เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เจ้ายังมีวัตถุใดที่เพิ่งได้มาครองไม่นานมานี้ อยากจะเอาออกมาให้ข้าช่วยดูให้หรือไม่?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอาภาพวังวสันต์ที่ปี้สู่เหนียงเนียงแขวนไว้บนผนังห้องส่วนตัวออกมาให้เจียงซ่างเจินดู
สายตาของเจียงซ่างเจินแฝงแววมีเลศนัยก่อน สุดท้ายพอเห็นภาพคู่บำเพ็ญเพียรที่มีคำบรรยายเขียนไว้ด้านข้างจนเต็มก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ถือว่าเป็นวิชานอกรีตอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนเซียนดินทั่วไปที่เชี่ยวชาญวิชาการฝึกตนคู่ล้วนสามารถใช้สิ่งนี้เป็นหนึ่งในรากฐานของการเปิดภูเขาตั้งสำนักได้ สามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลาง ถือเป็นวิชาที่สะดวกสบาย ดังนั้นภาพนี้จึงมีราคา ส่วนภาพอื่นๆ ที่เหลือ ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด นอนคนเดียวอย่างเดียวดาย ก็ได้แค่เอาไว้มองเพื่อหาความบันเทิงเท่านั้น…”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “ภาพนี้ มีค่ามากขนาดนี้เชียวหรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ก็แค่เผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราผู้นั้นตาถั่ว หาวิธีการที่เหมาะสมไม่เจอเท่านั้น โชควาสนาวางอยู่ตรงหน้าแต่ดันมองไม่เห็น ภาพวสันต์ภาพนี้คือฉบับสำเนาของหนึ่งในสิบสอง ‘ภาพคู่บำเพ็ญบนภูเขาคำนับเซียน’ น่าจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกตนบางคนที่ทรยศสำนักเม่ยเอ๋อร์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หากไปเจอกับคนที่มองของออก คิดจะขายสักยี่สิบสามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชก็ง่ายดายยิ่งนัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้
เจียงซ่างเจินก็ทอดถอนใจในใจไม่หยุด
เฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้นั้น
ช่างเป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆ โชควาสนาลึกล้ำได้ถึงขั้นที่ทำให้คนโกรธจนขนชี้ชัน
ดังนั้นถึงแม้เจียงซ่างเจินจะค่อนข้างอยากได้ภาพบนภูเขาที่ราคาไม่ธรรมดาภาพนี้ แต่กลับไม่กล้าเปิดปากขอหรือซื้อจากเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเก็บภาพเหล่านี้ไปแล้วก็เริ่มเงียบงัน
เจียงซ่างเจินจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้หล้ามืดสลัวมีอารามเสวียนตูของจริงอยู่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เจียงซ่างเจินเผยสีหน้าเลื่อมใสอย่างหาได้ยาก พอดื่มเหล้าหมดก็โยนกาเหล้าทิ้งไปไกล “นั่นคือถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่แท้จริง เจ้าอารามผู้เฒ่าได้ครอบครองถ้ำสวรรค์ต้นท้อแห่งหนึ่ง มรรคกถาสูงส่งเลิศล้ำ ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในพื้นที่บรรพบุรุษ”
เฉินผิงอันถาม “แล้วอารามเสวียนตูเล็กที่อยู่ในป่าท้อของหุบเขาผีร้ายนั่นล่ะ?”
