สรุปเนื้อหา บทที่ 498.3 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 498.3 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
แต่ว่าสมบัติพิทักษ์ร้านชิ้นนั้นถือว่าเป็นวัตถุวิเศษสมชื่ออย่างแท้จริง คือลูกธนูเหล็กมีน้ำหนักที่ไร้ขนนกลูกหนึ่ง คิดดูแล้วตอนที่เจ้าของวัตถุชิ้นนี้ยังมีชีวิตอยู่จะต้องมีพละกำลังแขนที่น่าตะลึงมากเป็นแน่ เขาน่าจะเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญคนหนึ่งบนสนามรบ บนปลายของลูกธนูมีคราบเลือดเกาะกระดำกระด่าง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เลือนหายไปไหน และได้แทรกซึมเข้าไปในลูกธนูแล้ว
ผีสาวที่เป็นเถ้าแก่ร้านเห็นว่าคนผู้นี้ก้มหน้าจ้องมองลูกธนูก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนซือผู้เฒ่าสายตาดีจริงๆ วัตถุชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘ศรแหวกภูผา’ เคยเป็นสิ่งของของแม่ทัพใหญ่หมื่นศัตรูบนสนามรบของแคว้นหล่งซีท่านหนึ่ง ท่านผู้นั้นมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือธนูแหวกภูผาคันหนึ่ง บวกกับศรแหวกภูผาอีกสิบสองดอก เมื่อธนูลูกหนึ่งยิงออกไปสามารถระเบิดยอดเขาให้เป็นจุล พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง และศรแหวกภูผาชิ้นนี้ก็ยิ่งเป็นของหายาก เพราะเลือดสดที่อาบย้อมอยู่บนปลายลูกธนูมาจากการยิงทะลุดวงตาแม่ทัพบู๊ของสำนักการทหารอีกคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายศัตรู นี่จึงเป็นเหตุให้คราบเลือดสามารถดำรงอยู่ได้เป็นพันปีก็ไม่เลือนหาย ดังนั้นเจ้าประมุขตระกูลข้าจึงตั้งชื่อให้มันอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ศรทะลวงตา’ หากเป็นพวกผีในเมืองถงโช่วหรือภูตกลางภูเขาทั่วไปจ้องมองลูกธนูลูกนี้ก็จะรู้สึกว่าดวงตาแสบพร่า หากเซียนซือผู้เฒ่าซื้อไป ยามที่ขึ้นเขาลงห้วยแล้วพกลูกธนูนี้ติดตัวเดินทางไปด้วยก็จะช่วยปัดเป่าเสนียดสิ่งอัปมงคล ผีร้ายมิอาจกล้ำกราย”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “แล้วตอนนี้ธนูแหวกภูผาคันนั้นอยู่ไหน?”
ผีสาวเถ้าแก่เอ่ยอย่างเสียดาย “ท่ามกลางสงครามอันดุเดือดบนชายหาดโครงกระดูกครานั้น ถูกนายท่านดึงรั้งจนขาดผึงกลางสนามรบ ไม่เพียงสายเท่านั้นที่ขาด แม้แต่ตัวคันธนูก็ยังเป็นเช่นนี้ด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ช่างเป็นการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณนัก”
ผีสาวยิ้มเอ่ย “หากไม่เป็นเช่นนี้ ผีที่ตายไปแล้วอย่างพวกเราจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อย่างไร นี่ต้องขอบคุณเหล่านักสู้บนสนามรบที่ไม่เสียดายชีวิตเหล่านั้นถึงจะถูก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอข้าเดินดูอีกหน่อย”
ผีสาวเองก็ไม่บังคับ ปล่อยให้ผู้เฒ่าสวมงอบคนนั้นเดินออกไปจากร้าน
เฉินผิงอันเดินไปตามร้านรวงทั้งหลายที่อยู่บนถนนเส้นนี้จนครบ เขาค้นพบว่าสถานการณ์ของแต่ละร้านไม่ต่างกันสักเท่าไร นั่นคือแต่ละร้านจะต้องเก็บรักษาวัตถุวิเศษเอาไว้หนึ่งชิ้น ยกตัวอย่างเช่นร้านที่ตั้งอยู่สุดปลายตรอกนั้นมีผีผาเหล็กชิ้นหนึ่งวางอยู่ สภาพยังดีอยู่มาก
ส่วนของสะสมโบราณชิ้นอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยเข้าขั้นสักเท่าใด ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะซื้อมาในราคาต่ำแล้วค่อยนำไปขายต่อที่อื่นก็ยังเลือกไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว คิดดูแล้วของดีที่แท้จริงคงจะถูกสตรีที่เป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการผู้นั้นเก็บไปไว้ใน ‘วังหลวง’ ทั้งหมดแล้วเป็นแน่
