เฉินผิงอันออกจากภูเขากระจกวิเศษมาไกลมากแล้ว
เพื่อเดินทางมาเยือนภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ เฉินผิงอันจึงเดินอ้อมออกจากเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลูมามากแล้ว
ดูท่าเรื่องของการเสี่ยงดวงนี้คงไม่เหมาะกับตนสักเท่าไหร่จริงๆ
หากเปลี่ยนมาเป็นลู่ไถหรือหลี่ไหวก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ออกจากภูเขากระจกวิเศษมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงเลือกเดินไปบนสันเขาสูงชัน ขยับเข้าไปใกล้เมืองชิงหลูมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณหยินโอสถทองและผีใต้บังคับบัญชาของมันไม่ยอมปรากฎตัวเสียที แต่นี่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรศึกที่สันเขาอีกาตนก็ไล่ฆ่าศัตรูด้วยอารมณ์ฮึกเหิมไปบ้าง จึงไม่ได้จงใจปกปิดพลังอำนาจที่แท้จริง ทางฝั่งของนครฟูนี่ที่มีฟ่านอวิ๋นหลัวซึ่งเป็นโอสถทองเป็นผู้นำก็เรียกได้ว่าพ่ายแพ้ยับเยินดุจขุนเขาถล่มทลาย เชื่อว่า ‘โจรบนหลังม้า’ ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถบหุบเขาผีร้ายมานานหลายปีกลุ่มนั้นคงไม่คิดจะเป็นฝ่ายออกมาหาเรื่องซวยใส่ตัวเอง
การเดินทางขึ้นเหนือผ่านภูเขาแม่น้ำมาได้อย่างไร้อุปสรรค ภูตผีปีศาจส่วนใหญ่ที่อาจจะทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งตายก่อนวัยอันควรได้นั้น มักจะระมัดระวังตัว แค่มองดูเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ แล้วก็หดหัวกลับเข้ารังของตัวเองในป่าลึกไป
ยกตัวอย่างเช่นงูเหลือมยักษ์และปีศาจแมงมุมที่อยู่บนสะพานโซ่เหล็ก หากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่นั้นที่ผ่านทางมา บางทีแค่พบหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเสี่ยงอันตรายข้ามสะพานไปก็อาจเจอกับภัยที่นำความตายมาสู่ตัวแล้ว
ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหยุดพักเท้าอยู่ในป่าต้นท้อแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าป่าต้นท้อแห่งนี้ย่อมมีความประหลาด ไหนเลยจะมีหลักการที่ดอกท้อบานสะพรั่งในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้
เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันสะพายกระบี่มาหาประสบการณ์อยู่ในหุบเขาผีร้าย สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่ความแปลกประหลาดพิสดารต่างๆ นานา แต่กลัวว่าจะไม่พบเจอความผิดปกติใดๆ เลยต่างหาก
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ด้านนอกป่าท้อเห็นว่ามีป้ายศิลาสองแผ่นที่ขนาดสูงต่ำไม่เท่ากันตั้งอยู่ คล้ายกับเป็นเพื่อนบ้านคู่หนึ่งที่ไม่ถูกกัน บนแผ่นป้ายแบ่งออกเป็นสลักคำว่า วัดเยว่หยวนใหญ่ และอารามเสวียนตูเล็ก
หากไม่เป็นเพราะด้านหลังคำว่า ‘เสวียนตู’ ยังมีคำว่าเล็ก ให้ตายเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเดินเข้ามาในป่าท้อนี่เด็ดขาด
เพราะอารามเสวียนตูที่แท้จริงแห่งนั้นก็คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของตระกูลเซียนในใต้หล้ามืดสลัวที่กล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าลัทธิทั้งสามท่าน
เล่าลือกันว่าหลังจากที่เต๋าเหล่าเอ้อร์ได้กลายเป็นเจ้าลัทธิของสายหนึ่งแล้ว มีเพียงครั้งเดียวที่เขาใช้กระบี่เซียนเล่มนั้นในใต้หล้าซึ่งเป็นบ้านของตัวเอง ก็คือที่อารามเสวียนตู
