สรุปตอน บทที่ 495.2 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 495.2 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าเพียงไม่นานพยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็สลายหายไป อันที่จริงตัวเขาเองก็แค่รู้สึกอัดอั้นตันใจเท่านั้น เมื่อเขาไปถึงภูเขาถงกวาน อย่าว่าแต่วานรย้ายภูเขาเลย แม้แต่สุนัขตะลุยภูเขาสักตัวก็ยังไม่เจอ
คาดว่าคงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่ตู้เหวินซือที่ทะยานลมเดินทางไกลคงจะครึกโครมเกินไป ทำให้พวกภูตผีของที่นี่ตื่นตกใจ
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
หากเป็นเวลาปกติ วานรย้ายภูเขาที่นิสัยดุร้าย ขอแค่ให้มันได้กลิ่นของมนุษย์สักเล็กน้อยก็น่าจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวด้วยตัวเองอย่างง่ายดายถึงจะถูก
เฉินผิงอันจงใจรั้งรออยู่ต่อไม่ยอมไปไหน แต่ผ่านไปเกินครึ่งวันแล้ว เขาใช้ตบะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าทั่วไปเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีปลามากินเบ็ดสักตัว
เฉินผิงอันจึงได้แต่ไปหยุดพักเท้าอยู่ในสถานที่หนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้าง คิดว่าจะค้างแรมอยู่ที่นี่ หากถึงตอนกลางคืนแล้วยังไม่พบเจออะไรก็จะล้มเลิกความคิดแล้วเดินทางขึ้นเหนือต่อ
ไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากนั้นจะไม่เจอพวกปีศาจหกอริยะแม้แต่ตัวเดียว
พอถึงยามค่ำคืน เฉินผิงอันก็ก่อกองไฟ นั่งฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ทั้งคืน
แล้วก็ได้แต่ออกมาจากภูเขาถงกวาน
บนภูเขาถงกวาน ในถ้ำลับแห่งหนึ่งที่กลิ่นคาวคละคลุ้ง มีวานรย้ายภูเขาหลังเงินตัวหนึ่งที่ยังไม่เลือกจำแลงกายเป็นมนุษย์มองผ่านหน้าต่างขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่งออกไปข้างนอก แม้ว่าการเดินของมันจะไม่ต่างจากมนุษย์ ทว่าใบหน้าและรูปร่างเรือนกายที่เต็มไปด้วยขนกลับยังคงสะดุดตาอย่างถึงที่สุด
มันกวักมือเรียก ด้านหลังก็มีบุรุษร่างเล็กเตี้ยหน้าตาเหมือนหนูคนหนึ่งเดินมา วานรย้ายภูเขาพูดเสียงแหบพร่า “รีบไปรายงานอริยะใหญ่ปานซานกับแขกคนนั้น บอกว่าไอ้หมอนี่มาเยือนจริงๆ แน่ใจว่าไม่ผิดตัว ก็คือเจ้าคนที่ทำให้คนของนครฟูนี่สะดุดล้มหัวทิ่มนั่น”
บุรุษร่างเล็กเตี้ยกำลังจะจากไปโดยใช้เส้นทางใต้ดินเส้นหนึ่ง
วานรย้ายภูเขาก็เอ่ยเตือนว่า “จำไว้ว่ามีไหวพริบหน่อย เลือกเส้นทางที่ลึกลับอำพราง ยอมอ้อมไปไกลดีกว่าไปเจอกับปลายกระบี่ของคนผู้นั้นแล้วต้องตาย เจ้าตายไปยังไม่นับเป็นอะไร แต่หากทำให้ธุระสำคัญของอริยะใหญ่ปานซานของพวกเราถูกถ่วงเวลาล่าช้า ข้าผู้อาวุโสจะจับลูกหนูหลานหนูรังนั้นของเจ้ามาตุ๋นเป็นน้ำแกงเสียเลย”
บุรุษยิ้มประจบ “ไม่มีทางทำให้เสียการใหญ่แน่นอน”
