เฉินผิงอันพลันหัวเราะ เรียกได้ว่าหน้าบานเป็นกระด้ง พูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ของผุพังเช่นนี้ยิ่งมากก็ยิ่งดีจริงๆ!”
จากนั้นเฉินผิงอันก็สะบัดชายแขนเสื้อ “อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้ผุพังสักหน่อย ล้วนเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ทั้งนั้น”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาที่ถอดมาจากตัวของหยางหนิงซิ่งยังซ่อนยันต์อีกสามแผ่นที่แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องแพงมากเอาไว้
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้สูง ฝีเท้าว่องไวไปตามอารมณ์อันเบิกบาน เขาเลียนแบบชุยตงซานที่เดินจนชายแขนเสื้อโบกสะบัด และยังเลียนแบบฝีเท้าของเผยเฉียน มองดูแล้วเหมือนทั้งรูปลักษณ์และจากแก่นแท้ของภายใน
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองหลงระเริงตนไปจริงๆ
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า ก็ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีนี่นา
เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้าใบนั้นมา หลังจากดื่มหมดแล้ว แม้แต่กาเหล้าก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง เขาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเพราะตลอดทางมานี้กลับไม่เจอพวกภูตผีปีศาจอะไรเลย สภาพการณ์ไม่ต่างจากตอนอยู่บนภูเขาถงกวานสักเท่าไหร่ ทว่าตอนที่เขากำลังจะออกไปจากภูเขา จู่ๆ กลับสังเกตเห็นว่าตรงตีนเขาแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลมีคนสองกลุ่มกำลังทะเลาะวิวาทกัน ทั้งสองฝ่ายหันอาวุธเข้าหากัน กำลังคุมเชิงกันอยู่
เฉินผิงอันแฝงตัวเข้าไปใกล้อย่างว่องไว เก็บลมปราณทั้งหมดแล้วเลือกจะไปซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ลับตา
บนรถลากคันมหึมาที่ประกอบขึ้นอย่างหยาบๆ แม้จะบอกว่าเป็นรถลาก แต่รอบด้านกลับไม่มีวัตถุใดปกปิด จึงมองดูเหมือนแพไม้ไผ่ที่วางที่นั่งเอาไว้มากกว่า ด้านบนมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล้ามเป็นมัดนั่งกางขาอยู่ ร่างของเขาสูงสองจั้ง หมัดใหญ่ราวกับบาตร มือข้างหนึ่งกำลังถือถ้วยเหล้าขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นให้พอดีกับตัวของเขา กำลังแหงนหน้าดื่มเหล้า สุราไหลหกเลอะเทอะ ขนหน้าอกที่รกหนาเหมือนต้นไม้ในผืนป่าจึงเหมือนเจอกับฝนเทกระหน่ำ ข้างเท้าของชายฉกรรจ์วางกาเหล้าที่ว่างเปล่าไว้สองกา ด้านข้างคือสตรีที่เป็นภูตมีสองหูตั้งแหลมนั่งขดตัวอยู่ สองมือของนางถือถ้วยใหญ่ที่บรรจุเหล้าไว้จนเต็ม คอยแอบเหลือบมองไปยังใครบางคนใน ‘ทัพของศัตรู’ อยู่เป็นระยะ สายตาเยิ้มหวานดึงดูดใจคน
รถลากคันนั้นถูกภูตน้อยที่เป็นลูกสมุนแปดตนแบกไว้บนไหล่
บริเวณใกล้กับตัวรถมีภูตสวมเกราะเหล็กอีกสิบกว่าตนที่ถือทวนถือดาบไว้ในมือ ท่าทางโอหังอย่างถึงที่สุด
ฝ่ายที่ภูตในภูเขากลุ่มนี้คุมเชิงอยู่ด้วยคือผีร่างสูงใหญ่หลายสิบตนที่สวมชุดเหมือนทหารกล้า พกดาบสะพายธนู ประหนึ่งพลทหารบนสนามรบในโลกมนุษย์
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือผีแม่ทัพที่สวมเสื้อเกราะสีเงิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ข้างกายมีบุรุษคนเป็นที่เตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะยืนอยู่ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มของภูตผีและปีศาจ เขาก็ยังคงมีสีหน้าทระนง ไร้ซึ่งความเกรงกลัว เขาสวมชุดขุนนางบุ๋นสีแดงสดที่ตรงหน้าอกปักภาพไก่ฟ้าหลังขาว ด้านในสวมชุดตัวในผ้าบางสีขาว สวมถุงเท้าขาวรองเท้าดำ ตรงเอวรัดเข็มขัดหยก ‘ขุนนาง’ ที่น่าจะอายุไม่มากผู้นี้กำลังชี้นิ้วด่าไปทางรถลากคันนั้น
ชายฉกรรจ์ที่ร่างกำยำใหญ่โตเหมือนภูเขาลูกย่อมได้ยินเสียงพร่ำด่าของคนผู้นั้นก็ยกเท้าเตะสตรีข้างกายเบาๆ ไปหนึ่งที ถามเสียงเบาว่า “ไอ้หมอนี่มันพูดว่าอะไร?”