ในเรื่องของการเก็บตกของดีและแววตาการมองของ เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากผีผู้เฒ่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับหม่าตู่อี๋จนพอจะมีความรู้อย่างงูๆ ปลาๆ
แต่เมื่อได้เห็นของดีมามากแล้ว วัตถุชิ้นหนึ่งเป็นของดีหรือไม่ดี เฉินผิงอันก็ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ดีมากแค่ไหนกันแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ยังขาดการฝึกปรือในด้านนี้
สุดท้ายเฉินผิงอันย้อนกลับไปยังร้านที่เดินเหยียบเข้าไปเป็นร้านแรก เด็กน้อยสองคนไม่ค่อยกลัวเขาเท่าไรแล้ว ตอนที่เขาเดินไป ทั้งสองกำลังนั่งอาบแดดอยู่บนธรณีประตูร้านด้วยซ้ำ เพียงแค่ขยับก้นเปิดทางให้เขาเท่านั้น
ผีสาวที่เป็นเถ้าแก่ยิ้มถาม “เซียนซือผู้เฒ่าได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันมาจากตรอกผงทองของพวกเราบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หาวัตถุที่ราคาเหมาะสมทั้งยังถูกใจไม่ได้เลย”
นางชำเลืองตามองห่อสัมภาระใบใหญ่บนหลังของเฉินผิงอัน แล้วถามว่า “เซียนซือผู้เฒ่าคิดจะตัดใจขายของรักของตัวเองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาลองเสี่ยงดวงดูสักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเถ้าแก่จะถูกใจหรือไม่”
นางยิ้มกล่าว “ขอดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากเป็นของที่ถูกตาต้องใจจริงๆ ร้านของข้าก็ไม่กลัวที่จะต้องจ่ายเงิน”
เฉินผิงอันจึงปลดห่อสัมภาระลงมาวางบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ แล้วค่อยๆ หยิบของออกมาวางไว้ด้านนอกทีละชิ้น
นี่เป็นเพียงแค่สิ่งของสามส่วนจากห้องส่วนตัวของปี้สู่เหนียงเนียงและจวนน้ำของฟู่ไห่หยวนจวินเท่านั้น
มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรื้อค้นของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ว่า คู่ควรกับคำว่าทุกที่ที่ผ่าน แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่เหลือ
แรกเริ่มผีสาวก็มีสีหน้าปั้นยาก
เพราะของหลายชิ้นก่อนหน้านั้นล้วนเป็นของใช้ในห้องหับของสตรี ไม่ว่าจะเป็นโถใส่ผงแป้ง กระจกแต่งหน้า ตลับเงินสลักลวดลาย เครื่องประดับผมของสตรีที่ใหญ่เท่ากำปั้น แต่กลับทำขึ้นอย่างประณีต อีกทั้งยังเป็นบุปผาหลายร้อยดอกรวมช่อห้อมล้อมดอกโบตั๋น…
เซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนี้นี่มันคนบ้าตัณหา แก่แล้วก็ยังหน้าไม่อายจริงๆ!
ดูเหมือนว่าเจ้าคนที่สวมงอบผู้นี้ก็จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร จึงไม่เอาแต่หยิบของออกมาวางข้างนอกท่าเดียวอีกต่อไป ในที่สุดก็เริ่มพลิกๆ ค้นๆ หยิบเอาของมีค่าที่พอจะปกติออกมา
สีหน้าที่อับอายจนพานเป็นโกรธของเถ้าแก่ผีสาวถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเฉินผิงอันหยิบตะเกียบทองคู่หนึ่งออกมา สายตานางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับตอนเห็นเครื่องประดับศีรษะที่สร้างขึ้นด้วยฝีมืออันเลิศล้ำแล้ว ยังดูมีท่าทางสนใจยิ่งกว่า
สุดท้ายเฉินผิงอันก็หยิบของออกมาแค่เพียงครึ่งหนึ่งของห่อสัมภาระ ทุกอย่างวางเรียงกันแน่นขนัดอยู่เต็มโต๊ะคิดเงิน เขาถามว่า “เถ้าแก่ถูกใจชิ้นไหนบ้างหรือไม่?”
