ครู่หนึ่งต่อมา ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงนวดคลึงท้องที่เริ่มจะเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำอีกครั้ง เห็นว่าคนทั้งสองย้อนกลับมาทางเดิมก็ถามว่า “จบเรื่องแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้า “อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปเลย เร็วกว่ากระต่ายเสียอีก แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเห็นท่าไม่ดีก็เลยไปแอบหลบอยู่ในพงกกพงอ้อ หาตัวเจอได้ยาก”
ชายฉกรรจ์เคราดกใบหน้าม่วงสีหน้าหนักอึ้ง กวาดตามองไปรอบด้าน “ถ้าอย่างนั้นก็หมดหนทางแล้ว เดินไปข้างหน้ากันอีกระยะหนึ่งแล้วพวกเราค่อยลงมือตามสถานการณ์ หากไม่ได้จริงๆ ก็กลับไปที่ท่าเรือ ยอมก้มหัวขอโทษชายฉกรรจ์เถ้าแก่ร้านผู้นั้น ถือเสียว่าพวกเราเป็นมังกรแข็งแกร่งที่สู้งูเจ้าถิ่นไม่ได้ก็แล้วกัน”
สตรีเอามือหนึ่งเท้าเอว เดินโผเผออกมาจากพงต้นกกต้นอ้อ พูดอย่างอิดโรยว่า “ร้านน้ำชานั่นชั่วร้ายเกินไปแล้ว เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือสมควรโดนแทงเป็นพันครั้ง ช่างเป็นยาถ่ายที่รุนแรงนัก ต่อให้เป็นวัววัยฉกรรจ์ตัวหนึ่งก็ยังล้มได้ ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย”
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันที่เดินออกมาจากทางเล็กก็หักเลี้ยวเข้าไปในพงต้นกกต้นอ้อ แล้วค้อมตัววิ่งไปข้างหน้า เพียงไม่นานร่างก็หายวับไป
เดินออกไปได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้แล้วถึงได้ชะลอฝีเท้า วักน้ำในลำคลองหนึ่งกอบมาล้างใบหน้า ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนนำห่อสัมภาระที่บรรจุภาพเทพหญิงใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วถึงได้กระโดดขึ้นเบาๆ เหยียบลงบนยอดพงต้นกกต้นอ้อที่ใบหนาแน่น แล้วกระโดดออกไปเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ หูรับฟังเสียงลมที่ทะยานผ่าน พลิ้วกายล่องลอยไปไกล
คนในยุทธภพกลุ่มนั้น ต่อให้มีหุ่นเชิดวิญญาณหยินรับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ประจำกาย แต่รวมกันแล้ว คาดว่าก็คงเทียบกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีประสบการณ์เก่าแก่คนหนึ่งไม่ได้ เฉินผิงอันไม่อยากจะรบราฆ่าฟันกับคนอื่นทั้งที่เพิ่งมาถึงอุตรกุรุทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจจะเดือดร้อนไปถึงผู้อื่น นี่เป็นนิมิตหมายที่ไม่ดี
ขยับเข้าใกล้ศาลเทพลำคลอง บนทางเส้นเล็กก็มีคนสัญจรเพิ่มมากขึ้น เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนพื้น เดินออกจากพงต้นกกต้นอ้อ เดินเท้าไปเบื้องหน้า
ก่อนหน้านี้ยืนอยู่บนยอดต้นกก มองไกลๆ ไปยังศาลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปครึ่งทวีปแห่งนั้นก็เห็นเพียงว่าควันธูปเข้มข้นระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นเหตุให้ไปปั่นป่วนทะเลเมฆบนท้องฟ้า เกิดเป็นภาพเจ็ดสีมหัศจรรย์เกินบรรยาย ภาพบรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจดูแคลนได้ ต่อให้เป็นศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอของใบถงทวีปที่เขาเคยเดินทางผ่านในตอนนั้น และจวนปี้โหยวที่ภายหลังเลื่อนขั้นเป็นตำหนักก็ยังไม่เคยมีภาพมหัศจรรย์เช่นนี้ ส่วนศาลเทพวารีทั้งหลายในแถบแม่น้ำซิ่วฮวาอันเป็นบ้านเกิดก็ยิ่งไม่มีภาพประหลาดเช่นนี้เหมือนกัน
ชาวบ้านก็มีธูปที่ชาวบ้านใช้จุด
และยังมีธูปน้ำที่มีไว้สำหรับแขกเงินหนาโดยเฉพาะ
ศาลเทพลำคลองแห่งนี้มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ตั้งป้ายไม้ระบุไว้ชัดเจน ยังมีเด็กเล็กคนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ตรงป้ายไม้เพื่อคอยแจ้งกับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเชิญธูปที่นี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาว่า เข้าศาลจุดธูปกราบไหว้เทพเซียน ดูแค่ความจริงใจ ไม่ดูที่ว่าราคาควันธูปแพงหรือถูก
