กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 501

สรุปบท บทที่ 501.1 การพบเจอในบางครั้ง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 501.1 การพบเจอในบางครั้ง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 501.1 การพบเจอในบางครั้ง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

เฉินผิงอันเก็บตำราพิชัยยุทธ หันมาเปิดตำราเล่มหนึ่งที่คล้ายคลึงกับ ‘รวมเล่มวางใจ’ ของสำนักพีหมา มีชื่อว่า ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ คือตำราเล็กๆ เล่มหนึ่งที่ภูเขาเจ้าของเรือข้ามฟากแนะนำเกี่ยวกับรากฐานของตัวเองเอาไว้ ค่อนข้างน่าสนใจ มีเซียนกระบี่ท่านใดของอุตรกุรุทวีปมาหยุดพักอยู่บนภูเขาบ้าง มีเซียนดินท่านใดเคยดื่มชาถกปัญหาในสถานที่สำคัญที่ใดบ้าง นักประพันธ์คนใดเขียนบทกวีบทไหน ทิ้งผลงานอันยอดเยี่ยมชิ้นไหนไว้บนภูเขาลูกใดบ้าง ล้วนมีบรรยายไว้ตามบทความน้อยใหญ่ในตำรา

ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็คือเรือข้ามฟากที่มาจากสวนน้ำค้างวสันต์ รายรับหลักๆ ของพวกเขาจะมาจากพืชพรรณประหลาดหายากที่ทางภูเขาปลูกไว้แล้วนำไปขายให้กับผู้คนรายทาง ในบรรดานั้นมีดอกไม้ของตระกูลเซียนสามชนิดที่ถูกภูเขามู่อีของสำนักพีหมากว้านซื้อไว้จนแทบจะเรียกได้ว่าผูกขาด คือรายรับก้อนใหญ่ของสวนน้ำค้างวสันต์ ดังนั้นเส้นทางการเดินเรือจึงเป็นการเดินทางไปกลับระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับเทือกเขาเจียมู่อันเป็นที่ตั้งของสวนน้ำค้างวสันต์ สวนน้ำค้างวสันต์ถือเป็นสายของสำนักกสิกรรมหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้ฝึกตนหญิง อีกทั้งนิสัยยังอ่อนโยน และบนภูเขาเจียมู่ก็มีต้นไม้ประหลาดและภูตบุปผาเป็นจำนวนมาก ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปก็ถือเป็นกองกำลังลำดับสองที่พอจะมีรากฐานอยู่บ้าง บวกกับที่มีสหายกว้างขวาง ไม่ค่อยผูกปมแค้นเข่นฆ่ากับใคร เทือกเขาเจียมู่จึงกลายมาเป็นสถานที่ที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกุลหนุ่มสาวหลายคนของทางใต้เลือกมาท่องเที่ยวฝึกประสบการณ์

การที่เฉินผิงอันเลือกเรือข้ามฟากลำนี้มีเหตุผลอยู่สามข้อ หนึ่งเพราะสามารถอ้อมออกมาจากชายหาดโครงกระดูกได้ไกล สองเพราะสวนน้ำค้างวสันต์มีสมบัติประหลาดสามชิ้นที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หนึ่งในนั้นก็คือต้นไหวโบราณพันปีที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเทือกเขาเจียมู่ สูงหลายพันจั้ง เฉินผิงอันจึงอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนกับต้นไหวโบราณในบ้านเกิดของปีนั้น นอกจากนี้ทุกๆ ครั้งที่ถึงช่วงปลายปี สวนน้ำค้างวสันต์ก็จะมีการจัดงานเลี้ยงบอกลาปีเก่าขึ้นมา ซึ่งจะมีร้านผ้าห่อบุญนับพันร้านไปทำการค้าขายกันอยู่ที่นั่น คืองานเฉลิมฉลองที่เงินเทพเซียนวิ่งพล่านไปทั่ว เฉินผิงอันจึงคิดจะไปทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ที่นั่น

อันที่จริงตำราเล่มเล็กของสวนน้ำค้างวสันต์เล่มนี้ไม่บางเลย เพียงแต่เมื่อเทียบกับการบรรยายอย่างละเอียดในทุกเรื่องเหมือนคำพร่ำบ่นของผู้อาวุโสในตระกูลของ ‘รวมเล่มวางใจ’ แล้ว ในด้านจำนวนหน้าจึงเป็นรองอยู่เล็กน้อย

อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้รวบรวมตำราประเภทนี้มาจากภูเขาอย่างพวกสำนักฝูจีในใบถงทวีป

เฉินผิงอันอ่านตำราเล่มเล็กจบแล้วก็เริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว จนถึงท้ายที่สุดก็แทบจะฝึกหมัดด้วยสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเดินไปกลับระหว่างประตูห้องกับหน้าต่าง ระยะก้าวที่เดินไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย

ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันก็ลืมตาขึ้น หยุดกระบวนท่าหมัด กลับไปนั่งข้างโต๊ะ รออยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมีคนมาเคาะประตู ถึงได้ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตู คือผู้ดูแลคนหนึ่งของเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนชายที่หาได้ค่อนข้างยากในสวนน้ำค้างวสันต์ คือผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายของความแก่ชราหนักอึ้ง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับตู้เหวินซือ หยางหลินแห่งสำนักพีหมาได้ มีขอบเขตเดียวกัน แต่ความสูงต่ำกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหากเปิดฉากเข่นฆ่ากันขึ้นมาจะมีจุดจบที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในทันที แต่นี่กลับไม่ใช่เพราะผู้ฝึกตนสวนน้ำค้างวสันต์เป็นดั่งหมอนปักลายบุปผา แต่เป็นเพราะว่าผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาไม่เหมือนที่อื่น การเข่นฆ่าเอาชีวิตสำหรับพวกเขาแล้วก็คือเรื่องปกติที่เหมือนการดื่มน้ำกินข้าว

หลังจากที่เฉินผิงอันเปิดประตู ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เอ่ยขออภัยว่า “รบกวนการฝึกตนของสหายแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสซ่งเกรงใจกันเกินไปแล้ว ข้าเองก็เพิ่งตื่น ตามคำแนะนำที่บอกไว้ในตำราเล่มเล็ก นี่น่าจะขยับเข้าใกล้ภูเขาคู่รักสองลูกอย่างยอดเขาแสงทองกับภูเขาแสงจันทร์แล้วกระมัง ข้าคิดว่าจะออกไปเสี่ยงดวงดูสักหน่อย ดูสิว่าจะได้เจอกับห่านหลังทองและกบตีกลองหรือไม่”

ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่ก็ด้วยเรื่องนี้ เดิมทีก็อยากจะมาเตือนคุณชายเฉินสักคำว่าอีกประมาณสองชั่วยามก็จะเข้าสู่อาณาเขตของยอดเขาแสงทองแล้ว”

เซียนดินโอสถทองท่านนี้เปลี่ยนคำเรียกขานที่ค่อนข้างฟังดูแล้วสนิทสนม

มอบผลท้อให้ไปก็มอบผลหลีกลับคืน

เฉินผิงอันจึงรีบเปิดทางให้อีกฝ่าย “เชิญผู้อาวุโสซ่งเข้ามาข้างในก่อน”

ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มอย่างเข้าใจ ระหว่างผู้ฝึกตนบนภูเขา หากขอบเขตต่างกันมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นข้าคือชมมหาสมุทร เจ้าคือประตูมังกร ต่างฝ่ายต่างเรียกกันว่าสหายก็พอ แต่หากเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่เจอกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง หรือสามขอบเขตอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทรและประตูมังกรเจอกับเซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดก็ควรจะเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่าเซียนซือหรือผู้อาวุโส เพราะขอบเขตโอสถทองก็คือธรณีประตูอย่างหนึ่ง และถึงอย่างไรกฎบนภูเขาข้อที่ว่า ‘ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ก็ล้วนสามารถใช้ได้ทั่วทั้งสี่สมุทร

แน่นอนว่าหากความกล้ามากพอ ห้าขอบเขตล่างเจอกับเซียนดินหรือผู้ฝึกตนขอบเขตยอดเขาของห้าขอบเขตบน แล้วยังคงเรียกอีกฝ่ายว่าสหายอย่างเต็มปาก ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ขอแค่ไม่กลัวว่าจะโดนตบให้ร่อแร่ใกล้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็พอ

ในฐานะผู้เฒ่าโอสถทองคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนเฒ่าเรียกแขกหนุ่มผู้นี้ว่าสหาย ก็เห็นได้ชัดว่ามีส่วนที่พิถีพิถันอย่างมากแล้ว

ตอนนั้นคนที่มาขึ้นเรือข้ามฟากเป็นเพื่อนคนหนุ่มผู้นี้ก็คือผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา คือเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เล่าลือกันว่าภายในเวลาหกสิบปี ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้ติดอันดับคนหนุ่มสิบคนกลุ่มถัดไปของอุตรกุรุทวีป หากเป็นลูกศิษย์ของสำนักอื่นที่ได้รับการป่าวประกาศเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นอุบายที่ใช้สร้างชื่อเสียงให้กับภูเขา แค่ฟังเป็นเรื่องตลกก็พอ ยามที่เจอกันก็แค่พูดจาเออออคล้อยตามไปด้วยเท่านั้น แต่ในใจน่าจะด่าว่าไอ้คนหน้าไม่อายรีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสียที แต่สวนน้ำค้างวสันต์คือแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีของชายหาดโครงกระดูก รู้ว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่เหมือนที่อื่น ผู้ฝึกตนเหล่านี้ไม่พูดจาวางตัวโอ้อวด จะทำแค่เรื่องที่อำมหิตไร้ปราณีเท่านั้น

