ฟ่านอวิ๋นหลัวลุกขึ้นยืนช้าๆ ต่อให้นางจะยืนอยู่บนรถลาก ระดับความสูงก็ยังได้แค่เท่ากับผีสาวอายุน้อยที่สวมชุดชาววังสองคนซึ่งยืนอยู่ด้านล่างบันไดนอกรถลากเท่านั้น
ฟ่านอวิ๋นหลัวถามหน้าเคร่ง “พูดมากมานานขนาดนี้ แค่มองก็รู้ว่าไม่เหมือนคนที่กล้าจะใช้วิธีรุนแรงให้พินาศกันไปทั้งสองฝ่าย ชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ ข้าเกลียดการต่อรองราคากับคนอื่นมากที่สุด ในเมื่อเจ้าไม่รับน้ำใจ ถ้าอย่างนั้นก็จะกรีดดึงเอาหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเจ้ามาจุดไฟอยู่ในนครฟูนี่เราก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาพูดเรื่องการค้ากันใหม่ เป็นเจ้าที่หาเรื่องลำบากใส่ตัวเอง มีเงินเทพเซียนกองใหญ่วางไว้ให้ดันไม่รับเอาไป จะเอากำไรเล็กเท่าหัวแมลงวันที่ต้องแลกด้วยชีวิตเสียได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้รับการชี้แนะแล้ว”
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อยู่ในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ ใช้ปากถกถึงหลักการเหตุผลก็คือวิธีการชั้นต่ำมากที่สุด
นึกถึงอริยะสำนักศึกษาท่านนั้น เขาเองก็ต้องลงมือซ้อมผู้ฝึกตนใหญ่สามท่านด้วยตัวเอง อีกฝ่ายถึงจะยอมรับผิดไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันชำเลืองตามองม่านฟ้า
เดิมทีคิดจะทำไปตามลำดับขั้นตอน เริ่มฝึกปรือฝีมือเอาจากผีโอสถทองที่กองกำลังค่อนข้างน้อยนิดตนนั้น
ตอนนี้ดูท่าคงต้องเปลี่ยนกลยุทธกันสักหน่อยแล้ว
อยู่ตัวคนเดียวกำลังน้อยนิด ต่อสู้กับคนทั้งนครฟูนี่เพียงลำพัง ก็คือโอกาสในการฝึกประสบการณ์ที่หาได้ยากเหมือนกัน
อีกทั้งนครฟูนี่ยังตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของหุบเขาผีร้าย ห่างจากเมืองหลันเซ่อไม่ไกล เฉินผิงอันจึงได้ทั้งรุกและทั้งถอย
แต่เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่า ในเมื่อจะเริ่มต่อสู้ ก็อย่าได้ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังจะดีกว่า
ต่อให้ทุกครั้งที่ถอยหนีก็ต้องเพื่อให้พร้อมสำหรับการเข่นฆ่าครั้งต่อไปกับภูตผีในเมืองฟูนี่เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพัง แต่กลับต้องคอยระวังคนลอบโจมตีจากด้านหลังตลอดเวลา นั่นต่างหากถึงจะเรียกได้ถ่วงเวลาอืดอาดอย่างแท้จริง
อีกทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถประหยัดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองไปแผ่นหนึ่งก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือมาตลอดทางก็มักจะรู้สึกได้ถึงปราการกั้นขวางระหว่างหยินและหยางในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เมื่อลองชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดก็คิดว่า หากตนถือเจี้ยนเซียนแล้วออกแรงเต็มกำลัง ไม่แน่ว่าอาจสามารถฟันผ่าให้เกิดรอยแยกเส้นหนึ่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้จริง เพียงแต่ว่าการผ่าเส้นทางนั้น พละกำลังของตนจะหมดสิ้น หากอยู่ห่างจากประตูบานเล็กนั่นมากเกินไปก็ยังยากที่จะจากไปได้อยู่ดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าจะเขียนยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองอีกแผ่นหนึ่ง ถือสองแผ่นไว้ในมือ ต่อให้อยู่ห่างจากปราการฟ้าดินมากเกินไป ต่อให้จะมีศัตรูแข็งแกร่งรุมล้อมสกัดกั้นทางหนี ก็ยังคงมีโอกาสหนีออกจากหุบเขาผีร้ายไปถึงชายหาดโครงกระดูกได้อยู่ดี
