ระหว่างนี้เฉินผิงอันค้นพบว่าขณะที่บัณฑิตกำลังหลุบตาลง คล้ายจะมองไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็กลับมาเป็นบัณฑิตบนภูเขาโปลั่วที่เฉินผิงอันคุ้นเคยแล้ว บนใบหน้าของเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนคนอึราดเต็มกางเกง
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ครู่หนึ่งต่อมา
เฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “หยางหนิงซิ่ง เจ้าใช้ได้เลยนี่นา ได้อยู่ในอันดับสิบคนของมังกรในกลุ่มคนของอุตรกุรุทวีป คือเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศ ชื่อเสียงที่ทรงพลานุภาพเช่นนี้ เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า?”
บัณฑิตมีสีหน้ามึนงง
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
บัณฑิตรู้สึกว่า ‘ตนเอง’ ผู้นั้นไม่น่าจะพูดจาเปิดใจกับคนอื่นขนาดนี้ จึงแสร้งทำเป็นไขสือต่อไปด้วยการเอ่ยอย่างจนใจว่า “คำพูดประโยคนี้หากให้เทียนจวินน้อยแห่งหน่วยฉงเสวียนของตระกูลข้าได้ยินเข้า คงจะโกรธน่าดู หยางหนิงซิ่งผู้นี้มีนิสัยคร่ำครึมากที่สุด รับฟังคำหยอกเย้าไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ คู่พี่น้องหยางหนิงเจินหยางหนิงซิ่งนี้ ข้าชอบจะอยู่กับหยางหนิงเจินมากกว่า และยังมีนักพรตหญิงที่รับผิดชอบด้านการไปมาหาสู่กับหน่วยฉงเสวียนและราชสำนักผู้นั้น คือคนมีความสามารถที่มีเสน่ห์จริงๆ ข้าออกเดินทางไกลครั้งนี้ เสี่ยงอันตรายเข้ามาในหุบเขาผีร้ายก็เพราะอยากจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง นางจะได้หันมามองข้าบ้าง พี่ชายคนดี ชื่อของเจ้าดี ความสามารถก็สูง วันหน้าเมื่อไปถึงราชวงศ์ต้าหยวนต้องไปพบนางให้ได้ ปีนั้นนางเพิ่งจะเป็นดรุณีน้อยก็จัดงานพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิเต๋าได้แล้ว ฉลาดเฉลียวที่สุดเลยล่ะ หากเจ้าได้พบนางก็น่าจะชื่นชอบนาง แต่ผลกลับกลายเป็นว่านางก็ไม่ชอบเจ้าเหมือนกัน ถึงเวลานั้นพวกเราสองพี่น้องก็สามารถดื่มเหล้าดับทุกข์ร่วมกันได้แล้ว คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก มิตรภาพก็ยิ่งยืนยาวตราบชั่วฟ้าดินสลาย!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่สนใจคำพูดที่เบี่ยงประเด็นของคนผู้นี้ เขากวาดตามองไปรอบด้าน แล้วบังคับเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นให้เข้ามาอยู่ในมือ ชูอีสืออู่ก็พุ่งกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว
การชำเลืองตามองแวบหนึ่งก่อนที่จิตของบัณฑิตคนเมื่อครู่นี้จะเงียบหายไป เป็นการกระทำที่เสแสร้งเพื่อจงใจให้ตนเกิดความสงสัยคาดเดาไปส่งเดช? หรือเป็นเพราะบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาลูกนี้มีความลี้ลับอยู่จริงๆ? มียอดฝีมือมาเยือน โดยที่ตนมองไม่เห็น? หากเป็นเช่นนี้จริง หรือจะเป็นจิตหยินของผูหรางก่อกำเนิดขั้นสูงสุดที่ออกเดินทางไกลมาซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของบริเวณโดยรอบ? หรือว่าเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่า? คืออารามเสวียนตูเล็ก วัดหยวนเยว่ใหญ่ที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ? หรือว่าเป็นวิญญาณวีรบุรุษที่อยู่ทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้าย?
ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเจียงซ่างเจินแน่นอน
หากจะบอกว่าเจียงซ่างเจินมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ จับจ้องความเคลื่อนไหวของตนที่อยู่ตรงนี้มาจากที่ไกลๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก แต่การที่เขาแอบมาที่นี่แล้วไม่ปรากฏตัว ย่อมไม่ใช่ลักษณะนิสัยของเจียงซ่างเจินอย่างแน่นอน
เกี่ยวกับแผนการที่สำนักกุยหยกมีต่อทะเลสาบซูเจี่ยน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นครปี้ฮว่า เจียงซ่างเจินได้เปิดเผยความลับสวรรค์ส่วนหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันเชื่อเขาถึงเจ็ดแปดส่วน
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงถือว่าเป็นมิตรหาใช่ศัตรูได้ชั่วคราวจริงๆ ต่อให้ไม่ใช่มิตร อีกฝ่ายก็ไม่มีทางวางแผนทำร้ายตนอย่างแน่นอน
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากเจียงซ่างเจินคิดจะสังหารตนจริงๆ จะไม่ง่ายดายยิ่งกว่าโครงกระดูกชุดเขียวที่มองตนเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นหรอกหรือ?
เพราะตอนนี้หากเขาเฉินผิงอันเผชิญหน้ากับก่อกำเนิดคนหนึ่งก็มีสิทธิ์แค่เผ่นหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
แต่เจียงซ่างเจินกลับเป็นห้าขอบเขตบนที่มีชื่อเสียงว่าชื่นชอบการฆ่าก่อกำเนิดของใบถงทวีป
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ
บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า อย่ารีบร้อน
การฝึกตนมิใช่การดื่มเหล้าที่ไม่ว่าจะดื่มคำเล็กหรือคำใหญ่ก็ล้วนไม่ส่งผลใดๆ
แต่ข้าวต้องกินไปทีละคำ ทางต้องเดินไปทีละก้าว และเงินก็ต้องค่อยๆ หามาทีละเหรียญ
บัณฑิตลุกขึ้นตาม เขาบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย “พี่ชายคนดี นี่คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเจ้าหรือ? เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นอาชีพที่กินเงินเขมือบทองของใต้หล้าอยู่แล้ว ตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปอาศัยสำนักคอยมอบเงินมอบของให้ เลี้ยงกระบี่บินให้มีชีวิตรอดได้หนึ่งเล่มก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว เจ้าทำได้อย่างไรกัน? อาศัยการปล้นทรัพย์ผู้อื่นระหว่างเดินทางหมื่นลี้นี่น่ะหรือ? ดูท่าก็คงเหมือนคนที่อาศัยชาติกำเนิดเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แต่การอบรมปลูกฝังของสำนักไม่ดีมากพอก็เลยอาศัยข้ออ้างว่าออกหาประสบการณ์มาทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระเพื่อเติมเต็มทรัพย์สมบัติของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขามองไปทางทิศเหนือแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเจ้าออกมา ข้าขาดทุนไปมาก ตอนนี้จะว่าอย่างไร?”
บัณฑิตถูมือหัวเราะร่า “ชุดคลุมอาคมและยันต์สามแผ่นของข้าตกอยู่ในมือของศัตรู แน่นอนว่าต้องไปทวงคืนกลับมา”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง “มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังคงแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน เจ้าไปทวงคืนของที่สูญหายไป ขออวยพรล่วงหน้าให้พี่มู่เมาสร้างชื่อเสียงระบือไกลในหุบเขาผีร้าย ส่วนข้าก็จะอยู่เก็บตกของดีของข้าต่อไปนี่แหละ”
บัณฑิตร้องโอ้ยหนึ่งที “แบบนั้นจะได้ที่ไหน ข้ากับกลุ่มปีศาจผูกปมแค้นกันแล้ว หากข้าโผล่หน้าไปจะไม่ถูกล้อมวงโจมตีหรอกหรือ แต่ละคนเสียสติเข่นฆ่าจนตาแดงก่ำ ถึงเวลานั้นสภาพการณ์ของข้ามีแต่จะยิ่งอนาถ ไม่ได้ๆ ไม่มีพี่ชายคนดีช่วยคุมท้ายขบวนให้ข้า ในใจข้าก็ไม่มั่นใจ จะว่าไปแล้วก็แปลก พอมีพี่ชายคนดีอยู่ข้างกาย ความกล้าของข้าก็เพิ่มพูน จะขึ้นฟ้าลงดิน บุกบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ ข้าก็ล้วนไม่หวาดกลัว!”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เจ้าไม่มียันต์กับชุดคลุมอาคมติดตัวแล้ว ข้าพาเจ้าไปจะมีความหมายอะไร? เอาไปเป็นตัวถ่วงอย่างนั้นหรือ?”
