กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 498

เฉินผิงอันออกมาจากอาณาเขตของตำหนักหยางฉางได้ไม่นานก็เก็บกระบี่เจี้ยนเซียนสอดเข้าฝัก พลิ้วกายลงบนสันเขาของภูเขาฉงซานที่มีไอพิษสกปรกอบอวล ก่อนหน้านี้ที่ก้มหน้ามองผืนดินก็เห็นว่าขอแค่เดินออกไปจากภูเขาแถบนี้ได้แล้วเดินลงใต้ไปอีกประมาณห้าสิบกว่าลี้ก็น่าจะถึงเมืองถงโช่วที่เป็นนครสูงกว้างใหญ่แห่งนั้นแล้ว และเมืองชิงหลูที่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมามาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ก็ห่างไปอีกไม่ไกลแล้ว

การขี่กระบี่เลียนแบบเซียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่ง ทะเลเมฆบนโลกใบนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้สารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ นอกจากนี้ยังสามารถทำเรื่องบางอย่างที่ช่วยคลายความกลัดกลุ้มได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกมาจากตำหนักหยางฉาง เฉินผิงอันก็จงใจเลือกเข้าไปในชั้นล่างสุดของทะเลเมฆจุดหนึ่งที่เมฆทั้งผืนราบเรียบเหมือนถูกมีดปาดผ่าน เอาหัวทิ่มเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็บังคับกระบี่ให้ล่องลอยไปอย่างเชื่องช้า หากใต้ฝ่าเท้ามีภูตผีปีศาจตามป่าเขาเงยหน้ามองมาเห็นภาพนี้เข้า คาดว่าคงรู้สึกว่า…ผู้ฝึกตนที่มองไม่เห็นหัวผู้นี้สมองมีปัญหาหรือไม่? นอกจากการหาความบันเทิงให้ตัวเองเหมือนเด็กที่ชวนให้ขบขันแบบนี้แล้ว เฉินผิงอันก็ยังชอบผลุบหายเข้าไปในทะเลเมฆทั้งร่าง แต่โผล่มาแค่หัวอย่างเดียว จากนั้นก็ตวัดแขนสองข้างขึ้นลงคล้ายว่ายน้ำ

อันที่จริงนี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่เผยเฉียนเอาหัวตัวเองวางพาดบนโต๊ะคิดเงินในร้านตรอกฉีหลงอยู่มาก ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน

ท่ามกลางสันเขาที่ไร้เงาผู้คน รอบด้านเงียบสงัด ต้นไม้ในป่าส่วนใหญ่ล้วนรัดพันกันเหมือนเป็นโรค เฉินผิงอันเดินผ่านหน้าผาแห่งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น เห็นต้นเหมยลำต้นเล็กบางต้นหนึ่งเติบโตจากร่องหินหน้าผา มีไอเมฆล้อมวน ด้านล่างหน้าผามีกระดูกขาวแตกหักกองกันเป็นพะเนิน นี่น่าจะเป็นเพราะภูตต้นไม้ที่พอจะมีความหวังในการฝึกตนตนนี้เริ่มเกิดสติปัญญา จึงเรียนรู้ที่จะจับนกหรือสัตว์ตัวเล็กๆ กินเป็นอาหารแล้ว