สตรีหน้าตางดงามยิ้มเอ่ย “กำลังด่าว่านายท่านไม่ใช่คนเจ้าค่ะ”
ชายฉกรรจ์อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “แล้วข้าผู้อาวุโสเป็นคนตั้งแต่เมื่อไหร่? พวกเรากับเจ้าพวกโครงกระดูกแห่งนครถงโช่วพวกนี้ มีใครที่เป็นคนบ้าง? ไม่ใช่เจ้าบัณฑิตหน้าขาวอย่างเขาหรอกหรือที่เป็นคน?”
สตรีก้มหน้าปิดปากหัวเราะคิกๆ เมื่อชายฉกรรจ์โยนถ้วยเหล้าในมือทิ้ง นางก็รีบชูถ้วยเหล้าในมือตัวเองขึ้นมา พออีกฝ่ายรับไปแล้ว สตรีก็ทุบขาให้เขาพลางยิ้มเอ่ย “นายท่าน บัณฑิตนครถงโช่วผู้นั้นก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อยหาแก่นสารไม่ได้ ท่านฟังไม่เข้าใจนั่นแหละดีแล้ว หากฟังเข้าใจ หรือจะยังต้องไปเป็นขุนนางในนครถงโช่วด้วย?”
ชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม “ข้าก็อยากจะลองเป็นขุนนางน้อยของอัครมหาเสนาผู้อำนวยการหญิงอะไรนั่นดูเหมือนกัน ตอนกลางวันพูดเรื่องคร่ำครึในตำรากับนาง ตอนกลางคืนก็เปิดศึกกันให้เต็มคราบ ฟังนางส่งเสียงร้องอิ๊อ๊ะเหมือนครวญเพลง แค่คิดก็ซ่านสยิวแล้ว”
แม่ทัพผีตนนั้นได้ยินอย่างชัดเจน เขาเอามือกดด้ามดาบ ตวาดเดือดดาลด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ใต้เท้าอัครเสนาบดีของข้าเป็นดั่งเทพธิดา สัตว์เดรัจฉานที่ขนยังหลุดไม่เกลี้ยงอย่างเจ้าบังอาจใช้คำพูดดูแคลนนางได้หรือ?!”