บัณฑิตชูฝ่ามือขึ้นก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็รีบสะบัดชายแขนเสื้อ ใช้ปราณวิญญาณปกคลุมวัตถุชิ้นนี้เอาไว้ นั่นคือกระบี่บินขนาดเล็กสีม่วงเล่มหนึ่ง เขายิ้มเอ่ยว่า “คนบนภูเขาย่อมมีสมบัติอาคมเก็บซ่อนไว้ก้นกรุ กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าจื่อจือ สร้างเลียนแบบกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งในอุตรกุรุทวีปเรา ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่พลังอำนาจกลับเหนือกว่ากระบี่บิน เอาไว้ใช้แสร้งทำเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ข่มขู่คนอื่นได้อย่างดีเยี่ยม! คือสุดยอดเคล็ดวิชาของภูเขาชังกระบี่ สุดยอดทักษะที่มีเฉพาะในใต้หล้าไพศาล ชื่อเสียงของมันยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองเสื้อเกราะวิเศษปกป้องกายที่ศาลซานหลางสร้างขึ้นเลย!”
เฉินผิงอันชี้ไปยังกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังตัวเอง “ข้าต้องให้เจ้าข่มขู่คนอื่นด้วยหรือ? ช่วยแสดงความจริงใจให้เห็นหน่อยได้ไหม?”
บัณฑิตเก็บจื่อจือที่มีอำนาจน่าตะลึงเล่มนั้นไปอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็พลิกฝ่ามืออีกครั้ง บนฝ่ามือก็มีวัตถุชิ้นเล็กลักษณะเหมือนตราประทับทองแดงที่นูนขึ้นมาเป็นรูปชือหลงชิ้นหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยระคนฮึกเหิม “นี่เป็นของก้นกรุชิ้นสุดท้ายและท้ายสุดแล้วจริงๆ เมื่อทุบมันให้แตกก็จะมีชือหลงที่พลังการต่อสู้น่าตะลึงตัวหนึ่งเยื้องกรายลงมา พลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรก็เป็นเรื่องที่สบายมาก เพียงแต่ว่าใช้ได้แค่ครั้งเดียว นี่ยังเป็นอาวุธหนักในคลังสมบัติของตำหนักนภากาศที่ข้าเชื่อมาจากศิษย์น้องหญิงที่ดูแลเรื่องเงินทองในหน่วยฉงเสวียนด้วย”
เฉินผิงอันมองพี่มู่เม่าคนนี้
บัณฑิตยิ้มบางๆ ในขณะที่ประสานสายตากับเขา
เฉินผิงอันรู้สึกใคร่รู้ไม่น้อย หากจะต้องเข่นฆ่าช่วงชิงชีวิตกันขึ้นมาจริงๆ ตนจะมีโอกาสชนะสักกี่ส่วน?
ตอนอยู่ที่ตำหนักกว่างหานของปี้สู่เหนียงเนียง เขารู้สึกว่ามีเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้ลองดูแล้ว มากที่สุดก็แค่ห้าต่อห้า?
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก จื่อจือเล่มนั้นเป็นของเลียนแบบก็จริง ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่บนยอดเขาอะไร นำมาใช้ข่มขู่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็นับว่าเหมาะสมอย่างถึงที่สุด
แต่หากนำมาใช้สังหารผู้ฝึกตนโอสถทอง กลับจะเหมาะสมยิ่งกว่า
บวกกับตราประทับรูปชือหลงที่ไม่รู้ตื้นลึกชิ้นนั้น หากมอบให้บัณฑิตตัวจริงเป็นผู้ใช้ เมื่อต้องเข่นฆ่ากัน อีกฝ่ายมีครบทั้งการป้องกันและโจมตี หากอีกฝ่ายได้ครอบครองสมบัติอาคมที่ระดับขั้นดียิ่งกว่าอีกชิ้นหนึ่ง แล้วสวมเสื้อเกราะวิเศษที่ปกคลุมไปทั่วร่างจากเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารอีกชิ้น? เพราะถึงอย่างไรชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นก็เป็นแค่การอำพรางตัวที่บัณฑิตตรงหน้าผู้นี้ใช้ปิดบังหูตาของคนอื่นเท่านั้น ผู้สืบทอดที่แท้จริงของหน่วยฉงเสวียนผู้หนึ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเมล็ดพันธ์เต๋ามาตั้งแต่กำเนิด ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ จะไม่มีเสื้อเกราะวิเศษหรือชุดคลุมอาคมที่สืบทอดจากบรรพบุรุษไว้ใช้ป้องกันกายเลยได้อย่างไร?
สายตาของบัณฑิตแฝงแววตำหนิ พูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจว่า “เหตุใดพี่ชายคนดีไม่พูดแล้วเล่า หรือว่าเห็นทรัพย์สินก็เลยเกิดความโลภ? ถึงอย่างไรข้าก็สู้เจ้าไม่ได้ ก็คงต้องได้แต่ควักชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะวิเศษออกมาเพิ่มเพื่อใช้ปกป้องชีวิตแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!