หญิงชราแค่นเสียงหัวเราะหยัน “เจ้าทำลายรากฐานการฝึกตนของพี่สาวน้องสาวข้า บัญชีนี้ต้องชำระ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่ได้ครอบครองอาวุธเทพแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังหนีไม่พ้นหายนะอยู่ดี”
เฉินผิงอันเงียบไม่ต่อคำ
หญิงชราเห็นว่าขบวนรถของเจ้านครกำลังจะมาถึงก็ท่องคาถาร่ายวิชา ต้นไม้แห้งเหี่ยวเหล่านั้นพลันเหมือนคนที่มีเท้าจึงเริ่มขยับชักรากออกจากพื้นดิน ไม่นานก็ทะยานลอยขึ้นกลางอากาศไปแถบใหญ่ ขณะที่ขบวนรถกำลังลดระดับลงช้าๆ ก็มีผีสาวสวมชุดเขียวสองคนที่ในมือประคองแผ่นหยกงาช้างรับผิดชอบคอยเปิดทางพลิ้วกายลงมาบนพื้นก่อน พวกนางโยนแผ่นหยกในมือออกมา แสงสีขาวเหมือนน้ำพุก็สาดส่องลงบนพื้นดิน ผืนป่าหนาครึ้มและผืนดินพลันเปลี่ยนมาเป็นลานกว้างหยกขาวแห่งหนึ่งที่ราบเรียบจนผิดปกติ ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด ตอนที่ ‘กระแสน้ำ’ ไหลผ่านเท้า เฉินผิงอันไม่ยินดีจะสัมผัสโดนพวกมันจึงกระโดดขึ้นเบาๆ กวักมือเรียกบังคับให้กิ่งไม้สูงครึ่งตัวคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาหา สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งมันก็ฝังตรึงลงกับพื้นดิน แล้วเฉินผิงอันก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้อีกที
ปีนั้นตอนที่ร่วมเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมเหมาเสี่ยวตงที่เมืองหลวงต้าสุย หลังจบเรื่องเหมาเสี่ยวตงได้อธิบายให้ฟังถึงความร้ายกาจของอาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่ง
วัตถุหยินสองตนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีสวมชุดชาววังสีเขียวหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน นึกไม่ถึงว่ายอดฝีมือต่างถิ่นที่ทำให้ป๋ายเหนียงเนียงเผชิญกับความยากลำบากมากขนาดนั้นจะเป็นพวกขี้ขลาดราวกับหนูเช่นนี้
หญิงชราหลุดหัวเราะพรืด “คุณชายท่านนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”
เฉินผิงอันย้อนกลับว่า “ท่านยายช่างสายตาดียิ่งนัก”
ผีชุดเขียวสองตนที่หน้าตางดงามรู้สึกว่าน่าสนใจจึงปิดปากหัวเราะคิก
ในหุบเขาผีร้ายที่มีภูตผีเดินกันให้เกลื่อน เดิมทีก็พบเจอคนเป็นได้ยากอยู่แล้ว บุรุษในโลกมนุษย์ที่น่าสนใจก็ยิ่งไม่ค่อยมีให้พบเห็นบ่อยนัก
รถลากขนาดใหญ่เท่ากับหอเรือนส่วนตัวของสตรีค่อยๆ ลดระดับลงสู่พื้น แล้วทันใดนั้นก็มีผีสาวสองคนที่สวมชุดหรูหรางดงามดุจฮูหยินผู้ได้รับบรรดาศักดิ์พร้อมใจกันเปิดม่านรถด้วยท่าทางนุ่มนวล สตรีคนหนึ่งในนั้นค้อมกายเอ่ยเสียงนุ่มละมุน “ท่านเจ้านคร ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป ในขบวนรถมีเด็กหญิงสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่ลายปัก (เครื่องแต่งกายสตรีที่แสดงถึงความสูงศักดิ์) คนหนึ่งนั่งอยู่ ตรงแก้มของนางปัดชาดหนาเข้มไปสักหน่อย สายตาเหม่อลอย เหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีจิตวิญญาณตนหนึ่ง ตรงชายกระโปรงที่สวมใส่ลักษณะคล้ายใบบัวขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่แผ่ลามโอบล้อมกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของรถลาก ขับให้เด็กหญิงเหมือนดอกบัวตูมดอกเล็กๆ ที่ปลายแหลมเพิ่งจะโผล่พ้นน้ำ มองดูแล้วชวนให้ขบขันยิ่ง
เจ้านครฟูนี่มีชื่อว่าฟ่านอวิ๋นหลัว หลังจากตายไปได้ครอบครองนครแห่งหนึ่ง คอยรวบรวมภูตผีสตรีเพศให้รับหน้าที่ทำงานด้านต่างๆ อยู่ในนครฟูนี่โดยเฉพาะ รังเกียจบุรุษ นางแต่งตั้งตัวเองว่าเป็น ‘แยนเฟิ่นโหว’ (โหวผงประทินโฉม) เพราะเกิดมาก็มีเรือนกายเล็กจ้อยเช่นนี้ แม้ว่าเรือนร่างจะเล็กเตี้ยมากเป็นพิเศษ แต่ว่ากันว่าทั้งเนื้อและกระดูกมีสัดส่วนเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการแต่งกลอนบทกวี มีบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาหมอบกราบศิโรราบอยู่ใต้กระโปรงของนาง ตอนมีชีวิตอยู่นางคือองค์หญิงที่ฮ่องเต้องค์หนึ่งรักและโปรดปรานมากเป็นพิเศษ เรือนกายเบาหวิว ในประวัติศาสตร์จึงเคยมีตำนานเล่าลือถึงระบำบนฝ่ามือ
