เฉินผิงอันเพียงแค่จ้องนิ่งไปยังสายตาร้อนใจของภูตหนูที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หลังจากนั้นก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดีดเบาๆ หน้าผากของภูตหนูที่ซ่อนมีดไว้ด้านหลังก็ทะลุเป็นรูเลือด ร่างกระเด็นหวือไปด้านหลัง กระแทกลงตรงหน้าประตูของตำหนักหยางฉาง ตายคาที่ทันที
ภูตหนูถือไม้เท้าที่อยู่ตรงหน้าคล้ายจะมึนงงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้ตกตะลึงขวัญผวา หมุนตัวได้ก็วิ่งหนีทันที
เพียงแต่ว่าไหล่กลับถูกมือข้างหนึ่งกดเอาไว้ ภูตหนูตนนี้ไม่กล้ากระดุกกระดิก หัวสมองขาวโพลน ในสายตามองเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงตายไปทั้งอย่างนั้น
ท่านบรรพบุรุษเคยเอ่ยเองกับปากว่า มันผู้นั้นมีความหวังที่จะได้เป็นปีศาจใหญ่ ท่านบรรพบุรุษจึงชื่นชอบมันมากกว่าตนมาโดยตลอด ยังบอกอีกว่าวันหน้าเมื่อตำหนักหยางฉางมีการขยับขยาย บุกเบิกเป็นจวนใหญ่ที่ไม่เป็นรองตำหนักกว่างหานก็จะมอบให้มันไปเป็นนายท่านใหญ่ผู้เฝ้าพิทักษ์จวน ท่านบรรพบุรุษไม่ค่อยชอบตนสักเท่าไหร่ แต่มักจะประทานอาหารของกินในงานเลี้ยงบนภูเขาลูกอื่นให้แก่มันบ่อยๆ อีกทั้งยังสอนวิชาดาบกระบวนท่าหนึ่งให้แก่มัน ทว่ากับตนกลับเอาแต่ด่าทอทุบตี
เฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อของภูตหนูตัวนี้มานั่งที่บันได หยิบตำราเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อของมัน ไม่คิดว่าจะเป็นบทประพันธ์ส่วนตัวที่เสียหายอย่างหนักเล่มหนึ่ง หลังจากเปิดอ่านดูแล้วก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะด้านในยังมีคำอธิบายบิดเบี้ยวเขียนไว้ด้านข้าง รวมไปถึงตัวอักษรเล็กบางที่เขียนด้วยถ่านดำ มองออกว่าคนเขียนตั้งใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังบูดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน ตัวอักษรที่เขียนเป็นคำอธิบายนั้นมักจะมีจำนวนไม่มาก บางครั้งก็เป็นคำถามที่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา และบางครั้งก็เป็นถ้อยคำประจบเยินยอ
เฉินผิงอันอ่านแล้วก็รู้สึกสนุก พอปิดตำราลงก็ส่งคืนให้กับภูตหนูตัวน้อยที่ใบหน้าซีดขาว ร่างสั่นเทิ้ม
เฉินผิงอันถาม “รู้สถานที่เก็บสมบัติของเซียนจัวเยาหรือไม่?”
หลังจากรับหนังสือมาด้วยมือเท้าที่แข็งทื่อ ภูตหนูก็พูดเสียงสั่นว่า “ไม่รู้…ต่อให้รู้ก็ไม่บอก…ให้ตายก็ไม่บอก”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ยื่นมือออกมาโบกหนึ่งครั้ง บนมือก็มีตำราใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ยังมีกลิ่นหอมของหมึกลอยโชยมาจางๆ “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ทางที่ดีที่สุดคือควรขุดรูแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นหากเซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้โชคดีไม่ตาย เมื่อกลับมาที่ตำหนักหยางฉาง คนที่ตายก็ต้องเป็นเจ้าแล้ว จมูกของบรรพบุรุษเจ้าดีนักล่ะ ก่อนหน้านี้แม้แต่ข้าก็ยังเกือบจะถูกเขาจับได้”
ภูตหนูตะลึงตาค้าง
เฉินผิงอันวางตำราเล่มนั้นลงบนมือของมัน “จำที่บอกได้หรือยัง?”
ภูตหนูพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงมือให้เร็วหน่อย ไปซ่อนหนังสือไว้ก่อน จากนั้นข้าจะตีเจ้าให้สลบ แน่นอนว่าเจ้าจะเอาหัวโขกประตูให้ตัวเองสลบก็ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องคิดจะหนีนั้น อย่าได้หวังเลย”
ภูตหนูโยนทวนไม้ทิ้งแล้วไปขุดดินตรงจุดหนึ่ง เอาตำราเล่มนั้นไปซ่อนไว้ให้เรียบร้อย
จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่ขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วิ่งเอาหัวชนประตูใหญ่อย่างแรง ผลกลับกลายเป็นว่าล้มผลึ่งหงายหลังก็ยังไม่หมดสติ จึงหันหน้ามาพูดอย่างน่าสงสารว่า “เซียนซือท่านนี้ ท่านเป็นคนลงมือเถอะ ให้ดีควรจะมีเลือดออกสักหน่อย”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งตีอีกฝ่ายให้สลบ ทวารทั้งเจ็ดของภูตหนูเริ่มมีเลือดสดไหลออกมาช้าๆ แต่ก็แค่มองดูน่ากลัวเท่านั้น
เฉินผิงอันยกเท้าถีบประตูใหญ่ของตำหนักหยางฉางให้เปิดอ้าแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง ก่อนจะเริ่มตามหาสถานที่ซ่อนสมบัติของเซียนใหญ่จัวเยาผู้นั้น
เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง บอกให้ชูอีกับสืออู่ช่วยตามหาเบาะแส
สุดท้ายเขาไปแงะแผ่นกระดานไม้ใต้โต๊ะตัวใหญ่ในเรือนหลักของตำหนักหยางฉาง เจอทางลับเส้นหนึ่งที่เมื่อเทียบกับเส้นทางใต้ดินที่กว้างขวางของภูเขาโปลั่วแล้วก็เรียกได้ว่าคับแคบจนชวนอึดอัด เฉินผิงอันจึงได้แต่คลานเข้าไปด้านใน บอกให้ชูอีสืออู่ช่วยระวังหลังให้ ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดก็มาถึงโพรงมืดมิดแห่งหนึ่งที่กว้างพอจะให้คนยืนได้คนเดียว เฉินผิงอันจุดแท่งจุดไฟก็พบว่ามีหีบเหล็กอยู่เพียงใบเดียว ตัวหีบบิดเบี้ยว แปะแผ่นยันต์ไว้เต็มไปหมด กระดาษยันต์มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เซียนใหญ่จัวเยาผู้นั้นน่าจะเอามาเปลี่ยนบ่อยๆ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าตราผนึกพวกนี้เอาไว้เตือนคนเป็นเจ้าของหรือหากใครที่มาเปิดมันโดยพลการจะทำให้ถูกยันต์โจมตีกันแน่
เฉินผิงอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ให้ชูอีกับสืออู่ลงมือ ส่วนตัวเองกลั้นหายใจทำสมาธิคอยช่วยรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
กระบี่บินทั้งสองเล่มบินวนอยู่รอบหีบเหล็กอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า แล้วกรีดยันต์กระดาษเหลืองเหล่านั้นให้ฉีกขาดอย่างรวดเร็ว หมายทำลายแก่นของยันต์
หลังจากปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายส่ายไหวอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่งก็ไม่มีความผิดปกติที่มากกว่านั้นเกิดขึ้น พอเฉินผิงอันเปิดหีบเล็กออกแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออก ด้านในไม่ได้มีอาวุธวิเศษหรือสมบัติอะไร ยิ่งไม่มีเงินเทพเซียน แต่เป็นตำรากองกันอยู่เป็นปึกๆ
ก็จริงนะ ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ สิ่งของอย่างตำรานับว่าหาได้ยากมากจริงๆ
เฉินผิงอันเปิดตำราโบราณเล่มหนึ่งในนั้น คือตำราพิชัยยุทธ
ดูท่าเซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ก็คือภูตที่ชอบศึกษาตำราพิชัยสงครามแล้ว
เฉินผิงอันพลันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน สายฟ้าพุ่งเข้าไปหนีบตะขาบร้อยขาตัวหนึ่งที่กระโจนใส่หน้าเขา ตัวสีดำเมื่อมของมันเปล่งแสงวาบ พายุหมัดถูกปล่อยออกไปหนึ่งระลอก ตะขาบที่โดนแรงกระเทือนจากพายุลมกรดก็ตายคาที่ แล้วถูกเขาโยนไว้ด้านข้าง
ด้วยไม่มีเวลามาอ่านชื่อตำราพิชัยยุทธเหล่านี้อย่างละเอียด หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รวบเอาพวกมันไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อทั้งหมด แล้วคลำไปตามบริเวณโดยรอบต่ออีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีกลไกลับซ่อนสมบัติอย่างอื่นอยู่จริงๆ ถึงได้ย้อนกลับทางเดิม กลับไปยังตำหนักหยางฉางอีกครั้ง
เซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ยากจนข้นแค้นซะจริง
หลังจากนั้นต่อมา เฉินผิงอันก็ยังคงไม่ได้ไปเยือนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน แต่มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาจีเซียวที่อยู่ค่อนไปทางเหนือสุดก่อน
ที่นั่นคือถิ่นของขุนพลเทพชื่อเหลย
ปีศาจตนนี้มักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่เหมือนพวกอริยะใหญ่ปานซาน หรือราชันย์เฮยเหอที่ชอบสมัครรับรวมผู้คน แต่ความสามารถในการจับคู่สังหารศัตรูตัวต่อตัวนั้นกลับสูงสุดในบรรดาอริยะใหญ่ทั้งหก
ภูเขาจีเซียวมีเมฆและสายฟ้าล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี สายฟ้าแลบปลาบตัดสลับถักทอไม่หยุดนิ่ง และไม่ว่าจะภูตหรือผีก็ดี ล้วนหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานที่ที่ไม่ได้รับความชื่นชอบมากที่สุดในหุบเขาผีร้าย แต่กลับไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้ไปได้ตำราวิชาอสนีที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งมาจากที่ใด ถึงได้ฝึกตนจนหูทั้งสองข้างหนวก ดวงตาข้างหนึ่งระเบิดแตก และในที่สุดก็ฝึกวิชาอสนีได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ยามที่ลงสนามเข่นฆ่ากับผู้อื่น จมูกจะสามารถพ่นไฟ ปากพ่นควัน ไม่ว่าจะยกมือยกเท้าหรือขยับตัวทำอะไรก็ล้วนมีสายฟ้าแลบปลาบอยู่เสมอ
คือปีศาจตนหนึ่งที่เรือนกายแข็งแกร่งแต่กลับมีเวทคาถาที่ไม่ธรรมดา และวิชาอสนีก็ยังเป็นวิชาที่กำราบเหล่าภูตผีและวัตถุหยินมาได้ตั้งแต่กำเนิด นี่จึงเป็นเหตุให้ขุนพลเทพชื่อเหลย (บงการสายฟ้า) มีตำแหน่งฐานะที่สูงส่งในบรรดาอริยะทั้งหก
ภูเขาจีเซียวไม่มีเส้นทางภูเขา แทบไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีแต่กลิ่นอายของความตายไร้ชีวิตชีวา
ทะเลเมฆโอบล้อมอยู่ตั้งแต่ช่วงกึ่งกลางภูเขา สายฟ้าส่องประกายวาววับ เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ทัศนียภาพที่อยู่สูงยิ่งกว่านั้นของภูเขาจีเซียวก็ยิ่งมองไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันบินทะยานตามก้อนหินภูเขาขึ้นสู่ที่สูง
แล้วจู่ๆ เขาก็พลันหยุดชะงัก เพราะพบว่าทางภูเขาตี้หย่งมีประกายรัศมีแสงระเบิดพร่าตา เสียงอึกทึกดังโครมครามไม่หยุด
ราวกับว่ากำลังเกิดศึกใหญ่ที่พลังอำนาจรุนแรงอย่างยิ่ง
บัณฑิตผู้นั้นเข้าไปในรังโจรแล้ว?
เฉินผิงอันจึงเพิ่มความเร็วในการขึ้นเขา
หลังจากขยับเข้าใกล้ทะเลเมฆที่โอบล้อมอยู่กึ่งกลางภูเขาก็มีสายฟ้าเป็นเส้นๆ ฟาดโบยเข้าใส่
ล้วนถูกหมัดของเฉินผิงอันต่อยให้แหลกสลาย ครึ่งก้านธูปต่อมาเขาก็ต่อยให้สายฟ้าสลายไปไม่ต่ำกว่าร้อยเส้น การมองเห็นของเฉินผิงอันที่ตอนนี้แขนเป็นเหน็บชาพลันเปิดกว้าง
กลางอากาศสูงเหนือยอดเขาจีเซียวก็มีทะเลเมฆที่หนาหนักยิ่งกว่าลอยตัวอยู่ สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นถึงกับมีขนาดใหญ่เท่าเสาเรือน พวกมันพร้อมใจกันสาดยิงมายังจุดสูงของภูเขา เสียงฟ้าร้องดังกัมปนาทสะเทือนแก้วหูผู้คน
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกตาพร่าจิตวิญญาณแกว่งไกว ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วถึงเดินขึ้นเขาไปต่อ
ขยับเข้าใกล้ยอดเขา สายฟ้าหนากลับเหมือนกรงขัง ไม่อาจขยับเข้าใกล้ได้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ขี่กระบี่ทะยานตัวขึ้นสูง
เหยียบอยู่บนเจี้ยนเซียน เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าบนยอดเขาของภูเขาจีเซียวคือบ่อสายฟ้าขนาดใหญ่เท่าบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่ง สายฟ้าเหนียวหนืดราวกับน้ำ เกล็ดหิมะปลิวว่อนตลบอบอวล
มีป้ายหินตั้งเอียงอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนตัวอักษรใหญ่ไว้หกตัวว่า ‘บ่อชำระกระบี่เรือนโต้วซู’ ล้วนเป็นตัวอักษรโบราณที่มีระบุไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!