โดยทั่วไปแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าบนโลกกลายเป็นภูตได้ยากมากที่สุด ภูตประเภทนี้ส่วนใหญ่เมื่อจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ก็ถือว่าเดินมาสุดทางบนมหามรรคแล้ว ก็เหมือนกับภูตจิ๋วน่ารักที่ยืนอยู่บนกิ่งต้นป่ายในกระถางของหอชิงฝูที่ท่าเรือแคว้นซูสุ่ยเหล่านั้นที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ความหวังบนเส้นทางการฝึกตน ได้แต่อาศัยอายุขัยยาวนานที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของพืชหญ้าใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนใหญ่มักจะถูกผู้ฝึกตนนำมาเลี้ยง เก็บไว้ชื่นชมให้เพลิดเพลินเจริญตา รู้สึกเป็นมงคลก็เท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุให้ตอนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูยังไม่ร่วงลงมา พวกคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไหวถึงได้ชอบเล่าเรื่องภูตผีปีศาจตามป่าเขาลำนำไพรที่สมมติขึ้นมาเอง จงใจเอามาหลอกให้พวกเด็กๆ กลัว แต่พวกผู้เฒ่าส่วนใหญ่ก็มักจะพูดแทรกมาหนึ่งประโยคว่า พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ต้องรู้จักเห็นค่าแล้วเห็นค่าอีก ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้หากไม่ทำตัวเป็นคนให้ดี ชาติหน้าก็อาจเกิดไปเป็นหมูเป็นหมา ตอนเด็กเฉินผิงอันก็ชอบไปนั่งฟังเรื่องเล่าของที่นั่นอยู่ไกลๆ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่เคยกลัวฟ้าไม่เกรงดินกลับไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ มักจะบอกว่าพวกภูตผีปีศาจหรือเทพเจ้าแห่งเตาไฟอะไรทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องหลอกเด็ก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงจะเป็นกู้ช่านที่ไปนั่งรับลมเย็นอยู่ใต้ร่มเงาต้นไหวเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน จากนั้นก็รอให้สตรีแต่งงานแล้วในตรอกหนีผิงเปิดประตูตะโกนเรียกกู้ช่านกลับบ้านไปกินข้าว ไปนอน เขาถึงจะลุกขึ้นยืนแล้วกลับไป

เฉินผิงอันทะยานตัวขึ้นไปไต่หน้าผาหิน กางนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอปักเข้าไปในหน้าผา แขวนตัวห้อยอยู่กลางอากาศอย่างนั้น จากนั้นก็หยิบเอาเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญมากำไว้ในมือ ใช้วิชาหลอมวัตถุที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอถ่ายทอดให้หลอมปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินเกล็ดหิมะให้กลายเป็นหยดน้ำสีเขียวมรกตหลายหยด ปล่อยให้หยดน้ำไหลจากร่องนิ้วหยดลงไปตรงจุดเชื่อมต่อของรอยแยกระหว่างต้นเหมยโบราณกับหน้าผาหิน เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ใช้ฝ่ามือตบลงบนหน้าผาเบาๆ พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วออกเดินทางต่อ

หากตกอยู่ในสภาวะลำบากคับขันจำเป็นต้องรีบใช้เงินเทพเซียนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเงินต่อชีวิตเหมือนอย่างคู่รักคู่นั้น ไม่แน่ว่าพอเห็นต้นเหมยที่มีลักษณะผิดแผกไปจากต้นเหมยทั่วไปต้นนี้ ความคิดแรกก็คงจะเป็นใคร่รู้ว่ามันจะมีราคาเท่าไหร่ จากนั้นก็ปลุกความกล้าเสี่ยงอันตรายไต่หน้าผาหินขึ้นมาฟันเอามันไป ส่วนเรื่องที่ว่าโชควาสนาของต้นเหมยจะขาดสะบั้นหรือไม่ ไหนเลยจะมัวมาสนใจอยู่อีก แต่หากเป็นคนที่มีตบะสูงสักหน่อย อีกทั้งกระเป๋าเงินยังฟีบแบน เจอกับภูตสองตัวที่อยู่บนสะพานเหล็กก็คงต้องเปิดฉากเข่นฆ่าที่อันตรายไม่ต่างจากการช่วงชิงบนมหามรรคาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันไม่เคยมีอคติต่อการเข่นฆ่าเพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกตน ต่อให้วิธีการจะโหดเหี้ยมไปหน่อย เฉินผิงอันก็ยังพอจะเข้าใจได้ คนประเภทเดียวที่เฉินผิงอันไม่ชอบ หรืออาจถึงขั้นรังเกียจก็คือพวกเทพเซียนบนภูเขาที่อยู่บนที่สูงมานานแล้ว ยึดครองเอาผลประโยชน์ทั้งหมดไป สูงส่งเหนือผู้ใดประหนึ่งเจียวหลงที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ แต่กลับไม่มีความเมตตากรุณาต่อคนบนโลกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ขอแค่เป็นผู้ที่ขอบเขตสู้ตนไม่ได้ก็ล้วนถือว่าชีวิตไร้ค่าในสายตาของพวกเขา คิดจะสยบกำราบอย่างไรก็ได้ และเมื่อสังหารคนที่รกนัยน์ตาได้สำเร็จกลับยังพูดอย่างง่ายๆ ว่าเมื่อไร้ปราณีบนมหามรรคา จิตแห่งการฝึกตนจึงจะแข็งแกร่งประดุจหินผา

นี่คือการฝึกตนบนมรรคาแบบใดกัน?

ในขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางป่าเขาเพียงลำพัง เฉินผิงอันก็พึมพำกับตัวเองว่า “ตนเองไม่ชอบก็จะต้องผิดเสมอไปหรือ? เจ้าเฉินผิงอันเผด็จการเกินไปหน่อยหรือไม่? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

แล้วถามตัวเองอีกว่า “คนใจดีมีเมตตาไม่เหมาะคุมกองทัพ คนมีคุณธรรมไม่เหมาะทำการค้า?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

เขารู้สึกว่าคนโบราณชอบพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถือเป็นถ้อยคำที่กลั่นจากแก่นคัมภีร์ที่แท้จริง หากถ้อยคำที่เกิดจากการดึงข้อมูลแค่บางส่วนมาบิดเบือนถูกคนบนโลกยึดถือปฏิบัติตาม มองเป็นกฎเกณฑ์อันดีงามในการอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะสามารถลดทอนปัญหามากมายในชีวิตคนไปได้จริงๆ ไม่ใช่บอกว่าไม่ดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ

ยกตัวอย่างเช่นในตำราก็บอกไว้อีกว่า

คนใจดีมีเมตตาไม่เหมาะคุมกองทัพ หลังจากกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือแล้วก็ควรต้องมีความกรุณาปราณี

คนมีคุณธรรมไม่เหมาะทำการค้า หลังจากร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้วก็ควรจะมีศีลธรรมน้ำใจ

เฉินผิงอันหยุดเดิน กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงแล้วนั่งลง หยิบเอามีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่ที่ไม่ได้แตะมานานออกมา แล้วสลักสองประโยคนี้ลงไปบนแผ่นไม้ไผ่

คิดดูแล้วก็เอาประโยคที่พูดกับภูตหนูในตำหนักหยางฉางเกี่ยวกับการฝึกจิตใจฝึกพละกำลังนั้นสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งด้วย

เฉินผิงอันเก็บมีดแกะสลัก มือข้างหนึ่งถือแผ่นไม้ไผ่ชูขึ้นสูง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คราวนี้ก็ถือว่ามาจาก ‘ในตำรา’ (คำว่าแผ่นไม้ไผ่ในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะใช้คำว่าจู๋เจี่ยน แต่ประโยคด้านบนใช้คำว่าซูเจี่ยนซึ่งสามารถแปลเป็นแผ่นไม้ไผ่ได้เหมือนกัน และซูก็หมายถึงหนังสือ/ตำรา) อย่างแท้จริงแล้ว!”

ดีนักนะ

ที่แท้ล้วนเป็นหลักการที่เฉินผิงอันพูดขึ้นอย่างส่งเดชเองทั้งนั้น

คาดว่าตลอดทั้งใต้หล้าแห่งนี้ก็คงมีแต่พวกคนขี้ประจบบนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นกระมังที่ยินดีจะเห็นเป็นจริงเป็นจังกับคำกล่าวพวกนี้?

เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่ทั้งสองแผ่นไปอย่างระมัดระวัง อารมณ์เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้รีบร้อนเดินทางต่อไปยังนครถงโช่ว

แต่ดื่มเหล้าต่ออีกนิด ในกาเหล้าที่เอาออกมาตอนอยู่ตำหนักหยางฉางก่อนหน้านี้ยังเหลือเหล้าอยู่อีกไม่น้อย

เฉินผิงอันเริ่มคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองอยู่ในใจอย่างละเอียด การเดินทางจากชายหาดโครงกระดูกเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

