มาถึงริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ เฉินผิงอันก็ปลดงอบ รวมไปถึงเจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หันมาสวมหน้ากากของผู้เฒ่า แล้วยังบอกให้บัณฑิตเปลี่ยนการแต่งกายเสียใหม่ ก่อนจะโยนหน้ากากเด็กหนุ่มที่จูเหลี่ยนเป็นคนทำขึ้นให้กับอีกฝ่าย
บัณฑิตไม่มีความลังเลใดๆ ไม่มีท่าทีต่อต้าน กลับกันยังรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด
ลำคลองเฮยเหอยาวสองร้อยกว่าลี้ ไม่ถือว่าเป็นแม่น้ำลำคลองสายใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในหุบเขาผีร้ายที่ภูเขาเยอะสายน้ำน้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ตะพาบสองตัวที่มีชาติกำเนิดมาจากวัดหยวนเยว่ใหญ่ยึดครองลำคลองสายนี้วางอำนาจบารมีมาเนิ่นนาน
กระแสน้ำในลำคลองเฮยเหอเชี่ยวกราก
ตอนบนของลำน้ำยังสร้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่งตั้งเอาไว้ แน่นอนว่าต้องเป็นศาลเทพวารีของฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้น เพียงแต่ว่าศาลแห่งนั้นไม่เพียงแต่เป็นศาลเถื่อนอย่างจริงแท้แน่นอน ตะพาบน้อยก็ยิ่งไม่ได้สร้างร่างทอง แค่แกะสลักเทวรูปของตัวเองเอาไว้องค์หนึ่งให้พอเป็นพิธี แต่คาดว่าต่อให้มันได้กลายเป็นเทพวารีที่สร้างร่างทองได้สำเร็จจริงๆ ก็ไม่กล้าเอาเทวรูปร่างทองนี้ตั้งไว้ในศาล เพราะแค่วิญญาณหยินก่อกำเนิดสักตนที่เดินทางผ่านมาโจมตีอย่างง่ายๆ หนึ่งที ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้วาดฝันอีก หากร่างทองแหลกสลาย สภาพการณ์จะน่าอนาถยิ่งกว่ารากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนได้รับความเสียหายเสียอีก ในความเป็นจริงแล้วเมื่อร่างทองปรากฎรอยปริแตกตามธรรมชาติเส้นแรกก็คือช่วงเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำทั้งหมดบนโลกหัวใจเหน็บหนาว เพราะนั่นหมายความว่าคำว่าอมตะมิเสื่อมสลายได้เกิดลางว่าจะเสื่อมโทรมแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่แก่นควันธูปกี่จินกี่สิบจินในโลกมนุษย์จะสามารถชดเชยได้แล้ว ส่วนอรหันต์ร่างทองของพระพุทธศาสนานั้น หากเจอกับหายนะเช่นนี้ก็จะเรียกว่า ‘ความเสื่อมแห่งธรรม’ และจะยิ่งหวาดกลัวดุจเจอกับพยัคฆ์
ก็เหมือนกับเทพเซียนลัทธิเต๋าที่ผ่านความทุกข์ยากนับพันนับหมื่นกว่าจะฝึกตนบรรลุร่างแก้วใสไร้มลทินได้ ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุด ความไร้มลทินกลับมีจุดด่างพร้อย ไม่ว่าจะเช็ดถูสภาพจิตใจอย่างไรก็ไม่อาจเช็ดออก แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร?
สำหรับเรื่องนี้บัณฑิตเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ท่านทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของหน่วยฉงเสวียนก็ลาลับจากโลกนี้ไปด้วยเหตุนี้ หาใช่ได้หลุดพ้นอย่างแท้จริงไม่
ท่ามกลางม่านราตรี คนทั้งสองเดินเข้าไปในศาลแห่งนั้น
ในศาลกลับไม่มีใครอยู่สักคน ไม่มีใครมาคอยขัดขวาง
บัณฑิตเอาสองมือไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบด้านแล้วยิ้มกล่าวว่า “ดีนักนะ ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอย่างแท้จริงแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่มีวิชาคาถาแหวกน้ำผ่าคลื่นสักนิดเลยหรือ?”