แม้จะแน่ใจว่าบนป้ายศิลาเขียนไว้ว่าอารามเสวียนตูเล็กจริงๆ ไม่ใช่สถานที่สำคัญของลัทธิเต๋าที่ขนาดอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังประดุจฟ้าผ่าแห่งนั้น แต่ก่อนที่เฉินผิงอันจะเข้ามาในป่าก็ยังเหยียบบนกระบี่บินชูอีสืออู่ ลอยตัวกลางอากาศก้มหน้าลงมองเบื้องล่าง เขาพบว่าป่าท้อแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างขวางไม่ต่ำกว่าพันไร่ น่าจะไม่มีสิ่งปลูกสร้างประเภทวัดหรืออารามใดๆ
ป่าท้อแห่งนี้ ทางสำนักพีหมาไม่ได้บันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ แม้แต่คำเดียว
คิดดูแล้วก็น่าจะไม่มีปีศาจใหญ่หรือผีดุร้ายถึงจะถูก
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ารอบด้านไม่มีกิ่งไม้ท้อแห้งเลยแม้แต่ครึ่งกิ่ง มีเพียงพุ่มใบบนยอดไม้ที่หนาจนเกินจริง ดอกท้อผลิบานสะพรั่ง นี่ไม่ได้ทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งสดชื่นแล้ว เพราะพอดมนานๆ เข้า กลิ่นของมันกลับเข้มข้นจนทำให้คนรู้สึกเอียน
เฉินผิงอันปลดงอบลง นั่งขัดสมาธิ คีบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ขยี้เบาๆ ยันต์ก็ติดไฟช้าๆ ความเร็วในการเผาไหม้ของมันไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเส้นทางของหุบเขาผีร้าย ดูท่าแล้วปราณดุร้ายของสถานที่แห่งนี้คงจะปกติจริงๆ เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วป่าท้อแห่งนี้กลับเกินกว่าเหตุไปบ้าง เฉินผิงอันปล่อยนิ้วทั้งสอง ค้อมเอววางยันต์ไว้ตรงหน้าตัวเอง จากนั้นก็เริ่มตั้งท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู โคจรลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น เหมือนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งว่ายวนไปตามช่องโพรงแห่งต่างๆ ช่วยป้องกันไม่ให้กลิ่นหอมของที่แห่งนี้รุกรานเข้ามาในร่างกายได้พอดี แต่ขออย่าให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันก็แล้วกัน
ใต้พื้นดินมีเสียงหัวเราะใสปานกระดิ่งเงินของสตรีดังมาระลอกหนึ่ง
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เสียงหัวเราะเริ่มหยุดลง เปลี่ยนมาเป็นถ้อยคำอ่อนหวานแทน “หนุ่มน้อยท่านนี้ช่างหน้าตาหล่อเหลานัก เข้ามาในกระโจมชมพูของข้า สูดดมกลิ่นหอมของเส้นผมข้า นับว่ามีวาสนาด้านความรักไม่น้อย หากข้าเป็นเจ้าจะไม่จากไปไหนอีกแล้ว จะอยู่ที่นี่ไปทุกชาติทุกภพ”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าบนพื้นมีไอน้ำชั้นหนึ่งแผ่ระเหยขึ้นมา แต่กลับไม่ลอยขึ้นสูง เพียงแค่ลอยไปลอยมาในระดับความสูงต่ำกว่าหนึ่งฉื่อ
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดสำนักพีหมาถึงได้จงใจละเว้นปีศาจต้นท้อเช่นเจ้า?”
ต้นไม้ตลอดทั้งป่าท้อเริ่มส่ายโงนเงนประหนึ่งสาวงามสวมชุดกระโปรงสีชมพูหลายคนพากันร่ายรำ
ราวกับว่าต้นท้อนับพันนับหมื่นต้นของที่แห่งนี้เป็นเพียงเส้นผมของนางเท่านั้น
เฉินผิงอันพบว่าทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาของตัวเองเริ่มส่ายไหวแล้วเช่นกัน
ไม่รู้ว่านางซ่อนอยู่ที่ใด มีเพียงเสียงหัวเราะพลิ้วหวานล่อลวงใจคนที่ดังมาให้ได้ยินไม่หยุดจากใต้ดิน “แน่นอนว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมากลัวข้าอย่างไรล่ะ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก? หนุ่มน้อยเจ้าช่างหล่อเหลายิ่งนัก แต่กลับโง่ไปหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นคู่ตุนาหงันที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งแล้ว”
ครู่หนึ่งต่อมา นางพลันหยุดหัวเราะ เอ่ยถามว่า “เอ๊ะ? เหตุใดตัวเจ้าไม่ขยับ ใจก็ไม่หวั่นไหวด้วยเล่า? หรือว่าเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ได้โกนผม? เป็นนักพรตจมูกวัวที่ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากยังเล่นผีหลอกเจ้าอยู่อีก ข้าจะตัดต้นท้อทั้งหมดทิ้ง ถือเสียว่าเป็นการฝึกกระบี่ ให้เจ้าได้เป็นแม่ชีเสียเดี๋ยวนี้”
