หลังออกมาจากสันเขาอีกา เฉินผิงอันก็เดินเลียบ ‘ทางหลวง’ ของหุบเขาผีร้ายเส้นนั้นขึ้นเหนือต่อ แต่ว่าขอแค่มีทางแยกเส้นเล็กเบี่ยงจากทางสายใหญ่ออกไป เขาก็จะต้องแยกเดินไปให้ได้ จนกระทั่งสุดทางถึงจะหยุดเดิน บางครั้งก็เจอกับธารน้ำลึกที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงชัน แล้วบางครั้งก็อาจเป็นหน้าผาตระหง่านง้ำ ไม่เสียแรงที่เป็นหุบเขาผีร้าย ทุกพื้นที่ล้วนซุกซ่อนความมหัศจรรย์ ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมลำธารก็สังเกตเห็นว่าใต้น้ำมีเผ่าน้ำใช้ชีวิตอยู่ เป็นเผ่าพันธุ์ที่เริ่มมีสติปัญญา เพียงแต่ว่าตอนที่เฉินผิงอันนั่งยองวักน้ำล้างใบหน้า ปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำกลับยังคงมีน้ำอดน้ำทน ไม่ได้เลือกออกจากน้ำมาลอบโจมตีเฉินผิงอัน ในเมื่ออีกฝ่ายระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะเป็นคนลงมือก่อน
ส่วนทางฝั่งของหน้าผาที่มีภูเขาสองลูกคุมเชิงกันอยู่นั้นก็มีสะพานเหล็กเส้นหนึ่งพาดผ่าน กระดานไม้ของสะพานผุพังไม่เหลือชิ้นดีนานแล้ว หลงเหลือเพียงโซ่เหล็กที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศส่ายไหวเบาๆ ไปตามสายลม สำหรับผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้ว การจะเดินไปบนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เฉินผิงอันกลับมองเห็นว่าตรงกลางของสะพานเหล็กไม่เพียงแต่มีงูเหลือมสีดำสนิทลำตัวหนาเท่าเสาต้นหนึ่งแลบลิ้นแปลบๆ รัดพันอยู่ ห่างจากภูตงูเหลือมไปไม่ไกลยังมีใยแมงมุมที่กว้างมากใยหนึ่งตั้งตระหง่าน เอาไว้ดักจับพวกนกที่บินผ่านระหว่างภูเขาโดยเฉพาะ หัวของภูตแมงมุมตัวนั้นมีขนาดเท่ากำปั้น และสามารถจำแลงกลายมาเป็นใบหน้าของสตรีได้แล้ว
หากนักพรตเต๋าหรือหลวงจีนเดินทางท่องเที่ยวมาที่นี่แล้วเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องลงมือกำจัดปีศาจปราบมารเพื่อสะสมบุญกุศล
แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ปีศาจของที่แห่งนี้ ต่อให้คิดอยากจะกินคน อยากจะก่อกรรมทำเข็ญ ก็ต้องมีคนเดินไปปะทะกับพวกมันก่อนจึงจะได้
คราวนี้เฉินผิงอันเดินเลียบทางแยกเข้าไปในป่าลึกกลับได้เห็นว่าตรงตีนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งมีสิ่งปลูกสร้างเก่าโทรมลักษณะคล้ายศาลขนาดเล็กไว้ให้คนพักเท้า ในตำราไม่มีบันทึกไว้ เฉินผิงอันคิดจะหยุดพักสักครู่แล้วค่อยเดินขึ้นเขาไป ศาลเล็กไร้นาม ทว่าชื่อเสียงของภูเขาลูกนี้กลับมีไม่น้อย ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ได้กล่าวไว้ว่าภูเขาลูกนี้มีชื่อว่าภูเขากระจกวิเศษ ตรงกึ่งกลางภูเขามีลำธารอยู่เส้นหนึ่งที่เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลเคยมีเซียนขี่เมฆท่องเที่ยวมาถึงแล้วเจอเข้ากับพวกองค์เทพอย่างเทพสายฟ้าและเจ้าแม่ฟ้าแลบกำลังโปรยพิรุณกันอยู่ เซียนผู้นั้นไม่ทันระวังทำกระจกวิเศษซึ่งเป็นสมบัติหนักของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งหล่นไว้ ลำธารกลางภูเขาเส้นนั้นก็จำแลงมาจากกระจกที่หล่นลงสู่พื้นดินบานนั้น
ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเดาว่ากระจกวิเศษโบราณบานนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่มีระดับขั้นถึงสมบัติอาคม แต่กลับแฝงโชควาสนาที่น่าตื่นตะลึงเอาไว้
