ส่วนการเดินทางไปเมืองหลันเซ่อนั้น เนื่องจากต้องอ้อมผ่านภูเขาแม่น้ำจำนวนมาก เป็นเหตุให้ระยะทางยาวไกลถึงแปดร้อยกว่าลี้ เรื่องที่คิดจะขี่กระบี่ บังคับลมบินทะยาน หรือบังคับสมบัติอาคมบินไปนั้น ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมา ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งก็ยังคงเป็นการรนหาที่ตายอยู่ดี ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนผี หาไม่แล้วเมื่อมาเยือนหุบเขาผีร้ายที่มีปราณหยินอึมครึม ปราณเยียบเย็นไหลทะลักดุจกระแสน้ำขึ้นแห่งนี้ก็ไม่มีความหมายของการฝึกฝนประสบการณ์อยู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังจะเป็นการลดทอนตบะให้เสียหาย แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ไม่ยินดีข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก น้อยครั้งนักที่จะออกจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่ถ่วงเวลาในการฝึกตน ยังไร้ประโยชน์อีกด้วย
ก็เหมือนการที่ก่อกำเนิดแซ่ซูของสำนักพีหมาที่มาดูแลเรือข้ามทวีปหนึ่งลำ นั่นเป็นการกระทำด้วยความจนใจเนื่องจากไม่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นอีกแล้ว ก็โทษไม่ได้ที่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้จะรู้สึกอัดอั้นตันใจ
ดังนั้นขอบเขตก่อกำเนิดและขอบเขตบินทะยานต่างก็ถูกเรียกขานอย่างขบขันว่าเต่าพันปีและตะพาบหมื่นปี
เฉินผิงอันเลือกจะตรงไปที่เมืองชิงหลู อีกทั้งยังไม่เลือกเดินไปบน ‘ทางหลวง’ ที่สำนักพีหมาบุกเบิกอย่างยากลำบากเส้นนั้นด้วย
เด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาใหญ่ กับกลุ่มคนสามคนที่เป็นผู้ฝึกตนผีจับกลุ่มกับผู้ฝึกตนอิสระสำนักการทหารเลือกจะไปที่เมืองหลันเซ่อ ส่วนหลังจากนั้นจะเสี่ยงอันตรายไปเยือนเมืองชิงหลูอีกครั้งหรือไม่ก็เดาได้ยากแล้ว
ที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจก็คือคู่รักคู่นั้น มองดูเหมือนตบะไม่สูง แต่กลับเลือกเส้นทางอันตรายอย่างเมืองชิงหลูนี้
คู่รักที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระพูดคุยกันเสียงเบา พวกเขาจับมือกันเดินทางขึ้นเหนือ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แม้จะดูเพ้อฝันไปบ้าง แต่สีหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว
สมกับคำว่าหาเงินโดยเอาหัวผูกไว้ตรงสายรัดเอวจริงๆ (เปรียบเปรยว่าทำอะไรบางอย่างโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของตัวเอง)
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากพวกเขามาค่อนข้างไกล ตนเดินอยู่ด้านหน้า ถึงอย่างไรก็ดีกว่าติดตามอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเกิดการคาดเดาส่งเดช
อีกฝ่ายเองก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเหมือนจงใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา อีกทั้งยังมักจะหยุดเดินอยู่บ่อยๆ บ้างก็หยิบดิน บ้างก็ดึงต้นหญ้า ถึงขั้นยังขุดดินหาก้อนหิน พินิจพิเคราะห์เลือกไปทีละก้อน
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างกันมากขึ้นทุกที
พอคู่รักผู้ฝึกตนอิสระคู่นั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็มองไม่เห็นเงาร่างของจอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว
ท้องฟ้าในหุบเขาผีร้ายเป็นสีเทาขมุกขมัว เหมือนสภาพบรรยากาศเวลาฝนตก จึงเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เฉินผิงอันยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว
ทางสายเล็กคับแคบที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลูเส้นนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพยายามหลีกเลี่ยงนครน้อยใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายให้มากที่สุด แต่เดิมทีการที่คนเป็นในโลกมนุษย์มาเดินอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณอาฆาตแค้นของคนตายก็เหมือนแสงไฟท่ามกลางม่านราตรีที่โดดเด่นสะดุดตามากอยู่แล้ว และผีร้ายหลายตนที่สูญเสียสติปัญญาไปอย่างสิ้นเชิงก็มีการรรับกลิ่นที่เฉียบไวต่อปราณหยาง หากไม่ทันระวัง เคลื่อนไหวรุนแรงเกินไปก็อาจจะชักนำให้ผีร้ายกรูเข้ามาหากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า สำหรับวิญญาณหยินแข็งแกร่งที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งแล้ว ผีร้ายที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาพวกนี้ก็เหมือนซี่โครงไก่ รับสมัครมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พวกมันก็ทั้งไม่ยอมรับพันธนาการ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่แน่ว่าอาจเข่นฆ่ากันเอง ทำให้กองกำลังของตัวเองเสียหาย ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกมันร่อนเร่ไปเรื่อยแบบนี้ และบางครั้งก็จับเอาพวกมันมาเป็นคู่ซ้อมมือ
