ช่วงปลายฤดูหนาว ท้องฟ้าเป็นสีครามกระจ่างใส ขุนเขาถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง ไร้เมฆเคลื่อนคล้อย เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นเพียงความเงียบสงัดแห้งเหี่ยว
นี่ก็คือสีสันของโลกมนุษย์ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้ จะไม่มีทางมีความรู้สึกเช่นนี้ได้แน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้การฝึกตนบนภูเขายิ่งไม่อาจรับรู้ถึงความร้อนหนาวบนโลกมนุษย์
ไม้เท้าเดินป่าที่หลอมขึ้นด้วยคาถาเซียนของตำหนักปี้โหยวซึ่งอยู่ในมือเฉินผิงอันชิ้นนั้นมีรูปลักษณ์เป็นสีเขียวปลั่งแวววาว เป็นเหตุให้เส้นสายจากบ่อสายฟ้าเส้นนี้ดูคล้ายกับวัสดุที่ใช้ทำแส้ไผ่มากกว่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นสีทองอาจจะสะดุดตามากเกินไป แต่ขอแค่คลายตราผนึกหนึ่งชั้นออกได้ แส้โบยผีอย่างหยาบๆ ที่ถือว่าหลอมเล็กสำเร็จได้ชั่วคราวชิ้นนี้ก็จะสามารถกลับคืนมามีรูปลักษณ์ดังเดิม
อุตรกุรุทวีปมีดีอยู่อย่างหนึ่ง ขอแค่พูดภาษากลางของทวีปได้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นไก่ที่คุยกับเป็ด ทว่าแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปต่างก็มีภาษาทางการและภาษาท้องถิ่นของแต่ละแคว้นแตกต่างกันไปหลากหลาย เวลาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศจะลำบากอย่างมาก
เฉินผิงอันเดินมาถึงตีนเขา รอบกายยังคงไร้ผู้คน เขาจึงคีบเอายันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาเบาๆ ความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์เป็นปกติ นี่หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะมีปีศาจออกอาละวาดในเมืองนั้นมีน้อยกว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่สองที่ซ่งหลันเฉียวโอสถทองพูดถึง นั่นคือหายนะใหญ่มาเยือนองค์เทพภูเขาแม่น้ำบางท่านที่อยู่แถวนครแห่งนั้น ทำให้ร่างทองใกล้จะแหลกสลาย นี่จึงส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของน้ำและลม ภัยธรรมชาติจึงเกิดขึ้นตามมา
เพียงแต่ว่าไม่มีเรื่องราวใดที่ตายตัว เฉินผิงอันคิดว่าจะค่อยๆ ดูไปก่อน ในมือของเขาถือยันต์ เดินหน้าไปช้าๆ จนกระทั่งเจอกับรถลากเทียมวัวที่บรรทุกถ่านไม้มาเต็มลำจากไกลๆ ชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดคนหนึ่งพาบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งที่หนาวจนมือขึ้นตุ่มน้ำพองมุ่งหน้าไปทางเมืองด้วยกัน เฉินผิงอันถึงได้ดับไฟบนยันต์ สาวเท้าก้าวเร็วๆ ไปหา ในดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าเด็กชนบทส่วนใหญ่มักจะขี้อาย จึงขยับซุกตัวเข้าหาบิดา ชายฉกรรจ์เห็นคนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าผู้นี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
อากาศหนาวเหน็บจนน้ำแข็งเกาะตัวบนพื้น ทางเดินจึงยิ่งแข็งกระด้าง รถเทียมวัวโคลงเคลงไม่หยุด ชายฉกรรจ์จึงยิ่งไม่กล้าจูงวัวให้วิ่งเร็วเกินไปนัก เพราะหากถ่านไม้แตกหักก็จะขายได้ราคาไม่สูง พวกผู้ดูแลน้อยใหญ่ในตระกูลคนมีเงินของในเมือง แต่ละคนสายตาอำมหิต ช่างเลือกเป็นที่สุด คำพูดเวลาใช้หั่นราคาทำให้จิตใจคนเยียบเย็นได้ยิ่งกว่าลมหนาวที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งเสียอีก เพียงแต่เมื่อจูงวัวช้าเช่นนี้ก็พานให้ลูกน้อยทั้งสองของเขาต้องเหน็บหนาวไปด้วย นี่ทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย บอกพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องมา ในเมืองมีอะไรให้น่าดูกัน ก็แค่สิงโตหินหน้าประตูเรือนมองดูแล้วน่าตกใจ ภาพเทพทวารบาลหลากสีใหญ่กว่านิดหน่อย มองนานไปก็มีอยู่แค่นั้น หากถ่านไม้ทั้งรถนี้สามารถขายได้ราคาดีจริงๆ ตนย่อมซื้อขนมของกินเล่นกลับไปฝากพวกเขาอยู่แล้ว ของอะไรที่ไม่ควรขาดในวันปีใหม่ก็ไม่มีทางลืมซื้อไปด้วย
พอจะมองเห็นเค้าโครงของกำแพงสูงได้รางๆ ชายฉกรรจ์ก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ในเมืองคึกคัก มีกลิ่นอายของผู้คนเต็มเปี่ยม อบอุ่นกว่านอกเมืองอยู่มาก ขอแค่ลูกทั้งสองอารมณ์ดี คาดว่าคงลืมเรื่องว่าหนาวหรือไม่หนาวไปเอง
เพียงแต่ว่าคนหนุ่มสวมงอบผู้นั้นเดินไม่ช้าไม่เร็ว ตามมาด้านหลังรถเทียมวัว นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เป็นกังวลเล็กน้อย
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้า ยิ้มถามว่า “พี่ชายท่านนี้ ข้าเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางมาจากแดนไกล ไม่ทราบว่าเมืองแห่งนี้ชื่อว่าอะไร? มีสถานที่ใดที่ควรไปเที่ยวชมบ้าง?”