เจียงซ่างเจินกดเสียงลงต่ำ ยิ้มกล่าวว่า “เทียบเท่าได้กับสำนักเบื้องล่างที่อารามเสวียนตูทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาลกระมัง แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยจะถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมสักเท่าไหร่ การสืบทอดโดยละเอียด ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้แน่ชัดนัก ปีนั้นข้ารีบร้อนเดินทางไปยังทิศเหนือของอุตรกุรุทวีป ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปในหุบเขาผีร้าย เพราะถึงอย่างไรสำนักพีหมาก็ไม่ได้มีสาวงามที่งามล่มบ้านล่มเมืองอะไร หากจู๋เฉวียนรูปร่างหน้าตาดีสักหน่อย ข้าจะต้องไปเยือนหุบเขาผีร้ายให้ได้สักครั้งแน่นอน”
เฉินผิงอันชำเลืองตามอง ‘ทะเลเมฆประตูสวรรค์’ อันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภูเขามู่อีกับสถานที่แห่งนี้ที่เงียบไปนานแล้ว แต่เขากลับมีความรู้สึกว่าไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักหญิงผู้นั้นถอดใจไปแล้ว แต่เป็นเพราะกำลังเตรียมการสำหรับการโจมตีครั้งสุดท้ายมากกว่า
เจียงซ่างเจินเอ่ยต่อว่า “อารามเสวียนตูเล็กไม่มีอะไรให้ต้องขบคิด แต่วัดหยวนเยว่ใหญ่แห่งนั้นต่างหากที่ไม่ธรรมดา ก่อนที่ภิกษุเฒ่าคนนั้นจะปรากฎตัวในชายหาดโครงกระดูก ก็เป็นภิกษุสมณศักดิ์สูงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปมานานแล้ว พระธรรมของเขาถึงแก่นลึกซึ้ง ว่ากันว่าคือพระภิกษุคนหนึ่งที่พ่ายแพ้ในการโต้วาทีของสามลัทธิ จึงพาตัวเองไปอยู่ในวัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นดั่งกรงขัง ส่วนโครงกระดูกผูผู้นั้น…ฮ่าๆ ผูหรางที่เจ้าเฉินผิงอันเคารพเลื่อมใส ก็คือ…”
เจียงซ่างเจินกุมท้องหัวเราะก๊าก หัวเราะจนเกือบจะน้ำตาเล็ด “อันที่จริงคือผู้หญิงคนหนึ่ง! ความลับนี้ข้าต้องจ่ายเงินไปก้อนใหญ่กว่าจะซื้อมาได้ คนทั้งสำนักพีหมาก็อาจจะยังไม่รู้ ในหุบเขาผีร้ายคาดว่าก็คงมีแค่เกาเฉิงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เซียนกระบี่หญิงแล้วอย่างไร”
กว่าเจียงซ่างเจินจะหยุดหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “น่าเสียดายที่ไปชอบพระรูปหนึ่ง แบบนี้ก็น่าปวดหัวมากแล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้มีสีหน้าตกตะลึง ถามเสียงเบา “คือภิกษุของวัดหยวนเยว่ใหญ่ท่านนั้น?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ดังนั้นผูหรางถึงได้ตายอยู่บนสนามรบ ทุ่มสุดชีวิตเพื่อปกป้องไม่ให้วัดแห่งนั้นเจอกับภัยพิบัติจากสงคราม เพราะเวรกรรมบนโลกมหัศจรรย์เช่นนี้ หากนางไม่ตาย ภิกษุเฒ่าก็อาจได้บรรลุพระธรรมกลายเป็นพระโพธิสัตว์นานแล้ว ความถูกความผิด การได้มาและการเสียไปของเรื่องราวในครั้งนี้ ใครเล่าจะอธิบายได้อย่างชัดเจน”
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว
จากคำบอกของเจียงซ่างเจิน เขาพอจะรู้แล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านั้นภิกษุเฒ่าถึงได้เอ่ยสี่คำนั้น เส้นเส้นนั้นเป็นเส้นยาว และก็ได้ผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้ว พอบวกกับผูหรางเข้าไป ทุกอย่างก็กระจ่างชัด
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “สภาพจิตใจของเจ้ามีปัญหาเล็กน้อย หากขอแค่สัมผัสได้ถึงวิกฤต ด้วยนิสัยของเจ้าเฉินผิงอันในอดีต มีแต่จะยิ่งตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ครั้งสุดท้ายที่ไปเยือนนครถงโช่ว ขนาดข้าที่เป็นคนนอกยังมองออกว่าตอนเจ้าเดินไม่ค่อยปกตินัก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้นกำเนิดน้ำเป็นไม่ใสกระจ่างมากพอ ผืนนาในหัวใจย่อมขุ่นมัวตามไปด้วย”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
เจียงซ่างเจินถาม “ยังจะไปเสี่ยงอันตรายท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปอีกหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องราวต่างๆ สามารถถอยหนึ่งก้าวเพื่อใคร่ครวญได้ แต่ขาทั้งสองที่ต้องก้าวเดินจะอย่างไรก็ยังคงต้องรุดหน้าเผชิญกับความยากลำบาก”
เจียงซ่างเจินจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันถาม “อารามเสวียนตูแห่งนั้นมีถ้ำสวรรค์ป่าท้อ ส่วนเจ้าก็มีพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เวลาที่ต้องจัดการกับกิจธุระภายในขึ้นมาต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากเลยใช่ไหม?”