เฉินผิงอันไม่ได้ประหยัดเงินในส่วนนี้ เขาเชิญธูปน้ำที่เอาไว้กราบไหว้ลำคลองเหยาเย่โดยเฉพาะมากระบอกหนึ่ง ราคาของมันไม่ธรรมดา สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ กระบอกธูปบรรจุธูปเก้าดอก เมื่อเทียบกับธูปสามดอกของศาลเทพลำคลองแคว้นชิงหลวนที่ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้วก็เรียกได้ว่าแพงกว่าไม่น้อย
เฉินผิงอันคีบธูปสามดอกออกมาจากกระบอกธูปไม้ไผ่สีเหลืองที่สลักลายน้ำสีเขียว เดินตามเหล่าผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปในศาล จุดธูปสามดอกที่ห้องโถงหลัก สองมือพนมชูธูปขึ้นสูงเหนือหัวแล้วหันหน้าไหว้จนครบทั้งสี่ทิศ แล้วจึงไปที่ห้องโถงหลักที่ตั้งบูชาร่างทองของเทพลำคลอง บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจัง เทวรูปหลากสีองค์นั้นคล้ายเคลือบสีทองทั้งร่าง ระดับความสูงของเทวรูปก็น่าสงสัยว่าจะล้ำสถานะ เพราะเมื่อเทียบกับเทวรูปของเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูในเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วกลับสูงกว่าถึงสามฉื่อกว่า และระดับความสูงของเทวรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนต้องเคารพตามกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาอย่างเข้มงวด เพียงแต่พอเฉินผิงอันคิดว่าที่นี่คืออุตรกุรุทวีปก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว รูปโฉมของเทพลำคลองเหยาเย่ท่านนี้คือผู้เฒ่าสวมเกราะสีทองที่มือแต่ละข้างถือกระบี่และกระบอง เหยียบอยู่บนงูตัวยาวสีแดงสด อยู่ในท่าราชาสวรรค์ถลึงตา เปี่ยมไปด้วยบารมีและอำนาจ
จากนั้นลำพังแค่เดินเที่ยวทั่วศาลขนาดใหญ่โอฬารที่มีทางเข้าถึงสิบกว่าแห่งจนครบหนึ่งรอบ เดินๆ หยุดๆ ก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยามกว่า หลังคาเรือนล้วนเป็นกระเบื้องแก้วสีทองสะดุดตา
หนึ่งในนั้นมีตำหนักข้างแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นเป็นลักษณะเหมือนวังมังกรใต้น้ำ รูปปั้นมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ล้วนเต็มไปด้วยรูปปั้นขุนพลที่เกิดจากปลาใหญ่หรือไม่ก็เจียวหลงที่จำแลงร่างมาเป็นคน อยู่ในลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันออกไป มีผู้เฒ่าที่มากราบไหว้พูดหยอกล้อกับลูกหลานตัวเองบอกว่า นี่ก็คือตำหนักที่นอกเหนือจากตำหนักหลักของท่านเทพลำคลอง พอถึงตอนกลางคืน ขุนพลบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้พวกนี้ก็จะมีชีวิตกลับคืนมา เพียงแต่ว่าในศาลมีการห้ามเข้าออกยามวิกาล พอถึงช่วงกลางคืน ต้องเป็นเหล่าเทพเซียนที่สามารถทะยานลมขี่เมฆเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติมาเป็นแขกของที่นี่ แล้วดื่มชาร่ำสุราร่วมกับท่านเทพลำคลอง
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหยุดอยู่ในตำหนักหลังครู่หนึ่ง เห็นกลอนคู่บทหนึ่งจึงคีบธูปออกมาอีกสามดอก พอจุดไฟแล้วก็ยืนอยู่บนลานกว้างหยกขาวอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นก็ปักธูปลงไปในกระถาง แล้วถึงได้จากมา
กลอนคู่ที่เป็นตัวอักษรสีทองเขียนบนพื้นสีดำด้านหลังเฉินผิงอันคือประโยคว่า ‘จริงใจมิต้องโขกหัว ย่อมมีบุญกุศลคอยปกป้อง’ ‘ทำชั่วต่อให้เจ้าจุดธูปมากเท่าไหร่ ก็ยังทำให้เทพวารีมีไฟโทสะได้’
หลังออกมาจากศาลเทพลำคลองแห่งนี้ เฉินผิงอันก็เดินทางขึ้นเหนือต่อ
ดวงอาทิตย์ลับภูเขาตะวันตก ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันมาถึงท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง จำเป็นต้องโดยสารเรือข้ามฟากถึงจะไปยังหุบเขาผีร้ายที่อยู่ในอาณาบริเวณของชายหาดโครงกระดูกที่เฉินผิงอันอยากไปเยือนมากที่สุดได้
เพียงแต่ว่าพวกคนเรือแก่หนุ่มทั้งหลายของท่าเรือล้วนเลิกงานกันแล้ว มัดเชือกผูกเรือข้ามฟากไว้ที่ท่า แล้วพากันกลับบ้านใครบ้านมัน เฉินผิงอันอยากจะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อข้ามลำคลองไป แต่กลับไม่มีใครยอมตกลง ต่างก็พูดกันว่าเรือข้ามฟากไม่ข้ามลำคลองตอนกลางคืน นี่คือกฎที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่อย่างนั้นเทพลำคลองจะพิโรธ มีเพียงคนสามประเภทเท่านั้นที่จะได้รับการยกเว้น บัณฑิตที่เร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ คนป่วยที่ต้องการหมอรักษา และคนที่มีชีวิตยากลำบากอยากจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
