กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 490

หากผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเลือกจะเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาก็เท่ากับว่ายินยอมลงนามในสัญญาเป็นตายกับสำนักพีหมา จะร่ำรวยหรือจะตายกะทันหัน ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถและโชค ทรัพย์สินที่ช่วงชิงมาได้ สำนักพีหมาไม่อิจฉาไม่ปรารถนา ไม่เก็บเงินแม้แต่แดงเดียว ตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย นับจากนั้นมิอาจหลุดพ้นไปจากความเป็นความตายได้อีกก็โทษคนอื่นไม่ได้เช่นกัน

นี่ก็คือกฎข้อหนึ่งที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีจวนตระกูลเซียนแห่งใดที่สงสารลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจในสำนักที่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร หลังจบเรื่องก็ไม่ยอมเลิกรา เรียกรวมเหล่าสหายให้มาถกเหตุผลกับสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูก ทั้งเป็นการซักไซ้เอาความผิด แล้วก็มีความคิดว่าอยากจะให้สำนักพีหมาช่วยชดใช้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาไม่เคยอธิบายอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อมีคนมาเยือนก็วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ตรงหน้าประตูภูเขา ยกน้ำชาอินเฉินถ้วยหนึ่งมารับรองแขก จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากต่อสู้ หากไม่ใช่อีกฝ่ายที่บุกไปถึงศาลบรรพจารย์ของตนเอง ก็ต้องเล่นงานให้อีกฝ่ายมอบสมบัติอาคมและเงินเทพเซียนทั้งหมดที่มีติดตัวมา จากนั้นก็โยนไปไว้ที่ลำคลองเหยาเย่ ปล่อยให้อีกฝ่ายว่ายน้ำกลับบ้านเกิดทางเหนือของตัวเองไป

ดังนั้นลำคลองเหยาเย่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลำคลองเกี๊ยว

เพราะว่าต้องโยนเกี๊ยวลงหม้อกันหลายรอบแล้ว (เกี๊ยวเปรียบเปรยถึงคนที่ถูกโยนลงในลำคลอง ส่วนลำคลองก็เปรียบเป็นน้ำหม้อหนึ่ง)

แต่สำนักพีหมาก็ไม่ต้องการให้คนต่างถิ่นที่มาฝึกตนที่นี่ต้องมาตายอยู่ในนี้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ระบุเส้นทางขึ้นเหนือสามเส้นไว้อย่างชัดเจน แนะนำให้ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธชั่งน้ำหนักขอบเขตของตัวเองให้ดี แรกเริ่มให้ตามหาพวกวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายก่อน จากนั้นอย่างมากสุดก็ลองไปทักทายนครต่างๆ ที่กองกำลังไม่แข็งแกร่งนัก สุดท้ายหากเป็นคนมีฝีมือและมีความกล้า รู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจก็ค่อยไปเสี่ยงดวงที่นครหลายแห่งซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขา

ขอบเขตสูงต่ำ วิชาที่ถนัด สมบัติประจำกาย ความสามารถที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุของราชาผีวิญญาณวีรบุรุษเซียนดินทั้งหมดในหุบเขาผีร้าย ล้วนมีระบุไว้ในหนังสืออย่างชัดเจน

อีกทั้งผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังสร้างเมืองขนาดเล็กสองแห่งไว้ในหุบเขาผีร้ายอีกด้วย กั๋วฉือเซียนซือผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นผู้พิทักษ์สถานที่หนึ่งในนั้นด้วยตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วผู้คนจะไม่ได้พบหน้านาง ทว่าในเมืองก็มีผู้ฝึกตนฝ่ายในของสำนักพีหมาอยู่สองกลุ่มที่รับผิดชอบคอยล่าจับทหารผีวิญญาณหยินโดยเฉพาะ คนนอกสามารถติดตามหรือไม่ก็เชื้อเชิญให้พวกเขาไปเที่ยวหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายด้วยกันได้ ผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด สำนักพีหมาจะไม่รับมาแม้แต่แดงเดียว แต่ในหนังสือก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่มีทางทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตามของใคร เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก เพียงแต่ว่าหากมีลูกหลานทายาทของตระกูลเซียนสูงศักดิ์ที่รังเกียจว่าเงินของตัวเองมีเยอะจนหนักมือเกินไปก็เลยอยากมาลองเที่ยวเล่นที่หุบเขาผีร้าย ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องฟังคำสั่งของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาตลอดการเดินทาง สำนักพีหมาถึงจะสามารถรับรองได้ว่าพวกเขาจะได้เห็นทัศนียภาพของหุบเขาผีร้าย อีกทั้งยังสามารถออกไปจากพื้นที่อันตรายนี้อย่างปลอดภัยครบสามสิบสองประการ ขอแค่คนที่คิดจะมาท่องเที่ยวชมทัศนียภาพเคารพกฎ ไม่ว่าระหว่างการเดินทางเกิดความเสียหายหรือเรื่องไม่คาดคิดใดๆ ขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะไม่เพียงแต่ชดใช้ด้วยเงิน ยังจะชดใช้ด้วยชีวิตด้วย

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันปิดตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’ หนาหนักเล่มนั้นลง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เอนตัวพิงกรอบหน้าต่างพลางดื่มเหล้า

หนังสือเล่มนี้พออ่านมาถึงช่วงท้ายสุด นอกจากจะจดจำเรื่องต้องห้ามยิบย่อยทั้งหลายได้แล้ว ยังได้เห็นความองอาจของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจากในตำราอีกด้วย

หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล

ตอนนั้นถ้ำสวรรค์หลีจูมีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเตะคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองภาพที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจลืมเลือน

มีเซียนผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนขี่กระบี่ข้ามทวีปเดินทางไกล มุ่งหน้าไปต้านทานเผ่าปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

เพื่อผลประโยชน์และชื่อเสียงหรือ?