แต่ว่าความเสียหายของชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวบนร่างตัวนี้ก็ถือว่าไม่เบา คิดจะซ่อมแซมให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม คาดว่าอย่างน้อยคงต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะห้าถึงหกพันเหรียญ

ตอนนั้นที่หนีออกจากวงล้อมกลุ่มปีศาจบนภูเขาตี้หย่งมาพร้อมกับบัณฑิต เพื่อแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นจึงไม่กล้าเปิดเผยรากฐานของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกไปมากนัก จึงได้แต่จงใจกดปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในกายเฮือกนั้นเอาไว้ อาศัยแค่ชุดคลุมอาคมมาต้านรับค้อนที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นทุบลงมาเต็มแรง ภายหลังตอนเปิดฉากเข่นฆ่ากับขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียวที่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ ร่างตกอยู่ท่ามกลางบ่อสายฟ้า ชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวก็ยิ่งถูกสายฟ้าฟาดผ่าจนได้รับความเสียหายรุนแรงกว่าเดิม ค่าใช้จ่ายที่ไม่เล็กก้อนนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเข็ดฟันนัก

เฉินผิงอันจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “การค้าขายของร้านผ้าห่อบุญที่เล็กที่สุดบนโลกใบนี้ก็ยังต้องใช้เงินทุน เจ้าจะมีความคิดที่ไม่อยากลงทุนแต่ได้กำไรมหาศาลแบบนี้ไม่ได้”

อีกทั้งตอนที่อยู่กลางบ่อสายฟ้า จิตวิญญาณและเนื้อหนังมังสาของตนที่เหมือนต้องทนทุกข์ทรมานดั่งการถูกไฟแผดเผาก็ยิ่งเป็นการฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายอย่างแท้จริง

แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับการโดนซ้อมบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วจะถือว่าเบาไปสักหน่อย แต่ก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย อีกทั้งเดิมทีบ่อสายฟ้าก็เป็นกรงขังที่ทรมานคนได้ดีที่สุดบนโลกใบนี้ การทนรับความทุกข์ยากนี้ยังมีความมหัศจรรย์อีกข้อหนึ่ง เพราะอันที่จริงเฉินผิงอันเองก็สัมผัสได้นานแล้วว่าเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของตนคล้ายจะยืดหยุ่นทนทานขึ้นอีกหลายส่วน

ตอนอยู่สันเขาอีกาแย่งชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะตัวหนึ่งมาจากป๋ายเหนียงเนียงของนครฟู่นี่ได้ ตามคำบอกของฟ่านอวิ๋นหลัว ราคาตลาดของมันก็คือสองสามเหรียญเงินฝนธัญพืช

หากขายให้แก่นครฟูนี่ก็น่าจะเพิ่มราคาได้อีกหนึ่งถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงป๋ายเหนียงเนียงที่ชอบเสแสร้งหลอกลวงผู้คนตนนั้น เฉินผิงอันก็ให้รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา

ตอนนั้นนางจำแลงใบหน้าหนึ่งออกมา ใช้ใบหน้านี้มาล่อลวงใจคน ทำให้เฉินผิงอันเจ็บแค้นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจคอไม่ดีด้วย

นอกจากจะบอกให้คู่บำเพ็ญตนห้าขอบเขตล่างคู่นั้นแบกโครงกระดูกขาวห้าโครงออกไปจากหุบเขาผีร้ายแล้ว ในวัตถุจื่อชื่อของเขายังมีโครงกระดูกขาวที่แวววาวราวกับหยกของนางกำนัลหญิงแห่งนครฟูนี่อีกสิบกว่าโครง

ส่วนหลังจากฝึกประสบการณ์จบแล้วได้ออกไปจากหุบเขาผีร้าย จะนำไปขายที่ชายหาดโครงกระดูกได้เงินเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่แน่ใจนัก

เฉินผิงอันคิดมาถึงตรงนี้ก็อดหันไปมองทางทิศใต้แวบหนึ่งไม่ได้ ไม่รู้ว่าคู่รักคู่นั้นเอาไปขายได้ราคาสูงหรือไม่

คำที่บอกว่าสัญญาหนึ่งเดือนนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!