เฉินผิงอันอยากจะขึ้นไปดูสักหน่อย ถึงอย่างไรการท่องเที่ยวอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ไม่ต้องคอยสนอยู่แล้วว่าหนทางจะอ้อมไกลหรือไม่ ในอดีตสำหรับเรื่องของโชควาสนานั้น เฉินผิงอันยอมรับชะตากรรมตัวเองอย่างมาก แน่ใจว่าไม่มีทางมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดไปมากแล้ว เพียงแต่ว่าโชควาสนาอย่างภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์ในเมืองปี้ฮว่านั้นยังคงเป็นสิ่งที่เขาแตะต้องไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างวัตถุไร้เจ้าของในจวนเซียนพื้นที่ลับหรือวัตถุดิบวิเศษที่เกิดขึ้นตามโชควาสนา เฉินผิงอันก็อยากจะลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง
เฉินผิงอันก่อกองไฟกองหนึ่งขึ้นในวัดร้าง แสงไฟมีประกายสีเขียวอ่อนๆ วับแวมแฝงเหลือบอยู่ ประหนึ่งไฟผีพุ่งใต้ในสุสาน
เฉินผิงอันกำลังกินอาหารแห้งก็สังเกตเห็นว่าบนทางเส้นเล็กด้านนอกมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยถือไม้เท้า บนไม้เท้าห้อยน้ำเต้าคนหนึ่งกำลังเดินมา เฉินผิงอันเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเอง ไม่คิดจะเอ่ยทักทาย
ผู้เฒ่ามายืนอยู่ตรงประตูของวัดเล็ก ยิ้มถามว่า “คุณชายคิดจะไปเยือนลำธารลึกบนภูเขากระจกวิเศษหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “คุณชาย หาใช่ข้าผู้อาวุโสจงใจพูดจาข่มขู่ให้เจ้ากลัว แต่สถานที่แห่งนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แม้จะเรียกว่าลำธาร แต่กลับกว้างและลึก ใหญ่เหมือนทะเลสาบ น้ำใสจนมองเห็นก้นบึ้ง แล้วก็น่าจะสอดคล้องตามคำกล่าวประโยคนั้นที่ว่าบอกน้ำใสเกินไปปลาก็อยู่ไม่ได้จริงๆ เพราะในลำธารไม่มีปลาแหวกว่ายให้เห็นเลยสักตัว พวกสัตว์ปีกอย่างนก สัตว์เลื้อยคลานอย่างงู หรือสัตว์บกอย่างพวกหมาป่าก็ยิ่งไม่กล้ามาดื่มน้ำที่นี่ เพราะมักจะมีนกที่บินผ่านแล้วตกน้ำตายเป็นประจำ นานวันเข้าก็มีคำเรียกขานว่าลำธารดูดวิญญาณ โครงกระดูกขาวกองทับถมกันอยู่ใต้ทะเลสาบ นอกจากพวกสัตว์ปีกทั้งหลาย ยังมีพวกผู้ฝึกตนหลายคนที่ไม่เชื่อถือที่ต้องมาตายอยู่ในทะเลสาบ ตบะของทั้งร่างกลายไปเป็นชะตาน้ำของลำธารภูเขาเส้นนี้อย่างเปล่าประโยชน์”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นขอถามท่านผู้อาวุโสหน่อยว่า สรุปว่าท่านอยากให้ข้าไปชมทะเลสาบ หรืออยากให้ข้าย้อนกลับทางเดิมกันแน่?”
“คุณชายพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างกังขา “ข้าผู้อาวุโสย่อมไม่หวังให้คุณชายเสี่ยงอันตรายไปชมทิวทัศน์อยู่แล้ว ในเมื่อคุณชายเป็นผู้ฝึกตน บนฟ้าใต้ดิน ทัศนียภาพงดงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เหตุใดยังต้องไปเสี่ยงอันตรายที่ลำธารกลางภูเขาแห่งหนึ่ง ตลอดพันปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่ไขปริศนาไม่ได้ เทพเซียนพสุธากี่มากน้อยที่เข้ามายังภูเขาลูกนี้แล้วไม่เคยได้รับโชควาสนากลับไป แค่มองก็รู้ว่าคุณชายมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ร่างกายล้ำค่าประดุจทองคำ ไม่ควรพาตัวมาเสี่ยงอันตนาย ข้าผู้อาวุโสคงต้องขอพูดเพียงเท่านี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้คุณชายเข้าใจผิดเอาได้”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไม้เท้าที่มีหน่อสีเขียวตะปุ่มตะป่ำในมือของผู้เฒ่าแล้วถามว่า “หรือว่าท่านผู้อาวุโสคือเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้?”