นางไม่โกรธกลับยังหัวเราะ เอ่ยอย่างลิงโลดว่า “ดีสิๆ ข้าผู้น้อยขอน้อมรับวิชากระบี่ตระกูลเซียนของท่านหนุ่มน้อย”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไป
นักพรตน้อยที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นคนหนึ่งย่อพื้นที่พุ่งเข้ามา ใบหน้าของเขาขาวนวลริมฝีปากแดงก่ำ ปราณที่แท้จริงท่วมท้น ไม่อาจปกปิดสติปัญญาความฉลาดเฉลียวที่เอ่อล้นออกมาภายนอกได้
ไม่นึกว่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง
นักพรตชำเลืองตามองเฉินผิงอันด้วยสายตาเย็นชา “สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกตนที่อาจารย์และสหายปลูกกระท่อมอยู่เคียงข้างกัน ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมาได้ถูกหุบเขาผีร้ายให้การยอมรับว่าเป็นดินแดนสุขาวดีนอกโลก ไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน ต่อให้เป็นผูหรางแห่งนครกรงขาว หากไม่มีธุระเร่งด่วนก็จะไม่มีทางเข้ามาในป่าง่ายๆ เจ้าเป็นแค่คนที่มาฝึกประสบการณ์คนหนึ่ง จะมางัดข้อเอาอะไรกับภูตท้อเล็กๆ ตนหนึ่ง รีบไปซะ!”
เห็นได้ชัดว่าภูตท้อตนนั้นกริ่งเกรงในตัวนักพรตน้อยผู้นี้อย่างมาก เพียงแต่ว่าคำพูดที่พึมพำออกมากลับแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองน้อยๆ “ดินแดนสุขาวดีนอกโลกอะไรกัน ก็แค่ร่ายใช้วิชาอภินิหารตระกูลเซียนมาบังคับกักขังข้าไว้ที่นี่ จะได้ให้ช่วยปกป้องปราณวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ในวัดและอารามไม่ให้ไหลออกไปสู่ภายนอกก็เท่านั้น”
“บังอาจ!”
ใบหน้าของนักพรตน้อยดุดัน สะบัดแส้ปัดฝุ่นหนึ่งครั้งก็มีสายฟ้าหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งระเบิดพุ่งลงไปใต้ดินในเสี้ยววินาที ภูตต้นท้อที่อยู่ลึกใต้ดินร้องโหยหวนเสียงอู้อี้ ดอกท้อที่อยู่บนต้นร่วงกราวลงมาเป็นสาย
เฉินผิงอันเริ่มจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว
ในหุบเขาผีร้ายจะต้องมียอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาส่วนหนึ่งที่ไม่กลัวปราณหยินชั่วร้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ กลับกันคือพวกเขายังต้องอาศัยปราณหยินที่ตลบอบอวลอยู่ภายในฟ้าดินแห่งนี้มาขัดเกลาตบะของตัวเองด้วย
นักพรตน้อยยังคงไม่หายแค้นจึงสะบัดแส้ปัดฝุ่นอีกรอบ สายฟ้ายิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ถักทอกันเป็นตาข่ายตระกูลเซียนปากหนึ่งที่ผลุบหายลงไปใต้ดิน ใต้ดินพลันเกิดเสียงครืนครั่นดังเป็นระลอกทันที “สามวันไม่ตีปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา! หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ของข้ามีพระคุณแก่เจ้า ภูตต้นท้อเล็กๆ ที่เป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างเจ้าจะหยัดยืนอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้อย่างไร? แล้วยังแอบฟังอาจารย์ข้าถกปัญหาธรรมกับสหาย อาศัยโอกาสนี้ถึงได้ค่อยๆ ฝึกตนจนเป็นขอบเขตประตูมังกร เจ้าภูตลืมกำพืดของตัวเอง…”
ภูตต้นท้อร้องโหยหวนไม่หยุด ขอร้องให้นักพรตน้อยที่ลงมืออย่างดุดันผู้นั้นเมตตามัน
นักพรตน้อยยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ สะบัดแส้ปัดฝุ่นอีกครั้ง ทำให้จุดลึกของทะเลเมฆเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด เตรียมจะปล่อยสายฟ้าที่มาจากวิชาลับของลัทธิเต๋าสายหนึ่งลงมาจากท้องฟ้า ให้มาสั่งสอนภูตต้นท้อตัวนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!