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ จำเป็นต้องหาพื้นที่สงบๆ วาดยันต์ ไม่อย่างนั้นหากเปิดเผยรากฐานของตัวเองออกไป อย่าว่าแต่ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองสองแผ่นเลย ต่อให้มียี่สิบแผ่นก็ไร้ประโยชน์
ผู้แข็งแกร่งขอบเขตเซียนดินในหุบเขาผีร้ายมีมากมาย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้านครจิงกวานที่เป็นขอบเขตหยกดิบเลย หากมันคิดจะออกไปจากหุบเขาผีร้าย น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่ากลัวก็แต่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะอาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบในชายหาดโครงกระดูกมาเฝ้าตอรอกระต่ายก็เท่านั้น แต่ไม่แน่ว่าสำนักพีหมาอาจจะคาดหวังให้ผีขอบเขตหยกดิบตนนี้ออกไปจากหุบเขาผีร้ายก็เป็นได้ เพราะเมื่อกลุ่มมารไร้ผู้นำ หุบเขาผีร้ายที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ขัดแข้งขัดขากันอยู่ตลอดเวลา พันปีที่ผ่านมามีการเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างผูกปมแค้นที่ลึกล้ำต่อกัน เมื่อไม่มีเสาหลักสำคัญแล้วจะไม่เป็นดั่งทรายหนึ่งถาดที่ถูกสาดทิ้งหรอกหรือ?
ฟ่านอวิ๋นหลัวใช้เสียงในใจบอกเตือนเหล่าภูตผีใต้บังคับบัญชา “ระวังกระบี่เล่มที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้ให้ดี มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสมบัติอาคมที่มีเพียงผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้ครอบครอง”
สายตาของฟ่านอวิ๋นหลัวฉายประกายร้อนแรง ถูฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกัน ประกายแสงบนถุงมือสองข้างพลันระเบิดเจิดจ้า นี่ก็คือหนึ่งในที่พึ่งที่ทำให้ ‘แยนจือโหว’ อย่างนางสามารถสร้างนครขึ้นมาทางใต้ของหุบเขาผีร้าย อีกทั้งยังตั้งตระหง่านไม่โค่นล้มมาจนทุกวันนี้
ฟ่านอวิ๋นหลัวกระตุกมุมปาก ขอแค่จับตัวคนหนุ่มผู้นั้นไว้ได้ เขาย่อมกลายมาเป็นทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่น่าชื่นชมที่ได้มาครองอย่างไม่คาดฝันแน่นอน! ชุดคลุมอาคมสีเขียวบนร่างชุดนั้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว และยังมีกาเหล้าใบนั้นที่ผูกไว้ตรงเอวอีก ไม่แน่ว่าอาจได้ยอดฝีมือช่วยร่ายเวทอำพรางตาให้ ระดับขั้นมีแต่จะสูงยิ่งกว่า บวกกับกระบี่เล่มนั้น หากปีนี้นำไปมอบเป็นของบรรณาการให้แก่เมืองกรงขาว ไม่เพียงแต่เหลือเฟือ ระหว่างชุดคลุมอาคมสีเขียวกับกาเหล้าสีชาดที่ไม่ว่าจะเลือกชิ้นใดก็ล้วนทำให้นครฟูนี่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ขอแค่ได้ขยับขยายเติมเต็มกองกำลังทหารม้าพันกว่านายที่มีอยู่ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจจะไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ เช่นนี้อีก
ถึงอย่างไรแล้วการที่ตอนนั้นส่งป๋ายเหนียงเนียงซึ่งพลังการต่อสู้ไม่สูง แต่กลับเชี่ยวชาญเวทมายาลวงใจให้มาหยั่งเชิงที่นี่ เดิมทีก็เป็นการเตรียมความพร้อมไว้ทั้งสองด้าน หากเป็นกระดูกแข็งที่แทะไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็ถอยหนึ่งก้าวไปทำการค้าที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว แต่หากบนร่างของคนผู้นี้มีสมบัติล้ำค่า ทว่าความสามารถอ่อนด้อย ถ้าอย่างนั้นก็โทษไม่ได้หากนครฟูนี่จะทำตัวเป็นดั่งคนอยู่ใกล้ศาลาริมน้ำแล้วได้ชมจันทร์ก่อน เป็นฝ่ายยึดครองผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปเพียงลำพัง
อยู่ในหุบเขาผีร้ายอย่าว่าแต่กินคน แม้แต่ผีกันเองก็ยังกิน!