บุรุษเลียบเส้นทางใต้ดินเส้นนั้นออกไป พอออกจากถ้ำมาไกลแล้วก็เดินเข้าไปในร่องของหน้าผาหินแห่งหนึ่ง แล้วจึงกระโจนไปเบื้องหน้า กลับคืนสู่ร่างจริง นั่นคือหนูดำขนาดใหญ่ยักษ์เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็เริ่มชักเท้าออกวิ่ง
นกมีเส้นทางของนก หนูมีเส้นทางของหนู
ภูตหนูตัวนี้มองดูเหมือนตัวอ้วนใหญ่ แต่แท้จริงแล้วกลับแข็งแรงปราดเปรียว ลอดทะลุผ่านสันเขารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ มันห้อตะบึงไปตลอดทาง ไม่กล้าหยุดอยู่ที่ใดทั้งนั้น
พอออกมาจากอาณาเขตของภูเขาถงกวานแล้ว ภูตหนูยังมุดลงดินหายวับไป ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็แหวกผืนดินออกมาบริเวณใกล้ๆ กับรากไม้แห่งหนึ่ง มันโผล่หัวออกมาเหลียวซ้ายแลขวาก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยของคนอยู่จริงๆ ถึงได้มุดดำดินเดินทางต่อ
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรภูตหนูตนนี้ก็คิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินตามมาไกลๆ คนผู้นั้นปลดงอบ กระบี่เซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง จากนั้นก็สวมหน้ากากของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ภูตหนูระมัดระวังมากพอแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนว่าตบะของอีกฝ่ายจะสูงยิ่งกว่า
ช่วงเที่ยงวัน ลอดผ่านเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของสองปีศาจใหญ่ ในที่สุดภูตหนูก็มาถึงภูเขาของอริยะใหญ่ปานซานท่านนั้น หลังกลับคืนสู่ร่างคน เหงื่อก็แตกท่วมร่าง หอบหายใจหนักหน่วง
แม้จะบอกว่าอริยะใหญ่ทั้งหกท่านเป็นพี่น้องกัน ร่วมแรงร่วมใจกันต้านทานศัตรู ทว่าระหว่างสามีภรรยาและระหว่างพี่น้องกันเองก็ยังมีทะเลาะเบาะแว้ง มีความขัดแย้งกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ลำบากก็แต่ลูกกระจ๊อกตัวเล็กตัวน้อยที่ตบะไม่เข้าขั้นอย่างพวกมันที่อยู่ดีๆ ก็มักจะกลายไปเป็นอาหารในจานของอริยะใหญ่บางท่าน เพราะถึงอย่างไรเมื่อกินพวกมันอิ่มหนึ่งมื้อก็สามารถเพิ่มพูนตบะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกภูตครึ่งตัวที่แม้แต่จะประคับประคองร่างคนเอาไว้ก็ยังยากลำบากที่ชีวิตยิ่งต่ำต้อยด้อยค่า
ทางภูเขาเปิดกว้าง เมื่อภูตหนูมาถึงถิ่นของตัวเอง ความกล้าก็พลันเพิ่มพูน เพิ่งจะสะบัดชายแขนเสื้อเตรียมจะขึ้นเขาก็พบว่าบนทางเล็กอีกทิศทางหนึ่งมีคนที่คุ้นเคยเดินมา อีกฝ่ายหลังค่อมงองุ้ม เดินกระย่องกระแย่ง คล้ายกับชาวนาในชนบทที่ไม่แข็งแรง ภูตหนูดีใจเป็นล้นพ้น วิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปหาพร้อมตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยคารวะท่านบรรพบุรุษ!”
ตรงเอวผู้เฒ่ามีเชือกป่านหยาบๆ เส้นหนึ่งผูกไว้ สวมรองเท้าสาน หน้าตาไม่โดดเด่น หยีตาจนดวงตากลายเป็นเส้นเดียว ดูเหมือนว่าสายตาจะฟ้าฝาง หูก็ไม่ค่อยดี เขาเอียงศีรษะ ตะโกนเสียงดังถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน? พูดว่าอะไรนะ?”