เจียงซ่างเจินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “หากจริงจังเกินเหตุ นั่นก็จะเป็นปัญหายากที่คิดอย่างไรก็คิดไม่จบสิ้น เป็นเรื่องยากที่ทำอย่างไรก็ไม่เสร็จเสียที”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที สายตามองไปยังทิศไกล
เจียงซ่างเจินยกขาข้างหนึ่งขึ้นนั่งไขว่ห้าง “หลังจากที่เทพหญิงบนภาพฝาผนังทั้งแปดจากไป ที่นี่ก็กลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ระดับขั้นค่อนข้างแย่ แต่สำหรับสำนักพีหมาแล้ว ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญในสำคัญอีกที หากจัดการดีๆ ก็เท่ากับว่ามีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน หากจัดการไม่ดียังจะถ่วงเวลาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดหนึ่งถึงสองคน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูที่วิธีการของจู๋เฉวียนเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรแล้วถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลและพื้นที่ลับเล็กใหญ่ทั้งหมดในใต้หล้าแห่งนี้ หากคิดจะเลี้ยงดูฟูมฟักให้เหมาะสม พวกมันก็คือหลุมที่ไร้ก้นดีๆ นี่เอง เทียบกับผู้ฝึกกระบี่แล้วยังกินเงินเก่งยิ่งกว่าเสียอีก ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าเฉินผิงอันก็อาจจะได้ครอบครองเหมือนกัน แต่ก็จำไว้อย่างว่า เมื่อมีวันนั้นเข้าจริงๆ เจ้าอย่าได้ทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่ชอบช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเรื่องดีจะกลายเป็นหายนะ ทำการค้าก็พูดคุยเรื่องของการค้า นับเงินไม่นับคน นี่ล้วนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้น ยามที่อยู่ในช่วงเวลารุ่งโรจน์ที่สุด มดตัวน้อยตัวนิดก็มีตั้งห้าสิบล้าน ประหนึ่งป่าไผ่กว้างใหญ่ และยังต้องเจอกับช่วงฤดูกาลสำคัญที่พันปีจะพานพบสักครั้ง ประหนึ่งหน่อไม้วสันต์ที่ผุดหลังฝนตก เซียนดินพากันผุดกรูออกมา ข้าก็เลยหลงระเริงในตนเอง ผลกลับกลายเป็นว่าพอลงไปหาประสบการณ์ล่างภูเขาก็เกือบจะต้องไปตายอยู่ในนั้น ด้วยความโมโห ข้าเลยทำการกวาดล้างอย่างโหดเหี้ยมไปรอบหนึ่ง ถึงได้มีกิจการอย่างในทุกวันนี้”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เจียงซ่างเจินเริ่มเก็บเอาสมบัติอาคมมา วัตถุทั้งหลายที่ใช้ปิดผนึกประตูของภาพวาดฝาผนังทั้งแปดจึงทยอยกันถูกเก็บเข้ามาในชายแขนเสื้อของเขา
เหลือแต่เพียงที่ประตูใหญ่ทะเลเมฆที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังคงไม่สะเทือน เจียงซ่างเจินอยากจะลองดูมาดในการออกดาบของจู๋เฉวียนเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อย ถือเสียว่าเป็นของขวัญจากลาก่อนที่ตนจะออกไปจากอุตรกุรุทวีป
เฉินผิงอันกล่าว “หากวันใดข้าเห็นเจ้าเป็นสหายจริงๆ นั่นจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากใช่หรือไม่”
เจียงซ่างเจินยิ้ม “รู้สึกว่าผิดต่อเจตจำนงเดิมของตัวเอง? เปลี่ยนไปมากเกิน? บางทีสำหรับเจ้าเฉินผิงอันแล้วอาจจะเป็นเรื่องร้าย บางทีนี่อาจจะเป็นผลได้ผลเสียที่มาจากมหามรรคาที่แตกต่าง ข้าเจียงซ่างเจินแสวงหาในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงและคล้อยไปตามสถานการณ์ ขอแค่ในใจมีสมอเรือที่ถูกทิ้งไว้ก้นทะเลสาบ ไม่ว่าลมจะพัดฝนจะตก หรือเจอกับคลื่นยักษ์พันจั้งก็ล้วนไม่จำเป็นต้องไปสนใจมรสุมบนทะเลสาบเหล่านั้น นี่จึงเป็นเหตุให้การฝึกตนบนมหามรรคาของข้านับว่าสุขสบายอยู่บ้าง