ชายฉกรรจ์ไม่สนใจ ดื่มเหล้าไปครึ่งถ้วย ที่เหลือล้วนหกหมด จากนั้นก็ขว้างถ้วยไปนอกรถ ยกมือเช็ดปาก โน้มตัวมาด้านหน้า ด้านหนึ่งก็ยื่นมือไปแคะฟันตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากับต้าถงจื่อลูกน้องของเซียนใหญ่จัวเยาคือพี่น้องที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมสาบานกัน และยิ่งเป็นหนึ่งในลูกบุญธรรมของอริยะใหญ่ปานซาน กินคนตัดต้นไม้ในถิ่นของเจ้านครถังพวกเจ้าไปแค่ไม่กี่คน เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน”
บุรุษที่เป็นขุนนางบุ๋นผู้นั้นตวาดเสียงดัง “เจ้าหมาแก่ เจ้าเลิกแกล้งโง่เสียทีเถอะ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อต้องการตัวท่านจิ้นซื่อคนใหม่! คนผู้นี้คือบัณฑิตที่ใต้เท้าอัครเสนาบดีให้ความสำคัญมากที่สุด เจ้าจงรีบมอบตัวเขาออกมา ไม่อย่างนั้นนครถงโช่วของพวกเราจะยกทัพประชิดชายแดน ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านอะไรอีก! จงประเมินความหนักเบาของเรื่องนี้ดูให้ดี ดูสิว่าสุนัขอย่างเจ้าจะดวงแข็ง หรือดาบและทวนของกองทัพใหญ่นครถงโช่วของพวกเราที่แหลมคมกว่ากันแน่!”
เฉินผิงอันพอจะมองออกว่าด้านหลังของชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนรถลากมีร่างเดิมเป็นลักษะของสุนัขตะลุยภูเขาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่
เพียงแต่ว่าใบหน้าพร่าเลือนอย่างยิ่ง อีกทั้งบางครั้งก็ลอยขึ้นมา บางครั้งก็วาบหายไป
ต้าถงจื่อลูกน้องของเซียนใหญ่จัวเยา? คงไม่ใช่ภูตหนูหน้าประตูจวนหยางฉางที่แอบซ่อนมีดปลายแหลมเอาไว้ แล้วถูกตนดีดตายด้วยนิ้วเดียวหรอกกระมัง?
เฉินผิงอันมองรถลากคันนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับรถลากสมบัติหนักของฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่แล้ว รถลากคันนี้ก็ดูโกโรโกโสไปหน่อยจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้ไปสาบานเป็นพี่น้องกับภูตหนูของตำหนักหยางฉางได้
บัณฑิตที่เป็นจิ้นซื่อคนใหม่ซึ่งทางนครถงโช่วขึ้นเขามาขอตัวคืนคนนี้ก็ต้องเป็นหยางหนิงซิ่งที่ถูก ‘วิญญูชน’ ถือพัดจับตัวไปขอความดีความชอบจากที่ภูเขาโปลั่วแน่นอน
ความสนใจของเฉินผิงอันส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ตัวของบุรุษผู้เป็นขุนนางบุ๋น
มองออกว่าครั้งนี้เขาออกมาจากนครถงโช่วก็เพราะมีหน้าที่ติดตัว แต่ดูจากสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์คนอื่นที่เขาหลุดเผยออกมาเล็กน้อยนั่นแล้ว ส่วนลึกในใจคงจะหวังให้เพื่อนร่วมงานที่อาจจะมาแย่งชิงความโปรดปรานไปจากตนผู้นั้นถูกสุนัขตะลุยภูเขากินลงท้องและกลายไปเป็นปุ๋ยบนภูเขาลูกนี้แล้วจึงจะดี
ด่าคนไม่ด่าข้อด้อยของเขา ชายฉกรรจ์ที่ถูกแฉตัวตนที่แท้จริงพลันเดือดดาลอย่างหนัก เริ่มเปิดปากด่าบุรุษที่เป็นขุนนางของนครถงโช่วว่าเป็นคนชีวิตสั้นตายไว จะไม่ได้เสพสุขจนน้ำลายกระเด็นแตกฟอง
ทั้งสองฝ่ายปะทะฝีปากกันอยู่นาน
เฉินผิงอันไม่เห็นว่าใครจะชักดาบลงมือก่อนเสียที
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมันซะอย่างนั้น
เฉินผิงอันรู้สึกนับถือพวกเขาจริงๆ
ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้งแล้วกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ติดตามกลุ่มผีของนครถงโช่วไปไกลๆ
บนรถลาก ชายฉกรรจ์นั่งนิ่งไม่ขยับ คล้ายกับว่าต้านฤทธิ์สุราไม่ไหวจึงต้องงีบหลับพักผ่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!