กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 498

จู่ๆ จู๋เฉวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ภูเขากระจกวิเศษพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว การต่อสู้ครานั้นสร้างความครึกโครมไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าข้าไม่มีหน้าจะไปแอบดู ก็เลยไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ คนหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าบอก ก็คือนักฆ่าหยางที่ชื่ออยู่ในอันดับล่างสุด ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าจะได้โชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษไปครองแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้ก่อเรื่องอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ปล่อยให้เขากลับไปพร้อมสมบัติเถอะ แต่แถบของภูเขาโปลั่วกับภูเขาจีเซียวนั้น เพราะคนหนุ่มที่เข้าเมืองเล็กมา บวกกับบัณฑิตที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่ง สองคนร่วมมือกัน ถูกพวกเขารื้อค้นเสียจนพลิกคว่ำคะมำหงาย จุ๊ๆ ความสามารถไม่น้อย แผนการก็ยิ่งสูงล้ำ ปั่นหัวเหล่าปีศาจเล่นอยู่ในกำมือ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เจ้าลองเดาดูสิ?”

ตู้เหวินซือยิ้มจืดเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เรื่องแบบนี้ข้าจะไปเดาถูกได้อย่างไร”

จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “นิสัยนี้ของเจ้าช่างน่าเบื่อเสียจริง ก็ไม่แปลกที่จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นชายโสด ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ หากเจอกับหวงถิงผู้นั้นอีกครั้ง ชอบนางก็บอกนางไปตามตรง หากนางจะจากไป เจ้าก็รีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไอ้หน้าตาศักดิ์ศรีพวกนั้นน่ะจะนับเป็นอะไรได้ พอถูกเจ้าหลอกมาอยู่ในมือได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะอยู่บนเตียงหรือล่างเตียง ควรจะจัดการกับเมียตัวเองอย่างไรยังต้องให้คนอื่นมาคอยสอนเจ้าอีกหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าต่อให้อยู่ล่างเตียงเจ้าจะสู้นางไม่ได้ แต่อยู่บนเตียงเจ้าจะยัง…ช่างเถิดๆ นับแต่โบราณมายามอยู่บนเตียงบุรุษก็สู้สตรีไม่ได้อยู่แล้ว เฮ้อ เมื่อเป็นอย่างนี้ หากข้าจะดูแคลนเจ้าก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เดิมทีข้ายังอยากจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยร้อยด้ายแดงให้สักครั้ง ตอนนี้ดูแล้วก็อย่าดีกว่า ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ไม่ได้เรื่อง ไหนบอกมาสิว่าทำไมเจ้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียที คลานอยู่ขอบเขตโอสถทองเป็นเต่าไปได้ สนุกนักหรือ? คิดว่าตัวเองเป็นญาติของตะพาบเฒ่าตัวนั้นจริงๆ หรือไร ถ้าคิดอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปขอลูกสาวตะพาบเฒ่ามาเป็นเมียเสียเลยเล่า?”

ตู้เหวินซือหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไป กล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นโกรธ “เจ้าสำนัก!”

“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดแทงใจดำเจ้าแล้ว ก็ข้าร้อนใจกับตบะของเจ้านี่นา เวลาปกติพวกเจ้าชอบบอกว่าข้าเป็นเจ้าสำนักที่เกียจคร้าน นี่ข้าก็เพิ่งจะให้ความใส่ใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วดูสิเป็นยังไง เจ้าก็ดันไม่พอใจเสียอีก สรุปแล้วข้าต้องทำอย่างไรกันแน่เล่า”

ตู้เหวินซือเริ่มยื่นมือออกมาขยี้ใบหน้า

จู๋เฉวียนตบไหล่ของตู้เหวินซือ “หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรตัดใจซะ หากหวงถิงผู้นั้นกลับมาที่เมืองชิงหลูของพวกเรา เจ้าก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยตีนางให้สลบ แล้วทำเรื่องชั่วๆ ประเภทที่ว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าสำนักของเด็กน้อยอย่างพวกเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเจ้า แต่ว่านะเหวินซือ ถึงอย่างไรข้าก็ถูกชะตากับเจ้ามากกว่าหยางหลินผู้นั้น ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าท่านแม่ดูสิ ไม่แน่ว่าข้าที่เป็นทั้งเจ้าสำนักทั้งมารดาอาจจะเปลี่ยนใจกะทันหันก็ได้”