เถ้าแก่ผีสาวกวาดตามองไปทั่วสิ่งของทั้งหลายอย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หยุดนิ่งอยู่บนขวดกระเบื้องบรรจุผงสีใบหนึ่ง ราวกับว่าสนใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมแล้วกลับผิดหวังเสียมากกว่า
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจเอาของที่ทำให้อีกฝ่ายถูกใจออกมาได้ การมาเยือนนครถงโช่วครั้งนี้คงต้องเสียเที่ยวแล้ว”
ผีสาวเห็นว่าผู้เฒ่าเริ่มเก็บข้าวของลงห่อสัมภาระถึงได้ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงบนขวดกระเบื้องบรรจุผงสีใบนั้นเบาๆ กล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าขวดกระเบื้องใบเล็กนี้ราคาเท่าไร? ข้าเห็นว่ามันกะทัดรัดน่ารัก อยากจะซื้อเอาไว้”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองขวดกระเบื้องใบเล็กสีสันสดใสแล้วจงใจแสดงสีหน้าดูแคลนออกมาเสี้ยวหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “มันน่ะหรือ ไม่มีราคาค่างวดที่สุดในบรรดาสมบัติเหล่านี้ของข้าแล้ว ยกให้เถ้าแก่ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันแน่ใจว่ามันไม่มีราคาจริงๆ บางทีคุณหนูตระกูลใหญ่หรือสตรีแต่งงานแล้วชนชั้นสูงอาจจะชื่นชอบ แต่ก็ขายได้แค่ไม่กี่สิบหรือไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น การที่เถ้าแก่ผีสาวถูกใจมันแค่ชิ้นเดียวก็เป็นแค่เพียงหนึ่งในวิธีการที่จะใช้กดราคาสิ่งของเป็นทอดๆ เท่านั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะทำการค้าไม่เป็นแค่ไหน แต่แววตาแค่นี้ เขาก็ยังพอมีอยู่บ้าง หากจะพูดถึงความเจ้าเล่ห์ว่ามีมากหรือน้อย กลอุบายว่าตื้นหรือลึก เถ้าแก่ผีสาวแห่งนครถงโช่วผู้นี้จะทัดเทียมกับบัณฑิตผู้นั้นได้จริงๆ หรือ?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเริ่มยัดสิ่งของทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะคิดเงินกลับไปในห่อสัมภาระ ท่าทางบอกชัดว่าในเมื่อเถ้าแก่อย่างเจ้าตาบอด ข้าผู้อาวุโสก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเดินจากไป
แล้วก็จริงดังคาด
สายตาของผีสาวปกปิดความร้อนรนเอาไว้ไม่อยู่ นางถามอีกว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ร้านของข้าไม่มีค่าใช้จ่ายมานานแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน หากข้าเหมาของในห่อสัมภาระของเจ้าทั้งหมด ให้ราคาเก้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เป็นอย่างไร?!”
เฉินผิงอันเหล่ตามองผีสาวที่ทำหน้าเสียดายเงินเกล็ดหิมะแวบหนึ่ง ยื่นมือมาผลักขวดกระเบื้องหลากสีใบนั้นออกไปให้อีกฝ่าย แล้วก็ยังไม่หยุดมือที่เก็บข้าวของ ปากก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ไปด้วย “ข้าไม่ใช่ขอทานที่ขอข้าวคนอื่นกินเสียหน่อย ของชิ้นนี้ยกให้เจ้าเปล่าๆ ได้ แต่สมบัติที่แท้จริงชิ้นอื่นๆ หากข้าไปหาคนซื้อที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าจริงๆ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าในนครถงโช่วที่กว้างใหญ่นี้จะไม่มีคนที่ตามีแววเลยสักคนเดียว”
ดูเหมือนผีสาวจะอับอายจนพานเป็นโกรธ แล้วก็ไม่หยิบขวดกระเบื้องสีสันสดใสใบนั้นไป ทั้งไม่เอ่ยรั้งตาเฒ่าผู้นี้เอาไว้ ปล่อยให้เขาเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กลับไปในห่อสัมภาระ หลังจากสะพายขึ้นหลังแล้ว เห็นว่านางไม่หยิบขวดกระเบื้องไป ตาเฒ่าก็ไม่เกรงใจ คว้ามาไว้ในมือ ไม่เอาก็เรื่องของเจ้า สุดท้ายก็เดินข้ามธรณีประตูจากไปทั้งอย่างนี้
รอจนตาเฒ่าที่ค่อนข้างจะมีนิสัยเจ้าอารมณ์ผู้นั้นออกไปจากร้าน เถ้าแก่ผีสาวนับอยู่ในใจได้สิบกว่าครั้ง ถึงได้รีบกวักมือเรียกผีเด็กหญิงให้ไปหาที่โต๊ะคิดเงิน แล้วกล่าวว่า “ตามคนผู้นั้นไป หากเขาเดินย้อนกลับมาที่ร้านเรา เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ แต่หากทำท่าเหมือนว่าจะไม่กลับมาตรอกผงทองอีก เจ้าก็ไปพูดกับเขาว่าร้านเรายินดีตกลงเรื่องราคากับเขาให้ดีๆ”
เด็กน้อยทั้งสองจึงรีบวิ่งออกไปนอกร้านทันที