ชายฉกรรจ์เป็นคนพูดไม่เก่ง เพียงแต่ว่าไม่กล้าแสร้งทำเป็นหูหนวกบื้อใบ้ จึงคลี่ยิ้มส่งมาให้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ตอบนายท่าน ด้านหน้านั้นชื่อว่าเมืองสุยเจี้ย (ตามขบวน) ว่ากันว่าปีนั้นฮ่องเต้เดินทางลงใต้ ไม่ทันระวังถูกลมหนาวจึงมาพักอาศัยอยู่ที่เมืองแห่งนี้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ได้ตั้งชื่อนี้ให้ ข้ารู้แค่ว่าศาลเทพอภิบาลเมืองทางทิศเหนือและศาลเทพอัคคีทางทิศใต้ เวลาปกติคนจะไปเยือนเยอะที่สุด นายท่านสามารถลองไปดูได้”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นเมื่อข้าเข้าเมืองแล้วจะไปเยือนสองสถานที่นี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปช่วยจับรถลากเทียมวัวเบาๆ “ต้องผ่านทางไปพอดี ข้าเองก็ไม่ได้รีบร้อน เข้าเมืองไปด้วยกันเถอะ จะได้ถือโอกาสนี้สอบถามถึงเรื่องราวต่างๆ ของเมืองสุยเจี้ยจากพี่ชายด้วย”
แม้ว่าชายฉกรรจ์จะรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่ารถเทียมวัวขยับเข้าไปใกล้ประตูเมืองของเมืองสุยเจี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นได้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จึงเลียนแบบการพูดจาของคนในเมือง สรรหาถ้อยคำน่าฟังมาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าบางเรื่องที่ข้าพอจะรู้แล้วกัน สามารถช่วยนายท่านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ย่อมดีที่สุดแล้ว ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ พูดไม่เก่ง บางเรื่องหากพูดไม่ถูกก็ขอนายท่านอย่าได้ถือสา”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า มือหนึ่งช่วยจูงรถเทียมวัว “ดียิ่งนัก เชิญพี่ชายพูดได้ตามสบาย”
ภายใต้การแนะนำของชายฉกรรจ์ที่คิดถึงเรื่องไหนได้ก็พูดถึงเรื่องนั้น เฉินผิงอันจึงรู้ว่าเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ไม่ถือว่าเป็นเมืองเล็กในแคว้นอิ๋นผิง ในประวัติศาสตร์เคยมีอัครเสนาบดีท่านหนึ่งถือกำเนิด ดังนั้นควันธูปของหอขุยซิงที่ศาลเทพอภิบาลเมืองจึงโชติช่วง ศาลเทพอัคคีก็มีชื่อเสียง ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอพรด้านโชคลาภเงินทอง คนมีเงินที่ทำการค้าใหญ่ของเมืองต่างก็ชอบไปจุดธูปที่นั่น ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงจะจูงรถไปยังตลาดที่อยู่ใกล้กับศาลเทพอัคคี เมื่อขายถ่านไม้ทั้งคันรถได้แล้วก็สามารถซื้อของที่ใช้ในวันปีใหม่จากร้านแถวนั้นเอากลับบ้านไปได้
เด็กสองคนลอบมองประเมินเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา แต่พอเฉินผิงอันหันไปยิ้มให้พวกเขา พวกเขากลับหันหน้าหนีทันที ท่าทางเขินอายเล็กน้อย
โดยไม่ทันรู้ตัว รถเทียมวัวก็มาถึงหน้าประตูเมือง เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก จึงจำเป็นต้องเข้าแถวเดินเข้าเมือง บริเวณใกล้เคียงมีร้านขายอาหารเช้าอยู่บางส่วน เฉินผิงอันจึงซื้อโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยและแป้งม้วนยัดไส้หนึ่งชิ้น ปลดงอบลง นั่งลงข้างโต๊ะแล้วเริ่มกินอาหาร เด็กสองคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลกลืนน้ำลาย ชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะควักเงินเหรียญทองแดงหยิบมือเล็กๆ มอบให้กับบุตรสาว พอได้เงิน เด็กทั้งสองก็วิ่งฉิวมาที่ร้าน ซื้อโจ๊กชามเล็กหนึ่งชามและแป้งม้วนไส้ผักที่มีกลิ่นไข่ไก่หอมๆ ชิ้นหนึ่งเช่นกัน เด็กหญิงเอาแป้งม้วนประคองส่งให้พ่อของนาง ชายฉกรรจ์กัดไปแค่คำเดียวแล้วแบ่งแป้งม้วนที่เหลือออกเป็นสองส่วน มอบคืนให้กับเด็กหญิง เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งกลับมาที่ข้างโต๊ะ ยื่นส่งให้น้องชายครึ่งหนึ่ง จากนั้นสองพี่น้องก็กินโจ๊กถ้วยเดียวกัน ชายฉกรรจ์เฝ้ารถลากเอาไว้ ยกมือเช็ดปาก คลี่ยิ้มกว้าง
กิจการของร้านค้าไม่เลว เด็กทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!