ขนาดเป็นคนนิสัยดีอย่างตู้เหวินซือก็ยังอดมุมปากกระตุกไปไม่ได้

จู๋เฉวียนหัวเราะร่าเสียงดัง กลั้นอยู่นานก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ กว่าจะหยุดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือนางพึมพำตามมาอีกประโยคว่า ให้ตายเถอะ มารดาข้าเกือบจะหัวเราะจนปากฉีกเสียแล้ว เดิมทีก็หน้าตาธรรมดา หากปากฉีกอีก แล้วอย่างนี้วันหน้าจะหาหนุ่มน้อยหน้าละอ่อนมาอยู่เคียงข้างได้อย่างไร

ตู้เหวินซือจำต้องเอ่ยเตือนว่า “เจ้าสำนัก พวกเรากลับมาคุยเป็นการเป็นงานกันดีไหม?”

“เรื่องใหญ่ในชีวิตของเจ้าจะไม่เรียกว่าเรื่องเป็นการเป็นงานได้อย่างไร?”

จู๋เฉวียนกระแอมหนึ่งที ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่า “หลวงจีนเฒ่าแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และนักพรตของอารามเสวียนตูเล็กต่างก็ออกไปจากป่าท้อแล้ว ส่วนจะไปที่ไหน ข้ายังคงทำตามกฎเดิม นั่นคือไม่ไปสืบเสาะแอบดู แต่เจ้าลองคำนวณดูเถอะ หากบวกกับเจ้าสำนักสาวที่มีเรือหลิวเสียผู้นั้น เทพหญิงฉีลู่ รวมไปถึงเจ้าตะพาบชั่วที่หว่านแหเก็บกระบี่บินไปสองรอบ และยังมีการที่จู่ๆ ผูหรางก็ปรากฏตัว บวกกับท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของนครใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย เอาทุกอย่างนี้มาเชื่อมโยงกัน เหวินซือ เจ้าคิดว่านี่กำลังบ่งบอกถึงอะไร?”

ตู้เหวินซือส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผน”

จู๋เฉวียนพยักหน้ารับหนักๆ ยกมือขึ้นตบไหล่ตู้เหวินซือจนเขาเซถลาท่าทางคล้ายปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก “ดีมาก เหมือนกับเจ้าสำนักอย่างข้าเลย เพราะมองออกแค่ว่าต้องมีเรื่องสนุกเท่านั้น!”

เดินกันไปจนถึงสุดปลายถนน จู๋เฉวียนก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไปก่อน

ตู้เหวินซือหมุนตัวตามไป

จู๋เฉวียนไม่เอ่ยอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมถึงได้เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะฝ่าไม่ฝ่าคอขวดของโอสถทอง ดังนั้นต่อจากนี้หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าก็กลับไปที่ศาลบรรพจารย์ทันที ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ อีก คำพูดอย่างอื่นของตาแก่ที่นั่งดื่มเหล้ารับลมอยู่บนเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีผู้นั้นล้วนเหลวไหลหาแก่นสารไม่ได้ แต่บางทีอาจมีเพียงประโยคที่ว่าสำนักพีหมาของพวกเราควรจะเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ที่ใช้สมองเป็นที่เขากล่าวได้ถูกต้อง ดังนั้นหากคนอื่นรบตายไป แม้แต่ตัวข้าด้วย ก็ล้วนไม่เป็นไร ความรับผิดชอบเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังพอจะมีอยู่บ้าง มีเพียงเจ้าตู้เหวินซือคนเดียวเท่านั้นที่ต่อจะให้ตายก็ต้องไม่มาตายอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกนี้ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย ไปตายอยู่ทางเหนือ และเหนือยิ่งกว่าจึงจะดี”

ตู้เหวินซือส่ายหน้า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ หลบหนียามเจอสงคราม ถอยร่นทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ต่อให้ข้าตู้เหวินซือต้องสละมหามรรคาและชีวิตก็ไม่มีทาง…”

จู๋เฉวียนพลันยกฝ่ามือขึ้นผลักศีรษะของตู้เหวินซือเบาๆ สีหน้าของนางเป็นปกติ น้ำเสียงก็เรียบเฉย “อย่าโง่ ตู้เหวินซือ ข้าจะขอวางมาดเจ้าสำนักพูดความในใจประโยคหนึ่งกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย บนโลกใบนี้ อย่างน้อยในสายตาของข้าจู๋เฉวียน ชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอดทนกับความยากลำบากอันยิ่งใหญ่ และยิ่งต้องทนรับความอัปยศอันยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้เจ้าจะเป็นขุนเขาที่กดทับลงมาบนตัวข้า กระดูกสันหลังของข้าก็ยังคงเหยียดตรงอยู่เสมอ!”