แค่เพื่อลับกระบี่เท่านั้น

มิน่าเล่านางถึงได้พูดว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งความทุกข์ยาก แต่กลับมีวีรบุรุษผู้กล้ามากมายมานับแต่โบราณ

มีเพียงดินแดนแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีเซียนกระบี่ผุดออกมาได้มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล

เจ้ายอมมอบเหล้าให้ข้าไม่กี่กา ข้าก็ยินดีจะคืนให้เจ้าด้วยโครงกระดูกขาวของวิญญาณวีรบุรุษที่มีค่าหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช

ใช้เหตุผลไหม? ไม่ใช้

ไม่มีเหตุผลหรือ? มีมากนักล่ะ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจี้ยนเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “วางใจเถอะ อยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าขายหน้าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันขยับสายตาเบนออกไปเล็กน้อย มองไปยังงอบที่ถักทอจากไม้ไผ่ใบนั้นแล้วยิ้มบางๆ “เพราะข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่นวดคลึงปลายคางก็พึมพำว่า “หรือว่าควรจะตัด ‘ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย’ ทิ้งไปดี จะได้ดูน่าเกรงขามหน่อย?”

……

นครปี้ฮว่าต้องเจอกับเรื่องประหลาดที่ร้อยปีก็ไม่เคยพานพบ

ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเริ่มปิดผนึกผนังสามแถบที่ยังมีโชควาสนาหลงเหลืออยู่ ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนใดเข้าใกล้ ต่อให้เป็นลูกจ้างหรือเถ้าแก่ของร้านก็ล้วนต้องออกไปชั่วคราว จำเป็นต้องรอประกาศจากทางสำนักพีหมา

แน่นอนว่าเสียงบ่นต้องดังระงม เสียงด่าพ่อด่าแม่ดังขึ้นๆ ลงๆ เป็นทอดๆ

คนผู้หนึ่งโชคไม่ดี ตอนที่กระทืบเท้าผรุสวาทกลับมีผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ฝ่ายหลังไม่พูดไม่จาก็สะบัดชายแขนเสื้อใส่จนเขาล้มคว่ำลงบนพื้น ตาเหลือกแล้วหมดสติไปทันที

สหายของคนน่าสงสารผู้นั้นก็ไม่พูดไม่จาอะไรเหมือนกัน แบกอีกฝ่ายขึ้นได้ก็วิ่งหนี ทั้งไม่ขอโทษเซียนซือของสำนักพีหมา แล้วก็ไม่ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ เอาไว้

อุตรกุรุทวีปก็เป็นเช่นนี้ ข้ากล้าพอจะชี้หน้าคนอื่นด่าฟ้าด่าดินก็เป็นเรื่องของข้า แต่หากถูกคนอื่นซ้อมจนหมอบกระแต นั่นก็เป็นเพราะความสามารถของข้าไม่มากพอ ข้ายอมรับ วันใดที่หมัดแข็งกว่าอีกฝ่ายแล้วค่อยทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมา

ผู้ฝึกตนโอสถทองแซ่หยางผู้นั้นรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ผังหลันซีศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งจนใจ

ที่แท้เบื้องใต้ภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่งก็มีคนหนุ่มสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นมาคุกเข่าโขกหัวอยู่ตรงนั้นไม่หยุด เลือดสดหลั่งเป็นสาย วิงวอนขอร้องให้เทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่บนภาพวาดมอบโชควาสนาส่วนหนึ่งให้เขา เขามีแค้นที่จำต้องชำระ ขอแค่เทพหญิงยินดีประทานโชควาสนาบนมหามรรคาให้เขา เขาก็ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้นางไปชั่วชีวิต ต่อให้แก้แค้นสำเร็จแล้ว ร่างของเขาต้องแหลกสลายเป็นผุยผงก็ยินดี

ก่อนที่คนหนุ่มจะโขกหัวได้ควักป้ายหยกโบราณแผ่นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนมาวางลงบนพื้นเบาๆ

ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนโบกมือบอกเป็นนัยแก่ผู้ฝึกตนฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักว่าไม่ต้องขับไล่คนผู้นี้

ผังหลันซีอยากจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับถูกผู้ฝึกตนวัยกลางคนกดไหล่เอาไว้

ความสนใจส่วนใหญ่ของผู้ฝึกตนวัยกลางคนยังคงอยู่ที่สตรีเรือนกายบอบบางราวกิ่งหลิวผู้นั้น

หลังจากที่นางปรากฏตัว ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำที่สำนักพีหมาวางไว้ตรงภาพวาดฝาผนังนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าพันธนาการธรรมชาติของพื้นที่ลับตำหนักเซียนกลับเริ่มเกิดริ้วกระเพื่อม

กลับกลายเป็นทางฝ่ายภาพของเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่พวกเขาไม่ลนลานถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก คนต่างถิ่นคนหนึ่งได้รับการยอมรับจากเทพหญิง สำนักพีหมาก็แค่ต้องฟังตามคำสั่ง ไม่ได้ขัดขวางการจากไปของพวกนาง

เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ส่งผลหลีตอบแทนผลท้อ เป็นฝ่ายเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจ้านายผู้นั้น มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาพวกเขา

ดังนั้นภาพวาดของเทพหญิงกว้าเยี่ยนจึงกลายเป็นเพียงลายเส้นขาวดำก่อน

จากนั้นกวางเจ็ดสีก็กระโดดออกมาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ แล้วร่างของมันก็หายวับไปในเสี้ยววินาที ภาพนี้จึงกลายเป็นภาพลายเส้นเค้าโครงภาพที่สองของวันตามหลังภาพแรกไปติดๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!