กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 496

คนสองคนที่อยู่ในจวนของปี้สู่เหนียงเนียงบนภูเขาโปลั่วในเวลานี้เหมือนกำลังเดินเข้าสู่สถานการณ์หมากล้อมกระดานหนึ่งที่ยากจะคาดเดาได้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ

มีทางเลือกสามอย่าง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไปหนึ่งรอบ มีเพียงฝ่ายเดียวที่ได้ผลประโยชน์ คนที่แพ้ก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะร่างดับมรรคาสลาย

อีกฝ่ายหนึ่งยอมถอยให้ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันเลือกที่จะแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากการสังหารปี้สู่เหนียงเนียง หรือไม่บัณฑิตผู้นั้นก็ได้รับผลประโยชน์แล้วไม่ทำตัวอวดฉลาด ไม่สาดน้ำสกปรกนี้ลงบนหัวของเฉินผิงอัน

หรือไม่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถอยกันคนละก้าว จับมือกันเดินออกไปจากสถานการณ์หมากของภูเขาโปลั่วแห่งนี้ ซึ่งก็คือทำตามคำกล่าวของพวกเขาที่บอกว่าเจ้ายึดหลักคุณธรรมในยุทธภพ ส่วนข้าก็ยึดหลักในเรื่องความปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง ทั้งสองฝ่ายหันหัวหอกไปหาปีศาจใหญ่ห้าตนตัวอื่นๆ พร้อมกัน

เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่ใช่ปีศาจ? หรือจะเป็นวิญญาณหยินของหุบเขาผีร้ายที่ทะเลาะต่อยตีกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กันเอง?”

บัณฑิตปัดชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คนมีชีวิต คนมีชีวิตตัวเป็นๆ ทั่วร่างมีแต่ปราณหยางที่บริสุทธิ์ถูกต้อง จริงแท้แน่นอน วิธีปราบมารก่อนหน้านี้ก็แค่เป็นวิชานอกรีตที่ขู่ให้เจ้าตกใจกลัวเท่านั้น ท่องอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีวิชาอำพรางตัวตนสักหน่อย จะได้หรือ?”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเป็นพันธมิตรกัน? ไปหาเรื่องพี่เฉินหยวนจวินที่อยู่ใกล้ที่สุดคนนั้นด้วยกัน?”

บัณฑิตทำสีหน้าประหลาด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโครงกระดูกขาวของปี้สู่เหนียงเนียงที่อยู่บนพื้นก็เริ่มจะเข้าใจ เป็นตนที่ไม่เป็นมืออาชีพมากพอ ถึงได้เปิดเผยพิรุธออกไปเล็กน้อย

ในเมื่อปี้สู่เหนียงเนียงตายไปแล้ว ถ้ำสถิตของภูเขาโปลั่วแห่งนี้มีหรือจะไม่มีทรัพย์สมบัติเสียเลย ไหนเลยจะมีหลักการที่เข้ามาในภูเขาสมบัติแล้วกลับไปมือเปล่า แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านการปล้นชิง

เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการยิ้มถามว่า “เจ้าใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นนี้ คิดดูแล้วคงจะคุ้นเคยกับคลังลับคลังสมบัติของตำหนักกว่างหานแห่งนี้เป็นอย่างดี ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากภูเขาลูกนี้ เจ้าและข้ามาแบ่งกันคนละครึ่ง ตกลงไหม?”

บัณฑิตส่ายหน้า “หากเป็นภูเขาโปลั่วแห่งนี้ ต้องเป็นสามกับเจ็ดส่วน เจ้าสามข้าเจ็ด เจ้าก็แค่มานั่งยองดูงิ้วบนหัวกำแพง แบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าสามส่วนก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว หลังจากสังหารปีศาจบนภูเขาตัวอื่นๆ ได้ค่อยดูว่าความสามารถของแต่ละคนว่าสูงหรือต่ำ ออกแรงไปมากหรือน้อย แล้วค่อยมาตัดสินใจกันอีกที”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “สี่หก”

บัณฑิตลังเลตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายเผยสีหน้าของคนเสียดายที่ต้องตัดใจยกของรักให้คนอื่น ชี้ไปที่โครงกระดูกบนพื้น เอ่ยว่า “แม้ว่าโครงกระดูกขาวของปี้สู่เหนียงเนียงจะไม่ใช่โครงกระดูกหยกขาวของภูตผีวัตถุหยิน แต่ก็ดูดซับแก่นตะวันจันทราในหุบเขาผีร้ายมาเกือบพันปี จึงสามารถหล่อหลอมเรือนกายกิ่งทองใบหยกที่ทัดเทียมกับเซียนดินมาได้นานแล้ว อีกทั้งยังเหนือกว่าหนึ่งระดับ ถือว่าหายากอย่างยิ่ง หลังจากมอบให้เจ้าแล้ว พวกเราค่อยมาแบ่งกันสามเจ็ดส่วน คุณธรรมในยุทธภพ มีแค่นี้ก็คงพอแล้วกระมัง?”

เฉินผิงอันเอ่ยเหน็บแนม “ของร้อนลวกมือขนาดนี้ ข้ารับเอาไว้ก็เท่ากับว่ายัดดินเหลืองใส่ในกางเกงของตัวเอง แบบนี้จะยิ่งไม่ควรแบ่งกันสี่หกหรือไร?”

อีกอย่างวัตถุที่ล้ำค่าที่สุดของภูตผีปีศาจ แน่นอนว่าต้องเป็นโอสถปีศาจ

คิดดูแล้วคงถูกบัณฑิตกลืนกิน ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดไปนานแล้ว

บัณฑิตแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง เขาตบศีรษะตัวเอง เอ่ยขออภัยว่า “เป็นข้าที่คำนวณผิดไป ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันสี่หก โครงกระดูกนี้เอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน ไป ข้าจะพาเจ้าไปกวาดเอาสมบัติที่คลังสมบัติของภูเขาโปลั่ว ทางเข้านั้นอยู่ด้านใต้ตั่งยวนยางของปี้สู่เหนียงเนียง คางคกเพศเมียตัวนี้ตบะไม่สูง แต่อาศัยของขวัญที่ชู้รักมอบให้ บวกกับที่ปีศาจอีกห้าตนที่เหลือยอมให้หลายครั้ง จึงมีสมบัติเก็บสะสมไว้ไม่น้อย”

บัณฑิตเดินนำเข้าไปในประตูใหญ่ของห้องหลักก่อน

เฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง กระโดดลงมาจากหัวกำแพง เดินตามบัณฑิตไป เพียงแต่เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาโครงกระดูกขาวนั้นมาไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

บัณฑิตหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าตกตะลึง

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยอธิบายว่า “หากไม่ทันระวังปล่อยให้ภูตผีปีศาจของภูเขาโปลั่วมาเห็นเข้า จะไม่กลายเป็นเรื่องร้ายหรอกหรือ ถึงเวลานั้นก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ส่งผลกระทบต่อการกำจัดปีศาจซึ่งเป็นงานใหญ่ของพวกเราต่อจากนี้ ข้าว่าข้าควรเก็บไว้ก่อนจะดีกว่า”

บัณฑิตหัวเราะอย่างฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอบคุณเจ้าสินะ?”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขากวาดตามองไปรอบด้าน ในห้องสตรีที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดแห่งนี้ไม่ขาดแคลนของแปลกหายาก แต่ว่ากลิ่นเครื่องหอมเครื่องประทินโฉมออกจะฉุนไปสักหน่อย บนผนังยังแขวนภาพวังวสันต์ (ภาพการร่วมเพศ) ที่อุจาดตาเอาไว้ ขนาดของภาพใหญ่มาก สูงถึงหนึ่งฉื่อ แต่โชคดีที่ชายหญิงที่อยู่ในภาพวาดมีขนาดเท่าเมล็ดพุทรา มีทั้งภาพของจักรพรรดิที่มั่วโลกีย์อยู่ในวัง แล้วก็มีภาพร่วมอภิรมย์ในหอโคมเขียว หนึ่งในนั้นยังเป็นภาพของชายหญิงที่สวมชุดลัทธิเต๋า บุรุษมีมาดสง่างามเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน สตรีที่มีรัศมีแห่งเทพธิดา คล้ายกับคู่รักเทพเซียนที่กำลังฝึกตนอยู่ในห้อง ในภาพวาดยังมีตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเขียนบรรยายไว้ด้านข้างถี่ยิบ นี่คงจะเป็นตำราเทพเซียนที่จูเหลี่ยนกล่าวถึงกระมัง?

บัณฑิตยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนตั่งยวนยางขนาดใหญ่ตัวนั้น ใช้พละกำลังที่พอเหมาะพอเจาะไถลตัวออกไปหลายจั้งโดยที่ไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว

บัณฑิตนั่งยองอยู่บนพื้น พื้นกระดานฝั่งเลื่อมเหล็กกล้าทรงกลมที่ใสแวววาวดุจกระจกไว้บานหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่เท่าอ่างน้ำ บัณฑิตก้มหน้าลงจ้องมองไปคล้ายกับว่ากำลังไขปริศนากลไกอยู่

บัณฑิตหันหน้าไปมอง แล้วโทสะก็ไม่รู้ว่าผุดพุ่งมาจากไหน ไอ้ตัวดี ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าโจรเหมือนหวีไม้ ทหารเหมือนหวีเสนียด (เปรียบเปรยว่าเวลาที่ทหารของทางการปล้นฆ่าชาวบ้านนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าฝีมือของโจรเสียอีก) จอมยุทธพเนจรชุดเขียวที่สวมงอบผู้นั้น อย่าว่าแต่ภาพเทพเซียนหกภาพที่ซุกซ่อนกลไกลับในการฝึกตนเอาไว้เลย แม้แต่ขวดกระจุกกระจิกบนโต๊ะประทินโฉมของปี้สู่เหนียงเนียงก็ยังถูกเขากวาดเอาไปจนเกลี้ยง ทำไมกัน ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินมาก่อนหรือ? เพียงแต่ว่าไม่นานบัณฑิตก็หันหน้ากลับมามองประเมินเหล็กกล้าประหลาดที่ใสสะอาดไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดชิ้นนั้นต่อ หว่างคิ้วของบัณฑิตเหมือนมีพยับเมฆบางๆ เข้าปกคลุม ทั้งที่รู้ดีว่าหลังจากนี้จะได้เข้าไปในคลังสมบัติของตำหนักกว่างหาน จะได้เจอสมบัติที่แท้จริงแล้ว แต่ยังกวาดเอาสิ่งของที่ไม่มีค่าพวกนี้ไปอย่างกำเริบเสิบสาน นี่จะไม่ได้หมายความว่าเขามีวัตถุจื่อชื่อติดกายหรอกหรือ? วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งไม่ได้กักเก็บอะไรได้มากขนาดนั้น

เฉินผิงอันยังคงพลิกลังค้นชั้นวางต่อไป พลางถามไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงคือเผ่าพันธุ์ของตำหนักจันทรา หมายความว่าอย่างไร?”

บัณฑิตเอามือข้างหนึ่งปาดริมขอบของ ‘กระจกกลม’ เบาๆ มืออีกข้างหนึ่งนับนิ้วทำมุทราอยู่ในชายแขนเสื้อ ในใจคิดคำนวณไม่หยุด ปากก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฟ้าดินมีตะวันจันทรา จันทราคือต้นกำเนิดของแก่นหยิน เล่าลือกันว่าสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาลมีตำหนักจันทราอยู่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่ากว่างหาน ในตำหนักจันทราปลูกต้นกุ้ย ภูตกระต่ายและคางคกล้วนเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธ์ในตำหนักจันทรา อยู่อาศัยในสถานที่ที่มีไอหมอกเย็นฉ่ำแสงเรืองรองของชั้นเมฆอาบย้อม ถูกรมไว้ด้วยปราณเซียน ต่างคนจึงต่างกลายเป็นภูตกลายเป็นเทพ ก็เหมือนกับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ที่เป็นลูกหลานของคางคกในตำหนักจันทรา เพียงแต่ว่าก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่มีนับพันนับหมื่นชนิด ระดับขั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ท่านผู้นี้ของภูเขาโปลั่วถือว่าเป็นปีศาจซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ในตำหนักจันทราได้อย่างถูไถ”

เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชม “เจ้ามีความรู้กว้างขวางจริงๆ”

ตอนที่บัณฑิตผู้นั้นกำลังศึกษาวิชาลับอันเป็นกลไกของคลังสมบัติ เฉินผิงอันไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเก็บกวาดเอาทรัพย์สินของมีค่าตรงจุดไหนในห้องมาก็ล้วนรักษาระยะห่างจากเขาสิบก้าว ถือเป็นการแสดงท่าทีที่ไม่โจ่งแจ้งอย่างหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!