เงาร่างเพรียวยาวสายหนึ่งปรากฏตัวในร้าน ปราณหยินรอบด้านแผ่กระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึงไป ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านมาได้อย่างไร? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาเยือนตรอกผงทองของข้าเลยนะ”
ผีเด็กสาวที่ถูกนางเรียกว่าเจินก้วนลงไปคุกเข่าหมอบกราบอยู่กับพื้นแล้ว ยามนี้ก็เอ่ยเสียงสั่นว่า “คารวะท่านเจ้านคร”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาบอกเจ้าว่า นอกจากจะทำการค้ากับคนผู้นั้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าได้มีความคิดอย่างอื่นอีก”
ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “ก็แค่ตาแก่คนหนึ่งไม่ใช่หรือ ทำไม ท่านกลัวว่าข้าจะถูกใจเขาหรือไร? ไม่ใช่คุณชายหนุ่มหล่อสักหน่อย ข้าไม่คิดเป็นอื่นหรอกน่า”
ถังจิงฉีเอ่ยอย่างระอาใจ “คนผู้นี้ก็แค่ใช้เวทอำพรางตาเท่านั้น หากรายงานของสายลับไม่ผิดพลาด เขาน่าจะเป็นเซียนกระบี่หนุ่มที่ทำให้ฟ่านอวิ๋นหลัวและกลุ่มปีศาจบนภูเขาเสียเปรียบครั้งใหญ่ นี่ข้าก็เพิ่งได้ข่าวมาว่าสุนัขตะลุยภูเขาตัวนั้นตายไปแล้ว ถูกกระบี่บินแทงทะลุศีรษะตาย ลงมืออย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่ได้ปรากฏตัวด้วยซ้ำ”
ถังจิ่นซิ่วเลียริมฝีปาก
ถังจิงฉีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “การเล่นสนุกยามปกติ ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่เรื่องนี้สำคัญมาก หากไม่ระวังก็อาจเกิดโศกนาฎกรรมที่ทำให้นครถงโช่วหายไปเกือบครึ่ง หากเจ้ากล้าทำตัวเหลวไหลก็อย่ามาโทษหากข้าจะจับเจ้าขังร้อยปี!”
ถังจิ่นซิ่วกล่าวอย่างน้อยใจ “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า ท่านพี่ก็น่าจะออกหน้าเองไม่ใช่หรือ”
ถังจิงฉีหัวเราะอย่างฉุนๆ “ให้ข้าออกหน้า? ออกมาทำอะไร? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่กลายเป็นว่าข้าวางแผนลับคิดกำจัดปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ หรอกหรือ? หรือมีจิตใจทะเยอทะยานอยากจะฮุบกลืนนครที่อยู่รอบด้าน? หรือจะให้ข้านั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในร้าน รอให้เขามาแล้วต่อรองราคากัน? ในเมื่อเขาไม่คิดจะป่าวประกาศ เพียงแค่จะมาทำการค้าในนครของเราเท่านั้น แม้แต่เจ้าก็ยังรู้ว่าควรจะปิดบังสถานะ หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายโก่งราคา แล้วข้าอยู่ที่นี่จะหั่นราคาเขาได้อย่างไร? อีกฝ่ายมีสิ่งของราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ข้าก็จะใช้เงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชซื้อมา? เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่านครถงโช่วของพวกเราไม่ให้เกียรติเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้?”
ถังจิงฉียื่นนิ้วมาชี้หน้าน้องสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย “ต่อจากนี้เจ้าจงจำไว้อย่างเดียวว่า นี่เป็นการค้าขายอย่างหนึ่งเท่านั้น ทั้งไม่ต้องวาดงูเติมขา แล้วก็ไม่ต้องจงใจประจบเอาใจ แต่หากอีกฝ่ายบีบคั้นกันมากเกินไปก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป นครถงโช่วของพวกเราลงนามเป็นพันธมิตรกับนครชิงหลู ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเหล่านั้นต้องไม่มีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน”
สายตาของถังจิ่นซิ่วไม่ใคร่จะพอใจนัก “ทราบแล้วน่า”
ถังจิงฉีหันหน้าไปมองผีเด็กสาวคนนั้นแล้วเอ่ยกำชับว่า “จำไว้ว่าต้องคอยเตือนนาง ถึงเวลานั้นอย่าให้นางทำตัวบ้าผู้ชายขึ้นมาอีก อัครเสนาบดีผู้อำนวยการของนครถงโช่วของพวกเราไม่คู่ควรกับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ”
ถังจิ่นซิ่วกระทืบเท้า “ท่านพี่ มีใครเขาว่าน้องสาวตัวเองอย่างท่านบ้าง?!”
ทว่าวิญญาณวีรบุรุษเจ้านครที่มาเยือนอย่างรีบร้อนผู้นั้นกลับจากไปอย่างรีบร้อนอีกครั้งแล้ว
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ผีสาวโตเต็มวัยที่จงใจไม่สวมชุดแต่งกายของชาววังก็พาเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นมายังร้านตรงหัวมุมของตรอกผงทอง
ผีสาวเจินก้วนตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!