บัณฑิตพยักหน้ารับ “มีก็มีอยู่หรอก ปีนั้นเก็บไข่มุกหลบน้ำที่ปริแตกไปเกินครึ่งมาได้ลูกหนึ่งระหว่างทาง เพียงแต่ว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับกงฟู่ (ลูกมังกรลำดับที่ 6 เป็นมังกรในตำนานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพราะมันคือมังกรแห่งสายน้ำ มีความผูกพันอยู่กับน้ำและชอบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ) แหวกน้ำที่ศิษย์น้องหญิงคนนั้นของข้าเลี้ยงเอาไว้ได้ หากมีกงฟู่ตัวนี้ ต่อให้เป็นวังมังกรที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ก็ยังสามารถหาเจอได้อย่างง่ายดาย ตัวมันใหญ่แค่เท่าก้น เขาคู่นั้นก็ยาวแค่หนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่แค่ส่ายหัวทีเดียวก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงร้อยจั้งได้แล้ว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่รอให้เจ้าเรียกศิษย์น้องหญิงของเจ้ามา?”
บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เขาสะบัดชายแขนเสื้อ กลางฝ่ามือก็ถือประคองไข่มุกใสแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะเม็ดหนึ่ง ตบไข่มุกลูกนั้นเข้าปาก จากนั้นก็กลายร่างเป็นควันดำกลุ่มหนึ่งที่พุ่งไปทางผิวน้ำของลำคลอง ไม่ได้ทำให้สะเก็ดน้ำแตกกระจายเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในศาลแห่งนี้ต่อไป ลักษณะและขนาดไม่ต่างจากศาลเทพวารีที่ได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปของราชวงศ์ในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่ ถือว่าไม่ได้ทำอะไรที่เกินขอบเขตของตัวเอง
ไปถึงตำหนักหลักที่อยู่กลางศาล ข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป แหงนหน้าไปมองก็เห็นเทวรูปของฟู่ไห่หยวนจวินที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา ไม่สูงมาก สร้างขึ้นตามหลักพิธีการที่เทพลำคลองระดับกลางสมควรมี
เทวรูปของสตรีมีเรือนกายบึกบึน ในมือถือขวานด้ามใหญ่ รูปโฉมของนางไม่ถือว่าน่ามองเท่าไหร่จริงๆ
เฉินผิงอันเดินออกมาจากตำหนักหลัก ไปเดินเที่ยวที่ตำหนักหลัง ไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงย้อนกลับไปยังประตูใหญ่ของศาล นั่งลงบนขั้นบันได รอคอยให้บัณฑิตผู้นั้นกลับมาด้วยความอดทน
ทว่าสิ่งที่คิดในใจกลับเป็นบันทึกในตำราที่เกี่ยวข้องกับตำหนักนภากาศแห่งหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน
ก็เหมือนกับศาลซานหลางที่ต่างก็เป็นจวนตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงอยู่ในอุตรกุรุทวีปมาอย่างยาวนาน เพียงแต่ว่าตำหนักนภากาศยังได้มีชื่อเป็นหน่วยฉงเสวียน ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกลึกซึ้งยิ่งกว่า
ลัทธิพุทธในอุตรกุรุทวีปเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งราชวงศ์ต้าหยวนยังเป็นราชวงศ์ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในภาคกลางของทวีป การช่วงชิงของลัทธิพุทธย่อมดุเดือดมากอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อราชวงศ์ต้าหยวนเลื่อมใสลัทธิพุทธศรัทธาลัทธิเต๋าจนถึงขั้นที่ต้องจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนขึ้นมาเพื่อให้ดูแลวัดวาอารามในพื้นที่โดยเฉพาะ นอกจากฮ่องเต้สกุลหลูแห่งต้าหยวนจะมีใจศรัทธาในลัทธิเต๋ามาโดยตลอดแล้ว รากฐานที่ลึกล้ำของตำหนักนภากาศก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน
ในเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยป้อมักจะคอยต้อนรับขับสู้แขกทั้งหลายที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยวเป็นประจำ อีกทั้งยังรู้ว่าเฉินผิงอันจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีป ดังนั้นจึงจัดเตรียมตำรา เอกสารคดีความที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของอุตรกุรุทวีปเอาไว้ไม่น้อย ตำหนักนภากาศก็คือหนึ่งในกองกำลังใหญ่หลายแห่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเฉินผิงอันยังเคยพูดถึงว่าจะต้องเดินทางไปเยือนแม่น้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสักครั้ง