กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 498

ทางฝั่งนั้น

เฉินผิงอันปลดหน้ากากลงแล้ว เดินเข้าไปในเมืองชิงหลู เมืองแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ถึงขั้นเทียบกับตลาดของด่านไน่เหอไม่ได้ด้วยซ้ำ

มีแค่ถนนใหญ่สองเส้นตัดกันเท่านั้น คาดว่าหากรวมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกันคงไม่ถึงร้อยกว่าหลัง อีกทั้งยังไม่มีจวนที่หรูหราโอ่อ่าใดๆ

คนเดินเท้าก็มีบางตา ทว่าพอจะมีร้านน้ำชาและเหลาสุราอยู่บ้าง คนที่ขายน้ำชาและสุรากลับเป็นเด็กสาวหรือไม่ก็สตรีโตเต็มวัยที่หน้าตางดงาม คิดดูแล้วคงจะเป็นสตรีของนครถงโช่วที่มาทำมาหากินอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าน่าจะมีฐานกระดูกในการฝึกตน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาได้

เมืองชิงหลูมีโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนอยู่สองแห่ง หนึ่งอยู่เหนือ หนึ่งอยู่ใต้ ทางฝั่งทิศเหนือนั้นราคาแพงสักหน่อย หนึ่งวันหนึ่งคืนต้องจ่ายถึงสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทว่าทางฝั่งทิศใต้กลับต้องจ่ายแค่เหรียญเดียว

เฉินผิงอันถามว่านี่เกี่ยวข้องกับความต่างของปราณวิญญาณหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าสตรีที่อยู่ในโรงเตี๊ยมทางทิศเหนือจะคลี่ยิ้มหวานแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีความต่างใดๆ เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมทางเหนืออยู่ใกล้กับกระท่อมที่เจ้าสำนักท่านนั้นมาปลูกไว้เพื่อฝึกตน เซียนซือที่มีเงินต่างก็ยินดีที่จะมาปักหลักกันอยู่แถวนี้ อีกทั้งตู้เซียนซือยังมักจะมาอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นประจำ ดังนั้นจึงอาจจะได้เจอหน้ากัน

เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินไปทางทิศใต้ทันที

สตรีผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ คล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง

ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สามารถเดินทางมาถึงเมืองชิงหลูได้นั้น แต่ละคนล้วนเป็นพวกมือเติบใจกว้าง ไม่มีใครที่เป็นพวกขาดเงินจริงๆ มีแค่ว่ามีเงินหรือมีเงินมากกว่าเท่านั้น หน้าตาที่แพงที่สุดในใต้หล้านี้ เมื่อตัวเองทำตกลงบนพื้นแล้วจะไม่ยอมเก็บกลับมาเพียงเพราะเงินเกล็ดหิมะเก้าเหรียญต่อหนึ่งวันนี้ได้หรือ?

เฉินผิงอันเช่าห้องพักมาหนึ่งห้องแล้วเริ่มเทสิ่งของพรวดออกจากวัตถุจื่อชื่อและห่อผ้าใบนั้น เปลี่ยนเอาสิ่งของอย่างใหม่ใส่เข้าไปในห่อผ้า

คิดว่าเดี๋ยวอีกสักสองสามวันจะไปที่ตรอกผงทองนครถงโช่วใหม่อีกรอบ

นี่เรียกว่าเมื่อจับแกะตัวอวบอ้วนมาได้แล้วก็ต้องจับถอนขนอย่าให้เหลือ

ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ใช้เงินเกล็ดหิมะซ่อมแซมชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่อยู่บนร่างไปทีละเหรียญ

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เฉินผิงอันก็หยุดการซ่อมแซมลง

เรื่องของการซ่อมชุดคลุมอาคมนั้นหาใช่ว่าแค่ทุ่มเงินอย่างเดียวก็พอ แต่เป็นงานที่ละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง

เฉินผิงอันเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ยังคงไม่สามารถฝ่าทะลุด่านทั้งหมดในร่างไปได้อย่างสมบูรณ์

หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันก็ดื่มน้ำในลำธารลึกบนภูเขาที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อึกใหญ่ แล้วจึงเริ่มหลอมแก่นไอน้ำเต็มเติมจวนน้ำของตน

เพียงแต่ว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้วถึงเพิ่งจะกลั่นหลอม ‘น้ำพุ’ ออกมาได้สามหยด แล้วส่งต่อให้เด็กจิ๋วชุดเขียวสามคนในจวนน้ำมารับช่วงทำต่อ

ขนาดการฝึกตนอย่างตื้นเขินเช่นนี้ เฉินผิงอันยังเปลืองเวลาไปมากขนาดนี้ หากต้องปิดด่านขึ้นมาก็ยิ่งไม่สามารถหันมาสนใจกับเรื่องทางโลกได้เลย ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า คนบนภูเขาไม่รู้ร้อนหนาวในโลกมนุษย์

เมื่อเฉินผิงอันฉวยโอกาสช่วงพักปล่อยจิตวิญญาณให้จมดิ่งลงไป จิตหยินจำแลงร่างกลายเป็นเมล็ดงาที่ไปตรวจตราจวนน้ำ ผลกลับกลายเป็นว่าต้องเจอกับสายตาตำหนิของเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย

คงจะต้องการบอกว่าในเมื่อมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญก็ควรจะยิ่งขยันฝึกตน เป็นดั่งนกโง่ที่หัดบินก่อน เหตุใดหลังจากสร้างจวนใหญ่อันเป็นช่องโพรงสำคัญเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว ตลอดหลายปีมานี้อย่าว่าแต่สามวันตกปลาสองวันตากแหเลย ต้องบอกว่าหนึ่งวันตกปลาหนึ่งปีตากแหด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด รีบเผ่นหนีออกมาจากจวนน้ำอย่างกระเซอะกระเซิง

มังกรเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธจ้องมองเฉินผิงอันนิ่งๆ อยู่ตรงทางแยกจุดหนึ่งนอกจวนน้ำ

เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร

มันจึงส่ายหัวสะบัดหางเลื้อยจากไปอย่างรวดเร็ว

ในอดีต บนหัวของมันเคยมีคนจิ๋วสีทองสวมชุดลัทธิขงจื๊อสะพายกระบี่ยืนอยู่

คอยตรวจตราทั่วทิศไปพร้อมกับมัน ร่วมกันบุกเบิกแผ่นดินอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ บุกรุดไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง ประหนึ่งขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักที่ช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น

เฉินผิงอันเก็บความคิด ดึงเอาวิชาการมองภายในกลับมา หลังจากคืนสติ เขาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะก็หลุบตาลงต่ำ เหม่อลอยไร้คำพูด

ในเรื่องของการใช้เหตุผลนี้ คิดจะโน้มน้าวคนอื่นนั้นไม่ง่าย และคิดจะโน้มน้าวตัวเองก็ยากมากเหมือนกัน

แล้วเหตุใดถึงยังต้องใช้อีกเล่า

ข้าวหนึ่งถ้วย วิชาหมัดหนึ่งเล่ม

คุ้มค่าแล้วหรือ?

ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปเพราะสิ่งนี้ ต่อให้จะมหาศาลถึงขั้นเสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคา แต่การเลือกนั้นของตน ถูกแล้วจริงๆ หรือ แล้วถ้าผิดล่ะ?

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันยังคงคิดไม่ตกกับคำถามที่ได้คำตอบมานานแล้ว รวมไปถึงคำถามที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ว่าถูกหรือผิด

แต่เฉินผิงอันกำลังกลัว ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย เพราะเขาไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงได้คิดเรื่องพวกนี้

เฉินผิงอันพลันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอลุกขึ้นยืนก็เดินออกจากโต๊ะ พลิกร่างกลับหัว ชายแขนเสื้อชุดเขียวโบกสะบัด หลับตาลง เริ่มเดินกลับหัวด้วยท่าฟ้าดิน

……

เหนือทะเลสาบถงลวี่มีแพไม้ไผ่สีเขียวมรกตลำหนึ่งลอยนิ่งอยู่ หยวนเซวียนเด็กหนุ่มจากศาลซานหลางยังคงตกปลา คราวนี้ไม่มีคนนอก บรรยากาศจึงมีแต่จะผ่อนคลายสบายอารมณ์มากกว่า ผู้ฝึกยุทธหญิงที่เป็นข้ารับใช้กับผู้เฒ่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองต่างก็ถือเบ็ดตกปลาไว้คนละคัน

เด็กหนุ่มเพิ่งจะกลับมาที่นี่ได้ไม่นานเท่าไหร่ อีกทั้งยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ว่ากันว่าได้สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในหุบเขาผีร้ายผู้นั้น ไม่ได้มา

หยวนเซวียนชำเลืองตามองผิวทะเลสาบที่ยังคงสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว หันหน้ามาถามว่า “พี่หญิงฝาน ท่านปู่หลิว ไหนพวกท่านบอกว่าคนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างไรล่ะ เหตุใดทุกคนที่อยู่ในเมืองชิงหลูถึงได้พากันบอกว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตยากจะคาดเดาคนหนึ่ง เพียงแต่ทุกคนกำลังเดากันว่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่มีหรือไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นโอสถทอง หรือไม่ก็ก่อกำเนิดที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำน่าหวาดกลัวกันแน่?”

สีหน้าของสตรีแซ่ฝานกระอักกระอ่วน “เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งถึงจะถูก”

ผู้เฒ่ามีความรู้กว้างขวางมากกว่าจึงยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงการคาดเดาของเสี่ยวฝานกับผู้ฝึกตนของเมืองชิงหลูก็ใช่ว่าจะผิดเสมอไป บนโลกนี้มีคนประหลาดบางคนที่สามารถเป็นได้ทั้งผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณ เพียงแต่ว่าลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งพละกำลังถดถอย ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางของการฝึกวรยุทธได้เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลแล้ว หรือเส้นทางของการฝึกตนที่ในที่สุดก็เลื่อนสู่ขอบเขตกำเนิด เวลานี้จะต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า เว้นเสียแต่มีปณิธานความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญตัดใจทอดทิ้งเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะเดินขึ้นสู่จุดสูงได้อย่างแท้จริง มีแต่จะกลายเป็นว่าตัวเองทะเลาะกับตัวเอง บนเส้นทางทั้งสองต่างก็เดินไปถึงทางตันที่ทางให้เดินต่อ”

หยวนเซวียนเดาะลิ้น “หากเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเป็นขอบเขตยอดเขาอย่างที่เล่าลือกันจริง อีกทั้งยังได้ครอบครองวิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด จะไม่กลายเป็นผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในหนึ่งทวีปเลยหรือ?”

“ไร้ศัตรูทัดเทียม? ยังห่างชั้นอีกไกลนัก”

ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เทพเซียนขอบเขตหยกดิบทั่วไป ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เมื่อเจอกับคนประหลาดที่หายากเหมือนขนหงส์เขากิเลนประเภทนี้ จะต้องปวดหัวมากก็จริง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนหรือกระบี่หรือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน คิดจะจัดการก็มีกำลังเหลือเฟือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!