ตู้เหวินซือยืนอยู่ที่เดิม

ส่วนจู๋เฉวียนนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่องช้า

……

บนหัวกำแพงเมืองของนครจิงกวานอันเป็นนครที่สูงตระหง่านเสียดแทงทะลุชั้นเมฆ

บุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมประดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย

ห่างออกไปไกลมีสตรีสองคนกับหนึ่งโครงกระดูกขาวยืนอยู่บนทางเดินม้า ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ด้วยกัน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักลัทธิเต๋า เทพหญิงฉีลู่ และยังมีเจ้านครของนครแห่งนี้ เกาเฉิงเจ้านครจิงกวาน วิญญาณหยินที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เมื่อนั่งบัญชาการณ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ เขาก็แทบจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าคนหนึ่ง

แต่ภูมิหลังตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่นั้นกลับไม่มีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าสำนักประวัติศาสตร์และผู้ฝึกตนบนภูเขาไม่อยากสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดของเขา แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบันทึกใดๆ จากในเอกสารคดีของสองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติสิบกว่าแห่งเจอจริงๆ ไม่มีเลยสักประโยคเดียว มีเพียงในทะเบียนราษฎร์ระดับล่างสุดของกรมกลาโหมแคว้นหนึ่งเท่านั้นที่มีชื่อเกาเฉิงบันทึกไว้ เพียงแค่นี้เท่านั้น

พลทหารราบเกาเฉิง

ราวกับว่าผีที่ปีนั้นหยัดยืนขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลนเกือบล้านโครงบนชายหาดโครงกระดูก เคยเป็นแค่ทหารน้อยไร้ชื่อแซ่ที่นอนอยู่ท่ามกลางกองคนตายบนสนามรบจริงๆ

ราวกับว่าหลังจากที่ปีนั้นเขาหยัดยืนขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของผีโครงกระดูก ก็ถึงเพิ่งจะเริ่มลุกผงาดขึ้นมาทีละก้าว

เกาเฉิงตัวไม่สูง ยังคงปรากฏกายบนโลกในลักษณะของโครงกระดูกผอมแห้งสีขาวหิมะ เขาสวมเสื้อเกราะเหล็กผุพังที่ธรรมดาที่สุด ดาบที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นของธรรมดาทั่วไป

เกาเฉิงถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง หลังจากที่เจ้ามาถึงนครจิงกวานของข้าแล้วก็พูดแค่ว่าขอดูหน่อย แล้วตอนนี้ดูเสร็จหรือยัง?”

นักพรตหญิงที่สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ท่านเจ้านครจะไล่คนแล้วหรือ?”

เกาเฉิงกล่าว “จะให้เวลาเจ้าอีกสามวัน หากยังไม่ไป จะไม่ใช่ไล่คน แต่เป็นฆ่าคนแล้ว”

เทพหญิงฉีลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย

ปราณดุร้ายในนครจิงกวานเข้มข้นเกินไป กวางเทพห้าสีที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาซึ่งถือกำเนิดมาจากโชคชะตาฟ้าดินตัวนั้นไม่อาจทนรับการกัดกินจากปราณพวกนี้ได้มากที่สุด จึงถูกนางเก็บไปนานแล้ว

เทพหญิงท่านนี้ไม่สงสัยในคำพูดของเจ้านครผู้นั้นแม้แต่น้อย นี่ต้องไม่ใช่แค่คำขู่อย่างแน่นอน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางเอ่ยว่า “สามวันก็สามวัน เมื่อถึงเวลา ข้าต้องไปจากนครจิงกวานอย่างแน่นอน”

เกาเฉิงชำเลืองตามอง ‘โจวเฝย’ ที่เดินอยู่บนหัวกำแพงผู้นั้น “เจียงซ่างเจินผู้นี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เขาโดยสารเรือหลิวเสียของเจ้าจากไป ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าข้าจะอดชักดาบไม่ไหว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!