และราชวงศ์ต้าหยวนก็เป็นทางผ่านของแม่น้ำใหญ่สายนั้นพอดี ไม่เพียงเท่านี้ ราชวงศ์ต้าหยวนยังให้ความสำคัญกับแม่น้ำใหญ่สายนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ในอาณาเขตของหลายแคว้นที่แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านซึ่งไม่ได้มีแค่แคว้นใต้อาณัติของตัวเองเท่านั้น แต่ในอาณาเขตของทุกแคว้น ราชวงศ์ต้าหยวนต่างก็ไปจัดตั้งหน่วยตรวจตราสายน้ำ หน่วยขุนนางทางน้ำขึ้นมาโดยเฉพาะ ตำแหน่งขุนนางค่อนข้างสูง เทียบเท่าได้กับรองเจ้ากรมของหกกรมและแม่ทัพบู๊ระดับสาม ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีราชสำนักของแคว้นที่ความสัมพันธ์ห่างเหินกับราชวงศ์ต้าหยวนพยายามคัดค้านสุดกำลัง ปล่อยให้ขุนนางของแคว้นอื่นมาอยู่บนแผ่นดินของแคว้นตนเอง นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ทว่าราชวงศ์ต้าหยวนเคยยกทัพมาปราบปรามอยู่สามครั้ง ยอมให้คนตลอดทั้งเหนือและใต้ด่าว่าทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อ อีกทั้งยังขัดเคืองกับสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ด้วยสาเหตุนี้
ระหว่างที่หน่วยฉงเสวียนของตำหนักนภากาศถูกก่อตั้งก็เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่กองกำลังของลัทธิพุทธและระบบเต๋าสายอื่นของราชวงศ์ต้าหยวนเสื่อมถอย
รื้อถอนตำหนักชิ่งซิน ตำหนักเทียนกวานก็เพื่อสร้างตำหนักเทียนหยวนของหน่วยฉงเสวียน นำต้นไม้ยักษ์วัสดุของอารามเจียหลิงมาสร้างเป็นโถงเหล่าจวินของตำหนักนภากาศ ทุบเอาวัสดุของตำหนักเป่าหัวในวัดทะเลเมฆมาสร้างเป็นซุ้มป้ายของหน่วยฉงเสวียน แล้วก็รื้อถอนเอาวัสดุของวัดน้ำค้างหวานมาทำเป็นศาลตระกูลของตำหนักนภากาศ มากมายหหลายอย่าง ช่วงก่อนหน้าที่ราชวงศ์ต้าหยวนจะก่อตั้งแคว้น ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีเรื่องของการใช้อำนาจบาตรใหญ่มาข่มขู่ทำนองนี้เกิดขึ้น ทว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้สกุลหลูของราชวงศ์ต้าหยวนทุกท่านก็ยังคงรังเกียจคิดว่าหน่วยฉงเสวียนมอซอเกินไป ในประวัติศาสตร์จึงมีการออกคำสั่งให้ชินอ๋องเชื้อพระวงศ์หลายท่านเป็นผู้ดูแลงานก่อสร้างด้วยตัวเอง เพื่อขยับขยายอาณาเขตให้กับหน่วยฉงเสวียนและตำหนักนภากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมืองหลวง ไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างใดที่ขัดขวางฮวงจุ้ยของหน่วยฉงเสวียนล้วนถูกรื้อถอนทั้งหมด และบนซากปรักทั้งหลายก็จะกระจายกันสร้างอารามสายรองของตำหนักนภากาศ เพื่อใช้สยบโชคชะตา ชื่อเรียกของอารามเต๋าล้วนเป็นชื่อรัชศกที่ราชวงศ์ต้าหยวนเคยใช้ในประวัติศาสตร์ ล้วนมอบให้นักพรตเต๋าของตำหนักนภากาศเป็นผู้ดูแลหลัก ไม่ว่าในอารามน้อยใหญ่จะมีความขัดแย้งใดๆ ที่ว่าการของทางราชสำนักก็จะไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด
ตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้นำสายลัทธิเต๋าของทวีป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทียนจวินเซี่ยสือที่เดินทางลงใต้ไปอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปมานานหลายปีแล้วต่างหากที่ถึงจะเป็นผู้นำของระบบเต๋าในหนึ่งทวีปอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันใคร่รู้เล็กน้อยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายคือต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน เพียงแต่ว่ากองกำลังทัดเทียมกัน ดังนั้นต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กัน? หรือว่าต่างมองอีกฝ่ายเป็นตะปูที่ทิ่มอยู่ในเนื้อ จะต้องกำจัดทิ้งให้ได้จึงจะสบายใจ?
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป น้ำในลำคลองยังคงไหลซัดตลบ เสียงน้ำดังมาก
บัณฑิตผู้นั้นยังคงไม่กลับมา
แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน พุ่งตัวไปยังริมลำคลอง
กระแสน้ำเริ่มเปลี่ยนมาเป็นใกล้เคียงกับคำว่าอันตราย เพราะมีน้ำขึ้นล้ำมาบนริมฝั่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!