ผู้เฒ่ามือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งลูบหนวดยิ้มบางๆ “ท่ามกลางกลุ่มภูเขาในหุบเขาผีร้าย ไม่มีตำแหน่งเทพแห่งผืนดิน แต่ก็มีหน้าที่เหมือนเทพแห่งผืนดินจริงๆ นั่นแหละ ข้าผู้อาวุโสถือว่าเหยียบโชคดีขี้หมาจึงได้อยู่ติดอันดับ เทพแห่งผืนดินครึ่งตัวในภูเขากระจกวิเศษเล็กๆ แห่งนี้ส่องแสงเท่าเมล็ดข้าวสาร ส่วนท่านผู้อาวุโสวิญญาณวีรบุรุษทั้งหลายที่ยึดครองนครใหญ่เมืองยักษ์กินควันธูป กินโชคชะตาเหล่านั้นต้องเรียกว่าส่องแสงสุกสกาวดุจตะวันจันทรา”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ทราบว่าร่างจริงของท่านผู้อาวุโสคือ?”
ผู้เฒ่าเป่าหนวดถลึงตา กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเด็กน้อยอย่างเจ้าช่างไม่รู้มารยาทเอาซะเลย อยู่ในราชวงศ์ของหมู่ชาวบ้านยังมีคำกล่าวว่าไม่ถามนามภิกษุ ไม่ถามอายุนักพรตเต๋า เจ้าที่เป็นผู้ฝึกตน ยามเจอกับเทพแห่งภูเขาแม่น้ำ เหตุใดยังกล้าถามถึงเรื่องราวในอดีตชาติ! ข้าว่าเจ้าต้องไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างแน่นอน ทำไม ผู้ฝึกตนอิสระเล็กๆ คนหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกไม่รอดก็เลยมาที่หุบเขาผีร้ายของพวกเรา มาใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนโชควาสนาที่ภูเขากระจกวิเศษของเราอย่างนั้นหรือ? หากตายก็ตายไป ไม่ตายก็จะได้ร่ำรวยอย่างนั้นรึ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป “ดูท่าก้นลำธารกลางภูเขาคงต้องมีโครงกระดูกเพิ่มมาอีกโครงหนึ่งแล้ว”
น้ำเต้าที่ผูกไว้ตรงหัวไม้เท้าเหมือนเพิ่งถูกปลดลงมาจากเถา เพราะยังเป็นสีเขียวมรกตสดปลั่ง
เฉินผิงอันยื่นมือไปอังไฟแล้วคลี่ยิ้ม
ลูกไม้น้อยนิดและเวทอำพรางตาของผู้เฒ่าซึ่งบอกว่าตัวเองคือเทพแห่งผืนดินของภูเขากระจกวิเศษนำมาหลอกคนอื่นนั้นมีรูโหว่อยู่ทั่วจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง
นับว่าหาได้ยากที่เขาอุตส่าห์ไปเจอไม้เท้าที่เหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวเจอกับวสันตฤดูจึงแตกหน่อสีเขียวและน้ำเต้าสีมรกตที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นลูกนั้นมาได้
แต่กลิ่นสาบจิ้งจอกของผู้เฒ่ากลับยังคงปกปิดได้ไม่ดีนัก และเมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาล ปีศาจจิ้งจอกก็ไม่อาจกลายมาเป็นเทพแห่งภูเขาได้ นี่ก็คือกฎเหล็ก
เฉินผิงอันเดาเอาว่าตัวตนที่แท้จริงของจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้น่าจะเป็นเทพพ่อปู่ลำคลองของลำธารกลางภูเขาสายนั้น ทั้งไม่หวังให้ตนพาตัวไปตายในทะเลสาบโดยไม่ทันระวัง แล้วก็ทั้งกลัวว่าตนอาจจะช่วงชิงโชควาสนาจากกระจกวิเศษบานนั้นไปได้ ทำให้มันสูญเสียรากฐานมหามรรคา ดังนั้นจึงมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าจิ้งจอกเฒ่าก็อาจจะเป็นพวกลูกสมุนขององค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำบางท่านในภูเขากระจกวิเศษ แต่เกี่ยวกับเรื่องขององค์เทพในหุบเขาผีร้ายนี้ ในตำรามีบันทึกไว้ไม่มาก บอกแค่ว่ามีจำนวนน้อยนิด โดยทั่วไปแล้วมีเพียงวิญญาณวีรบุรุษผู้เป็นเจ้าเมืองเท่านั้นที่พอจะถือได้ว่าเป็นเทพแห่งภูเขาแม่น้ำครึ่งตัว ส่วนสถานที่ที่มีภูเขาสูงสายน้ำใหญ่แห่งอื่นๆ วัตถุหยินที่ ‘แต่งตั้งยศ’ ให้ตัวเองล้วนเป็นประเภทยศตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