เฉินผิงอันยื่นมืออ้อมไปหลังไหล่ “ไปเล่นเอาเอง จำไว้ว่าต้องโจมตีให้ตายในครั้งเดียว อีกทั้งอย่าทำให้โครงกระดูกของอีกฝ่ายเสียหาย โครงกระดูกขาวของผีสาวเหล่านี้ ข้าจะต้องเก็บเอามาทำทุนต่อ หากแหลกละเอียดคงเอาไปขายได้ราคาไม่ดี”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที “หลักการเดียวกัน”
เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากด้านหลังเฉินผิงอัน
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ผูกไว้ตรงเอวก็มีลำแสงสองเส้น หนึ่งสีขาวหิมะ หนึ่งสีเขียวมรกตพุ่งออกมา
วัตถุหยินผีสาวจากนครฟูนี่สิบกว่าตนที่ยืนโอบล้อมเป็นเฉินผิงอันเป็นวงกลมอยู่บนลานกว้างหยกขาวแห่งนี้รู้สึกเพียงว่ามีแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของพวกนางแสบร้อนจนเกินจะทน เหมือนเจอกับดวงอาทิตย์แผดเผา นาทีถัดมาสาวงามก็มอดม้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแสงจุดหนึ่งพุ่งทะลุหว่างคิ้วของพวกนางไป
เฉินผิงอันไม่รีบไม่ร้อน เขาม้วนชายแขนเสื้อสีเขียวขึ้น กระโดดลงมาจากกิ่งไม้แห้งใต้ฝ่าเท้าเบาๆ พุ่งตัวเป็นเส้นตรงไปยังรถลากคันนั้น
รักหยกถนอมบุปผา?
ตอนอยู่ในวัดร้างของแคว้นซูสุ่ย เด็กหนุ่มรองเท้าเตะเคยปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่าต่อยลงบนศีรษะของผีสาวตนหนึ่งถี่รัวราวกับฝนตกกระหน่ำ ทำให้ผีสาวที่เรือนกายอวบอิ่มเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนมีเสน่ห์แหลกสลายเป็นผุยผง
ตอนอยู่ศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีที่เคยต่อสู้กับสือโหรวซึ่งตอนนั้นยังเป็นผีงามโครงกระดูกก็ยิ่งคล่องแคล่วฉับไว
ช่วงแรกเริ่มสุด ลำคอของไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองที่อยู่ในตรอกเก่าโทรมก็ต้องกินเศษกระเบื้องที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหัน
หญิงชราผู้นั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนกำลังลังเลว่าควรจะปกป้องเจ้านคร เอาตัวไปขัดขวางคนผู้นี้ดีหรือไม่
ใบหน้าของฟ่านอวิ๋นหลัวแข็งกระด้างเย็นชา เพียงแต่ว่านาทีถัดมานางก็คลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบานในวสันตฤดู รอยยิ้มนั้นน่าหลงใหล นางเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “เซียนกระบี่ท่านนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเรามานั่งพูดคุยกันดีๆ ดีกว่าไหม? ราคานั้นปรึกษากันได้ ถึงอย่างไรก็ล้วนให้ใต้เท้าเซียนกระบี่เป็นผู้ตัดสินใจอยู่แล้ว”
ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันพลันเพิ่มพละกำลังจนอากาศปริแตกเหมือนใยแมงมุม ถึงขั้นทำให้ลานกว้างหยกขาวที่ก่อนหน้านี้ผีสาวสองตนผู้ทำหน้าที่เปิดทางใช้อาวุธวิเศษแผ่นหยกสร้างขึ้นมาเป็นเหมือนเครื่องกระเบื้องที่หล่นแตก เศษชิ้นส่วนปลิวกระเซ็นไปสี่ทิศ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!