ผีสาวสวมชุดชาววังอีกคนหนึ่งรู้สึกจนใจเล็กน้อย จำต้องออกเสียงเตือนอีกครั้ง “เจ้านคร ตื่นเถิดเจ้าค่ะ พวกเรามาถึงแล้ว”
เด็กหญิงคนนั้นสะดุ้งโหยง นางโคลงศีรษะไปมา ยังงัวเงียอยู่เล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ คืนสติแจ่มชัด เพราะอ้าปากหาวจึงยื่นมือมาปิดปาก เห็นว่าบนมือนางสวมถุงมือผ้าไหมที่ส่องประกายแสงวิบวับ เผยให้เห็นเพียงข้อมือช่วงหนึ่งที่นวลเนียนราวกับหยกมันแพะ
ฟ่านอวิ๋นหลัวหลุบตาลงต่ำมองบุรุษสวมงอบที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ “คือคนไร้สุนทรียะอย่างเจ้าน่ะหรือที่ทำให้ป๋ายอ้ายชิง (อ้ายชิงเป็นคำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกแทนตัวขุนนาง แปลตรงตัวคือขุนนางที่รัก) ของเราได้รับบาดเจ็บ จำต้องเข้าไปหลับลึกอยู่ในบ่อชำระวิญญาณ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า นางได้รับคำสั่งจากข้า ถึงได้มาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องการค้าขายที่จะทำให้เงินทองไหลมาเทมากับเจ้า ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย ย่อมถูกกรรมตามสนอง”
ฟ่านอวิ๋นหลัวเห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นไม่มีแววว่าจะพูดจาก็ไม่อารมณ์เสีย นางเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะตัวนั้นล่ะ ถูกเจ้าเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว นั่นไม่ใช่ของแทนใจที่ป๋ายอ้ายชิงมอบให้เจ้าเสียหน่อย จะเก็บซ่อนไปไย เอาออกมาเถอะ นี่เป็นของรักของนาง นางทะนุถนอมเห็นค่ายิ่งกว่าชีวิตตัวเอง หากไม่มีมัน นางต้องเสียใจจนตายแน่ นครฟูนี่ของพวกเราหวังดีมาหาเจ้าเพื่อจะได้ร่วมงานกัน เจ้ากลับตอบแทนด้วยการกระทำเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงบัญชีนี้ก่อน อยู่ในหุบเขาผีร้ายยังต้องอาศัยหมัดในการพูดคุย เจ้าได้ชุดเกล็ดหิมะตัวนั้นไปก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ ตอนนี้เจ้าจงบอกราคามา ข้าจะซื้อมันกลับมาเอง”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ในสายตาของเจ้านครฟ่าน ชุดคลุมอาคมตัวนี้มีค่าเท่าไหร่?”
ฟ่านอวิ๋นหลัวพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีราคาสักสามถึงห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช อีกทั้งยังเป็นของรักของป๋ายอ้ายชิง ข้าไถ่มันกลับมาแทนนาง เมื่อออกมาจากปากทองคำของข้า จะอย่างไรราคาก็ควรเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว หักลบดูแล้วก็น่าจะประมาณแปดเหรียญเงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันถาม “อีกเดี๋ยวเจ้านครฟ่านก็จะถามข้าใช่ไหมว่า ชีวิตน้อยๆ นี้ของข้ามีค่าเท่าไหร่ จากนั้นก็หักเอากับเงินแปดเหรียญฝนธัญพืช หลังจากคืนชุดคลุมอาคมให้กับนครฟูนี่แล้ว ยังต้องยกสองมือประคองส่งเงินเทพเซียนก้อนใหญ่เพื่อไถ่โทษด้วย?”
ฟ่านอวิ๋นหลัวดวงตาเป็นประกายวาบ โน้มตัวมาด้านหน้า บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เหตุใดเจ้าถึงได้ฉลาดเฉลียวเพียงนี้ คงไม่ได้มาเป็นพยาธิในท้องข้ากระมัง เหตุใดเจ้าถึงรู้ไปเสียหมดว่าข้าคิดอะไรอยู่?”
นางสะบัดชายแขนเสื้อกว้าง “ดีมาก หลังจากชดใช้ด้วยเงินเป็นการไถ่โทษแล้ว ข้าจะมอบความร่ำรวยสูงศักดิ์ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า รับรองว่าเจ้าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ วางใจได้เลย”
เฉินผิงอันถาม “การค้าอะไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!