หากผังหลันซีเป็นตัวแทนของสำนักพีหมาที่แค่มาส่งแขกก็แล้วไปเถิด แน่นอนว่าไม่ได้น่าตกใจเท่าเจ้าสำนักจู๋เฉวียนหรือหยางหลินแห่งนครปี้ฮว่าปรากฎตัวด้วยตัวเอง แต่ผู้เฒ่าโอสถทองวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ไม่ใช่เทพเซียนรักสงบประเภทที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ปิดด่านทีสิบปีหลายสิบปี เขาจึงฝึกฝนจนมีทิพย์จักษุคู่หนึ่งมานานแล้ว ทั้งคำพูดและสีหน้าท่าทางของผังหลันซีตอนที่อยู่ท่าเรือ ล้วนเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อจอมยุทธต่างถิ่นที่แม้แต่ผู้เฒ่าโอสถทองก็ยังมองตื้นลึกไม่ออกผู้นี้ อีกทั้งนั่นยังเป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง บวกกับที่ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่หุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูก เกาเฉิงแห่งนครจิงกวานเผยร่างกายธรรมกระดูกขาวลงมือไล่ล่าแสงสีทองที่บังคับกระบี่หนีไปทางศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีด้วยตัวเอง ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ใช่คนโง่ ย่อมใคร่ครวญจนพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “บนยอดเขาแสงทองและภูเขาแสงจันทร์ไม่มีผู้ฝึกตนมาสร้างถ้ำสถิตอยู่เลยหรือ?”

ซ่งหลันเฉียวลูบหนวดยิ้มกล่าว “แก่นดวงอาทิตย์บนยอดเขาแสงทองร้อนแผดเผาเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่นดวงอาทิตย์ที่รวมตัวกันอยู่บนยอดเขาซึ่งจะไหลวนเวียนไม่หยุดนิ่งตลอดทั้งปี ช่วยไม่ได้ นี่จึงไม่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีอะไร เว้นเสียจากผู้ฝึกตนเซียนดินเท่านั้นที่ถึงพอจะมาปักหลักอยู่นานๆ ได้ ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป หากมาสร้างกระท่อมฝึกตนก็มีแต่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก เผาผลาญปราณวิญญาณให้เสียเปล่าเท่านั้น ส่วนภูเขาแสงจันทร์กลับเป็นพื้นที่วิเศษที่มีห้าธาตุครบถ้วน เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่กบยักษ์มายึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา มีลูกมีหลานหลายพันตัว กบยักษ์ที่มีสติปัญญามานานแล้วเกลียดแค้นพวกผู้ฝึกลมปราณอย่างเราๆ มากที่สุด ไม่ยอมให้มีผู้ฝึกลมปราณขึ้นเขาไปฝึกตนได้เลย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ภูตประหลาดตามภูเขาแม่น้ำมีมากมาย ต่างฝ่ายต่างก็มีหนทางในการดำรงชีพของตัวเอง”

ซ่งหลันเฉียวคล้ายจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ครั้นจึงคลี่ยิ้มขอตัวลาจากไป

ความกระตือรือร้นและความเกรงใจ สมควรต้องมี แต่หากมีมากเกินไปอาจทำให้ตัวเองตกเป็นรองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความสัมพันธ์ที่ต้องประจบเอาใจผู้อื่น ต้องก้มหัวให้ผู้อื่นเช่นนั้น จะดีจะชั่วเขาก็เป็นโอสถทองท่านหนึ่ง หน้าตาในส่วนนี้ยังต้องรักษาไว้บ้าง หากไปขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือ แน่นอนว่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หลังออกมาจากห้องแล้ว ซ่งหลันเฉียวก็ส่ายหน้า ผู้ฝึกตนหนุ่มผู้นี้ยังมองอะไรตื้นเขินเกินไปหน่อย ห่านหลังทองของยอดเขาแสงทองกับกบยักษ์ของภูเขาแสงจันทร์ที่ไม่ต้องรับกับความทุกข์ทรมานอยู่ในกรงขัง ถึงอย่างไรก็เป็นส่วนน้อย ภูตประหลาดตามป่าเขาส่วนใหญ่ที่พอตายไปแล้วเอามาแลกเป็นเงิน มีมากน้อยเท่าไหร่? เอาแค่พวกภูตต้นไม้ในเทือกขาเจียมู่ มีกี่มากน้อยที่ถูกนำไปขายทอดต่อ ต้องตายไประหว่างทาง หากถูกชนชั้นสูงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์รับไปเลี้ยงดูไว้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว

ตอนที่เรือข้ามฟากลอยผ่านยอดเขาแสงทองก็จอดลอยตัวอยู่กลางอากาศหนึ่งชั่วยาม แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของห่านหลังทองแม้แต่ตัวเดียว

ตอนนั้นซ่งหลันเฉียวยืนอยู่ข้างกายผู้ฝึกตนหนุ่ม ช่วยอธิบายให้เขาฟังสองสามประโยค บอกว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่หวังจะจับสัตว์ปีกประเภทนี้มานั่งเฝ้าอยู่หลายปีก็ยังได้เห็นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!