาในข้อนี้ ส่วนลำดับต้นๆ ของอันดับรองลงมานั้นย่อมไม่ยากอย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนนี้ความคิดส่วนใหญ่ของเขาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการสอบเคอจวี่ทั้งหมด แต่เริ่มหันไปเปิดอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดโบราณที่ถูกฝุ่นเกาะมานาน
หลังจากอาจารย์จ้งพูดเปิดใจกับเขาแล้วก็ปล่อยให้เขาเปิดตำราส่วนตัวได้ตามใจชอบ
ตรงมุมเลี้ยวของตรอกมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งที่ไม่เจอกันหลายปีเดินมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!