ในผืนป่าข้างทางแห่งหนึ่งที่มีกลุ่มอีกาเกาะกิ่งไม้กันอยู่อย่างสงบ เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้าไปมองก็เห็นว่าในจุดลึกของผืนป่ามีเงาวูบวาบ ชุดสีขาวล่องลอยไปมา เดี๋ยวก็ปรากฏตัว เดี๋ยวก็วูบหายไป
เฉินผิงอันจึงถือโอกาสออกจากทางสายเล็ก เดินเข้าไปในป่ารก อีกากระพือปีกบินหนี กิ่งไม้สั่นไหว มองดูคล้ายภูตผีที่แสยะเขี้ยวกางเล็บอยู่ตรงนั้น
เพียงแต่เมื่อเฉินผิงอันเดินเข้ามาในป่า นอกจากเกราะผุพัง หรือไม่ก็อาวุธขึ้นสนิมที่โผล่ปลายส่วนหนึ่งมาจากในพื้นดินแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก
เฉินผิงอันดีดปลายเท้าทะยานขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงกิ่งหนึ่งของต้นไม้แห้งเหี่ยว พอกวาดตามองไปรอบด้านก็ยังคงมองไม่ออกถึงเบาะแสของความผิดปกติ เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันย้ายสายตาไปมองมุมหนึ่งกะทันหัน แล้วเพ่งตามองไป ในที่สุดก็มองเห็นว่าด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่งมีใบหน้าซีดขาวโผล่มาครึ่งซีก ริมฝีปากแดงฉาน ลักษณะคือสตรีผู้หนึ่ง ท่ามกลางผืนป่าที่ไร้กลิ่นอายของความมีชีวิตแห่งนี้ นางจ้องตาอยู่กับเฉินผิงอันเพียงลำพัง ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาอย่างแข็งทื่อ คล้ายกำลังมองประเมินเฉินผิงอันอยู่
เฉินผิงอันจับประคองงอบ คิดว่าจะไม่สนใจวัตถุหยินภูตผีตนนั้น กำลังจะกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงกลับสังเกตเห็นว่าอยู่ดีๆ กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดหักออกดังเปาะอย่างไม่มีลางบอกเหตุ เฉินผิงอันขยับเท้าเบี่ยงหลบไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าตรงจุดที่กิ่งไม้หักออกจากกันมีเลือดสดไหลซึมออกมาช้าๆ แล้วหยดลงบนพื้นดินใต้ต้นไม้ จากนั้นเกราะเหล็กทั้งหลายที่ขึ้นสนิมมานานซึ่งถูกฝังลึกอยู่ใต้ดินก็เหมือนถูกคนหยิบมาสวมลงบนร่าง อาวุธก็ถูก ‘ดึงออกมา’ จากใต้ดิน สุดท้าย ‘นักรบสวมเกราะ’ สิบกว่าตนก็พากันลุกขึ้นยืนโงนเงน โอบล้อมต้นไม้แห้งเหี่ยวสูงใหญ่ที่เฉินผิงอันยืนอยู่ต้นนี้เอาไว้
เฉินผิงอันกระโดดผลุงลงมา มายืนอยู่บนไหล่ของทหารชุดเกราะคนหนึ่งพอดี คิดไม่ถึงว่าเกราะเหล็กนั้นจะพลันกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายหล่นฮวบลงบนพื้นดิน เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้นโบกหนึ่งครั้ง พายุลมกรดส่วนหนึ่งปัดผ่านไป ทหารชุดเกราะทั้งหมดก็พากันแหลกสลายเป็นผุยผงเหมือนกับตนแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง สตรีชุดขาวที่ยังคงโผล่ใบหน้ามาแค่ครึ่งหน้าหลบอยู่หลังต้นไม้ผู้นั้นปิดปากหัวเราะชอบใจ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ภูเขาแม่น้ำบริเวณใกล้เคียงนี้ ตรงไหนมีผีร้ายเข้าออกบ้าง?”
สตรีค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวเองอย่างแข็งทื่อ
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าหมายถึงผีร้ายประเภทที่ไม่ตายด้วยหมัดเดียว”
สตรีชุดขาวอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเหี้ยมอำมหิต ภายใต้ผิวพรรณที่ขาวซีดเหมือนมีไส้เดือนหลายตัวเลื้อยยั้วเยี้ย นางทำมือต่างมีด ฟันให้ต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นหนาเท่าปากบ่อน้ำต้นนั้นหักโค่นได้อย่างง่ายดายเหมือนใช้มีดหั่นก้อนเต้าหู้ จากนั้นก็ยกฝ่ามือตบหนักๆ หนึ่งครั้ง ผลักต้นไม้ให้กระแทกเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า พายุลมกรดเหมือนผนังที่สกัดกั้นอยู่ตรงหน้าเขา พอต้นไม้ที่หักโค่นกระแทกมาโดนก็ระเบิดแหลกลาญ เศษฝุ่นผงลอยคลุ้งมืดฟ้ามัวดินในเสี้ยววินาที
ความเย็นแผ่มาจากใต้ฝ่าเท้าเป็นระลอก ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างรัดพันเท้าทั้งสองของเฉินผิงอัน จากนั้นในดินก็มีศีรษะของสตรีผู้หนึ่งโผล่ออกมา
มิน่าเล่าถึงปรากฏตัวให้คนเห็นเพียงครึ่งหน้า ที่แท้ถึงแม้ครึ่งใบหน้านั้นของนางจะซีดขาว แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีความงดงามของสตรี ทว่าอีกครึ่งหน้าที่เหลือกลับมีเพียงกระดูกขาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังบางๆ มองปราดๆ จึงเหมือนสตรีอัปลักษณ์ที่มีใบหน้าเพียงแค่ครึ่งเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!