นอกจากนี้มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ยิ่งเป็นคนและเรื่องราวที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนก็ยิ่งรับมือได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย แต่เจ้าเฉินผิงอันน่าจะแสวงหาในความมั่นคง บวกกับที่อายุยังน้อย ดังนั้นเมื่อเจอกับความดีตรงนี้ความชั่วร้ายตรงนั้น จึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน เป็นเหตุให้เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า กระทบกระแทกเจออุปสรรคไปทุกหนทุกแห่ง เรื่องของการฝึกตนนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ในทางกลับกัน ขอแค่เจ้ารักษาป้องกันมันเอาไว้ได้ การขัดเกลาในแต่ละครั้งก็ล้วนถือว่าได้ประโยชน์ทุกครั้ง เจ้าและข้าสองฝ่าย ยังไม่ต้องพูดถึงความดีความเลว ความสูงความต่ำ ต่างคนก็แค่มีโชควาสนาต่างกันไปเท่านั้น อันที่จริงไม่ใช่แค่เจ้ากับข้าเท่านั้น เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นอย่างเกาเฉิง จู๋เฉวียน ภิกษุเฒ่า นักพรตเฒ่าก็ล้วนเหมือนกันหมด ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าเรื่องของการฝึกตนนั้น ด้วยตัวของเส้นทางทุกเส้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำรวยจน ทางสายขาดอะไรนั่น ข้าไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดเหล่านี้ของเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมีค่า ทองหมื่นชั่งก็ยากจะซื้อหามาได้”
เจียงซ่างเจินค่อนข้างจะลำพองใจ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนมาเป็นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วสุยโย่วเปียนล่ะ?”
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
เจียงซ่างเจินมีสีหน้าปั้นยาก ยื่นมือสองข้างออกมากำเป็นหมัด แกว่งนิ้วโป้งสองข้างเบาๆ “ไม่มีอะไรสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกลอกตามองบน คร้านจะพูดให้เปลืองน้ำลาย
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่า!”
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
ท่ามกลางทะเลเมฆ แสงดาบเส้นหนึ่งก็ฟันผ่าออกมา สมบัติอาคมส่องประกายแสงสีหลายชิ้นที่ปิดกั้นประตูพลันแตกสลายกระจัดกระจายเป็นเศษส่วน เจียงซ่างเจินแหงนหน้าขึ้นมองแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉวียนเอ๋อร์น้อยมีวิชาดาบอันยอดเยี่ยม ทำเอาพี่ชายโจวเฝยของเจ้าที่มองดูอยู่รู้สึกเหมือนมีกวางน้อยพุ่งชนหัวใจ”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองสมบัติอาคมที่พังทลายอย่างสิ้นเชิงหลายชิ้นนั้นแล้วรู้สึกเสียดายแทนเจียงซ่างเจินจริงๆ นี่ต่างหากที่เรียกว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่ากระมัง?
“ไปล่ะนะ! เฉวียนเอ๋อร์น้อยไม่ต้องไปส่งข้า!”
เจียงซ่างเจินลุกขึ้นยืน ม้วนชายแขนเสื้อ กวาดเอาสมบัติอาคมที่เหลือมาเก็บอย่างคุ้นเคย ขณะเดียวกันเขาก็ใช้ใบหลิววัตถุแห่งชะตาชีวิตผ่าเปิดประตูบานหนึ่งในนครปี้ฮว่า ร่างทั้งร่างกลายเป็นสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่เผ่นหนีออกไป ความเร็วนั้นประหนึ่งสายฟ้า มากพอจะเทียบเคียงได้กับกระบี่บินของเซียนกระบี่
เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย หากตนมีความสามารถในการเผ่นหนีเช่นนี้ แล้วไปเยือนหุบเขาผีร้ายอีกครั้ง ต่อให้ไปเดินเตร็ดเตร่ในนครจิงกวานสักหนึ่งรอบก็คงไม่มีทางเป็นอะไรหรอกกระมัง?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!