ภูตหนูคล้องแขนผู้เฒ่า “ข้าเอง มาจากทางภูเขาถงกวาน ยังเป็นญาติกับท่านบรรพบุรุษด้วยนะ”
ผู้เฒ่าร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วก็ไม่ปฏิเสธภูตหนูที่ช่วยประคองอย่างกระตือรือร้น เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็พลันหยุดเท้า สูดจมูกฟุดฟิด ถลึงตากว้าง ประกายแสงในดวงตาสาดยิงไปสี่ทิศ ไหนเลยจะมีท่าทางแก่ชราเสื่อมโทรมอย่างก่อนหน้านี้อีก เขากวาดตามองไปรอบด้าน ตวาดเสียงเฉียบว่า “ผิดปกติ ผิดปกติ มีกลิ่นคน ต้องมีกลิ่นคนแน่นอน! เจ้าตัวดี ทำตัวลับๆ ล่อๆ ยิ่งนัก อำพรางตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็ยังเกือบจะหลอกได้แล้ว”
สองขาของภูตหนูสั่นพั่บๆ เกือบจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น
อย่าบอกนะว่าตลอดทางมานี้ ตนลากเอาเซียนกระบี่หนุ่มในตำนานตามก้นมาด้วย?
ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที “หนีไปแล้ว?”
ผู้เฒ่าหันไปคำรามเดือดดาลใส่ลูกหลานผู้นั้น “เจ้าเศษสวะ! ถูกคนสะกดรอยตามแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก หากเป็นสายลับที่เจ้าพวกโสมมกลุ่มนั้นส่งตัวให้มาทำลายค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของพวกเรา เจ้ามีร้อยชีวิตก็ชดใช้ได้ไม่ไหว!”
ภูตหนูขาอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สีหน้าซีดขาว ยังดีที่ไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญ จึงบอกอีกฝ่ายให้รู้ถึงสถานการณ์ทางภูเขาถงกวาน
สีหน้าของผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
เพียงแต่ว่าคนเป็นที่อาศัยอยู่ใกล้กับนครถงโช่ว ส่วนใหญ่ล้วนอายุไม่ยืน อย่างมากมีอายุขัยได้ห้าสิบปีก็ถือว่าอายุยืนมากแล้ว ส่วนสตรีชาวโลกของนครถงโช่วที่ต่อให้ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนแม้แต่น้อย แต่ก็ยังหน้าตางดงามน่าหลงใหล ทว่ารูปโฉมกลับโรยราอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้วหลังจากอายุยี่สิบห้าก็ปรากฏร่องรอยว่าจะเป็นคนแก่ไข่มุกเหลืองแล้ว ทำให้คนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
ทุกปีนครถงโช่วจะต้องคัดเลือกดรุณีน้อยหน้าตางดงามอายุประมาณสิบสามปีกลุ่มหนึ่งให้หมัวมัวผู้อบรมมารยาทช่วยสั่งสอนขัดเกลา แล้วจากนั้นก็จะถูกส่งตัวให้ไปเป็นอนุภรรยาหรือสาวใช้ของจวนวัตถุหยินที่มีอำนาจในนครอื่นๆ ถือเป็นวิธีการในการผูกมิตรซื้อใจคน
เจ้านครถงโช่วมีน้องสาวคนหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน นางจะชอบมาโปรยเงินทองอยู่บนหัวกำแพงเมือง ซึ่งในบรรดานั้นจะมีเงินร้อนน้อยปะปนอยู่เหรียญสองเหรียญ
นครถงโช่วยังมีตำหนักจินหลวนอยู่แห่งหนึ่ง มีราชสำนักเล็กๆ ที่เจ้านครแต่งตั้งขุนนางบุ๋นบู๊รวดเดียวถึงร้อยกว่าคน ที่ว่าการของหกกรมก็มีครบถ้วน แม้จะเล็ก แต่ต่อให้เป็นนกกระจิบก็ยังมีอวัยวะภายในครบถ้วน
ทุกๆ สิบวันจะมีการเปิดท้องพระโรงว่าราชการกันครั้งหนึ่ง เข้าท่าเข้าทีอยู่ไม่น้อย