เฉินผิงอันกำลังจะดื่มเหล้า
เห็นเพียงว่าจิ้งจอกเฒ่ามาที่นอกวัดร้างอีกครั้ง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “คิดดูแล้วคุณชายคงมองตัวตนของข้าผู้อาวุโสออกแล้ว ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้มีแต่จะกลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่น ก็จริง ข้าผู้อาวุโสก็คือจิ้งจอกเฒ่าแห่งภูเขาตะวันตก และอันที่จริงแล้วภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำอย่างพวกเทพแห่งผืนดินหรือพ่อปู่ลำคลองอะไรทั้งนั้น ข้าผู้อาวุโสเติบโตมาที่แถบของภูเขากระจกวิเศษตั้งแต่เด็ก แล้วก็ได้เริ่มฝึกตน อาศัยปราณวิญญาณของลำธารในภูเขานั้นจริง แต่ข้าผู้อาวุโสยังมีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง วันที่นางบรรลุมรรคากลายร่างเป็นคนเคยตั้งคำสัตย์ปฏิญาณเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือภูตผีสัตว์ประหลาด ขอแค่ใครก็ตามที่มาว่ายน้ำในลำธาร แล้วเจอปิ่นปักผมสีทองที่นางทำตกน้ำตอนเยาว์วัย นางก็จะยินดีแต่งงานกับคนผู้นั้น”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ข้าผู้อาวุโสรอคอยมานานหลายร้อยปีแล้ว น่าสงสารบุตรสาวของข้าที่เกิดมาสะคราญโฉม ไม่รู้ว่าทหารผีที่อยู่ใกล้เคียงกี่มากน้อยที่อยากจะมาสู่ขอนางจากข้า แต่ก็ล้วนถูกปฏิเสธไปหมด นี่ทำให้หลายๆ คนเกิดความไม่พอใจแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้เป็นข้าผู้อาวุโสก็คงอยู่ที่แถบภูเขากระจกวิเศษนี้ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นวันนี้พอเห็นคุณชายที่มีรูปโฉมงดงามก็เลยคิดว่าหากคุณชายสามารถเก็บปิ่นทองชิ้นนั้นมาได้ ก็จะช่วยลดปมในใจที่ใหญ่เทียมฟ้านี้ให้แก่ข้าผู้อาวุโส ส่วนหลังจากได้ปิ่นทองมาแล้ว ตอนที่คุณชายออกไปจากหุบเขาผีร้ายจะพาบุตรสาวของข้าไปด้วยกันหรือไม่ ข้าผู้อาวุโสคงไปเจ้ากี้เจ้าการไม่ได้แล้ว ต่อให้ร่วมหอลงโรงกับนางไปแล้ว แล้วจะให้นางเป็นอนุภรรยาหรือเป็นสาวใช้ ข้าผู้อาวุโสก็ยิ่งไม่สนใจ เผ่าจิ้งจอกภูเขาตะวันตกอย่างพวกเราไม่เคยถือสาพิธีการในโลกมนุษย์เหล่านี้อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้ามีแผนการอะไร แต่อย่ามาใกล้ข้าอีก เจ้าวาดงูเติมขากี่ครั้งแล้ว? ไม่อย่างนั้นให้ข้าช่วยคำนวณแทนเจ้าดีไหม?”
ผู้อาวุโสถามหยั่งเชิง “เรื่องปิ่นทอง ข้าผู้อาวุโสพูดเกินจริงไปหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ผู้เฒ่าตีอกชกตัว หมุนกายจากไปอย่างขุ่นเคือง เขาพลันหยุดเท้าหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “คนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้า เหตุใดถึงได้หลอกยากหลอกเย็นขนาดนี้?! หรือว่านอกหุบเขาผีร้ายล้วนมีแต่รังนักต้มตุ๋น?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!