เฉินผิงอันนึกถึงความพิถีพิถันเรื่องที่ไม่สร้างสะพานข้ามผ่านลำคลองเหยาเย่ รวมไปถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้ แม้แต่ความคิดที่จะกระโดดแตะผิวน้ำข้ามลำคลองไปก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จึงหาสถานที่เงียบสงบใกล้กับท่าเรือก่อกองไฟ คิดว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยโดยสารเรือข้ามฟากไป
ม่านราตรีหนาหนัก น้ำในลำคลองไหลเนิบช้า
เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาลำคลอง นั่งขัดสมาธิฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ตลอดทั้งคืนผ่านไปอย่างราบรื่น
ฟ้าเริ่มสว่าง เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินไปทางท่าเรือ มีชาวเรือผู้เฒ่าร่างกำยำที่ผิวดำเป็นมันปลาบคนหนึ่งมานั่งยองที่ท่าเรือเพื่อรอลูกค้าอยู่ก่อนแล้ว
เฉินผิงอันตกลงราคากับผู้เฒ่าชาวเรือ ได้ราคาที่แปดเฉียน ผู้เฒ่าบอกรออีกหน่อย มีผู้โดยสารข้ามฟากไปคนเดียว ได้เงินแค่แปดเฉียน ออกจะผิดต่อกำลังกายของตัวเองไปสักหน่อย จึงถามเฉินผิงอันว่าเต็มใจจะรอไหม ขอแค่มีคนมาอีกคนหนึ่ง ได้เงินเพิ่มอีกแปดเฉียนก็สามารถถ่อเรือข้ามฟากได้แล้ว เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าไม่เป็นไร เขารอได้ ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อนเดินทางอยู่แล้ว เฉินผิงอันปลดงอบนั่งอยู่ที่ท่าเรือกับผู้เฒ่า ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า น้ำเหล้าในกาล้วนมาจากเหล้าข้าวหมักเองที่ต่งสุ่ยจิ่งมอบให้ภูเขาลั่วพั่ว
ผู้เฒ่าชาวเรือได้กลิ่นเหล้า ดวงตาก็เป็นประกาย หันตัวกลับมายิ้มถามว่า “คุณชายท่านนี้ ขอเหล้าให้ข้าดื่มสักอึกได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันทำท่าจะยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้ ผู้เฒ่าชาวเรือกลับโบกมือ ก่อนจะเอามือสองข้างประกบเข้าหากัน ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเป็นคนพิถีพิถัน แต่คนแก่เนื้อตัวสกปรกอย่างข้าไม่ใช่คนพิถีพิถันอะไร คุณชายแค่เทเหล้าใส่มือข้าก็พอ”
เฉินผิงอันจึงเทเหล้า ผู้เฒ่าชาวเรือยกสองมือที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้านขึ้น ก้มหน้าซดเหมือนวัวดื่มน้ำ ดื่มหมดก็จุ๊ปาก ยิ้มถามว่า “คุณชายจะไป ‘ไม่หันกลับ’ แห่งนั้นหรือ? อ้อ นี่เป็นภาษาถิ่นของพวกเราเอง หากเรียกตามคำกล่าวของเหล่าเทพเซียนใหญ่ทั้งหลายในสำนักพีหมาก็คือหุบเขาผีร้าย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อยากไปเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียง ข้าเป็นมือกระบี่คนหนึ่ง ล้วนบอกกันว่าชายหาดโครงกระดูกมีสถานที่สามแห่งที่จำเป็นต้องไป ตอนนี้ไปนครปี้ฮว่าและศาลเทพลำคลองมาแล้ว เลยอยากจะไปเปิดหูเปิดตาที่หุบเขาผีร้ายนั่นสักหน่อย”
ผู้เฒ่าชาวเรือชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว คีบชายแขนเสื้อสีเขียวของเฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างแล้วจุ๊ปากพูด “ข้าก็ว่าแล้วเชียว แท้จริงแล้วคุณชายก็เป็นเทพเซียนหนุ่มคนหนึ่งเหมือนกัน ตาแก่อย่างข้าอย่างอื่นไม่ขอพูดถึง แต่ต้อนรับและส่งผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนลำคลองมาตลอดทั้งชีวิต ในกระเป๋าไม่มีเสียงเงินให้ได้ยิน แต่แววตานั้นยังพอมีอยู่บ้าง ชุดนี้ของคุณชายคงแพงมากเลยสินะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “ออกมาท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกก็ต้องมีมาดกันบ้าง ก็แค่ตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนนั่นแหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!