และยังมีการสอบเคอจวี่ เพียงแต่ว่าไม่มีการสอบระดับท้องถิ่นหรือการสอบระดับอำเภออะไร มีเพียงการสอบหน้าพระที่นั่ง เพราะถึงอย่างไรนครถงโช่วก็มีคนน้อยนิดแค่นั้น คนที่มีความรู้เรื่องวรรณกรรมจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
น้องสาวของเจ้านครแต่งตั้งยศ ‘อัครมหาเสนาผู้อำนวยการ’ รับผิดชอบเรื่องการออกข้อสอบเคอจวี่ด้วยตัวเอง
ภูตถือพัดที่แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘วิญญูชน’ จึงเล่าเรื่องที่น่าสนใจทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้ายให้ผู้เฒ่าเคราแพะฟัง
ภูตถือพัดที่เคยออกเดินทางไกลมาครั้งหนึ่งผู้นี้ได้ยินข่าวลือเล็กๆ ที่มาจากนครถงโช่ว เนื้อหาเกินจริงอย่างยิ่ง แต่กลับเล่าลือต่อๆ กันอย่างสมจริงสมจัง
เดิมทีเขาคิดว่ารอให้พบปี้สู่เหนียงเนียงก่อนแล้วค่อยเอาออกมาโอ้อวด เพียงแต่ว่าระยะทางบนภูเขายาวไกล ชวนให้อึดอัดเกินไปจึงเริ่มพูดจ้อ “ว่ากันว่ามีผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นสองคนที่หน้าตางดงามจนน่าเหลือเชื่อ คนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเทพหญิงฉีลู่ของนครปี้ฮว่า พวกนางสองคนโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่ง กล้าบุกตรงไปที่นครจิงกวานอย่างไม่กลัวตาย พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ระหว่างทางไม่มีเจ้านครคนใดกล้าขัดขวาง จนกระทั่งใกล้จะไปถึงนครจิงกวานถึงได้มีเจ้านครท่านหนึ่งร่ายใช้อาวุธหนักพิทักษ์เมือง ปล่อยกระบี่บินออกไปหนึ่งร้อยแปดสิบเล่มเสียงดังสวบๆๆ”
ผู้เฒ่าเคราแพะคนนั้นกล่าวอย่างตื่นตะลึง “โอ้โห หากเป็นพวกเราจะไม่ถูกแทงกลายเป็นตะแกรงร่อนกันไปนานแล้วหรอกหรือ”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ? ทุกครั้งที่คนเขาสาดยิงกระบี่ออกมา รู้หรือไม่ว่าต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนเท่าไหร่? ต้องเปลี่ยนเป็นเหนียงเนียงของพวกเราเท่านั้นถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้”
ภูตถือพัดหัวเราะร่า “กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน คิดไม่ถึงว่าจะมีทูตผู้ปกป้องบุปผางามหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่งผู้หนึ่ง เขาเรียกตัวเองว่าโจวเฝยกระมัง หน้าตาก็เหมือนชื่อนั่นแหละ ขี้เหร่จนแทบทนมองไม่ได้ ทว่าความสามารถกลับสูงนัก เขาโยนแหใหญ่สาดออกไป เล่าลือกันว่าไอ้หมอนั่นพูดเองว่า แหอันนั้นเกิดจากการหล่อหลอมของเงินเกล็ดหิมะหลายพันเหรียญ สรุปก็คือรวบเอากระบี่บินเหล่านั้นมาได้ในรวดเดียว กระบี่บินที่อยู่ในแหส่งเสียงหึ่งๆ ราวกับแมลงวันฝูงใหญ่ ทางฝั่งของนครแห่งนั้นยังไม่ยอมแพ้ ปล่อยกระบี่บินออกไปอีกชุดหนึ่ง เจ้าเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร?”
ลูกสมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ก็ต้องหนีน่ะสิ ยังจะทำอะไรได้อีก”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!